Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
aomMONEY
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
1 ก.ค. 2024 เวลา 15:05 • ธุรกิจ
🍣 Shushiro เบอร์ 1 ซูชิสายพานที่ดีต่อใจ
สินค้าชั้นเยี่ยม นวัตกรรมชั้นยอด ในราคาที่จับต้องได้ ยอดขายในไทยเกือบ 2,000 ล้านบาทต่อปี
เข้าแอปพลิเคชันจองคิวล่วงหน้า เมื่อมาถึงพนักงานกล่าวต้อนรับ แนะนำบริการ แล้วใช้แท็บเล็ต (Tablet) สั่งซูชิแบบส่งตรงโดยไม่ต้องรอผ่านสายพานพิเศษ ส่วนซูชิสายพานปกติมีอุปกรณ์ตรวจจับว่า ตรวจจับว่าซูชิจานไหนอยู่นานเกินกำหนด เพื่อให้ซูชิทุกจานให้สดใหม่อยู่เสมอ
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเหตุผลบางส่วนที่ทำให้ #ซูชิโร่ (Sushiro) กลายเป็นซูชิสายพานอันดับ 1 ในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2012 และเมื่อมาเปิดสาขาในประเทศไทยก็ได้รับความนิยมจนสร้างรายได้รวม 2 ปีกว่าที่ให้บริการในบ้านเราไปกว่า 3,000 ล้านบาท และบริษัทแม่ในญี่ปุ่นมียอดขายเกือบ 70,000 ล้านบาทต่อปี
วันนี้ aomMONEY จะพาไปรู้จักต้นกำเนิดของซูชิสายพาน จนกระทั่งเกิดแบรนด์อาหารญี่ปุ่นที่เปิดสาขาไปมากกว่า 600 สาขาทั่วเอเชีย โดยมีอาวุธสำคัญคือเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่จะมาช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค
🍣 [[#ประวัติซูชิสายพาน]]
ก่อนจะดูว่า Sushiro มีนวัตกรรมอะไรน่าสนใจ ต้องบอกว่าตัว ‘ไคเทน ซูชิ’ (Kaiten Sushi) หรือ ‘ซูชิสายพาน’ ที่เรารู้จัก ก็เป็นนวัตกรรมเช่นกัน และยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ วัฒนธรรมการกินซูชิแพร่หลายไปทั่วโลกด้วย
ย้อนกลับที่ โอซากา (Osaka) ไปปีช่วงยุค 50’s ที่คุณ ‘โยชิอากิ ชิราอิชิ’ (Yoshiaki Shiraishi) ดัดแปลงร้านซูชิของตนเองให้มีสายพาน โดยได้ไอเดียจากการไปเยี่ยมชมโรงงานเบียร์ #อาซาฮี (Asahi) ในช่วงปี 1953 และได้เห็นการใช้สายพานในการลำเลียงสินค้า
ตอนนั้นคุณชิราอิชิ ประสบปัญหา ร้านซูชิมีพื้นที่ไม่พอให้บริการ ไม่สามารถขยับขยายได้ และไม่อยากจ้างพนักงานเพิ่ม
เมื่อได้เห็นการใช้สายพาน เลยคิดว่า ถ้าเอาซูชิวางบนสายพานแล้วให้ลูกค้าหยิบเอง ก็ทำให้ไม่ต้องจ้างพนักงานเพิ่ม รวมถึงลูกค้าไม่ต้องเดินไปไหนมาไหน ทำให้การใช้พื้นที่น้อยลงด้วย เมื่อได้ไอเดีย คุณชิราอิชิจึงไปขอให้ช่างทำสายพานโรงงานเบียร์ช่วยทำสายพานที่มีขนาดเล็กลงให้
จากนั้นก็ลองผิดลองถูกจนได้ความเร็วที่เหมาะสมที่ 8 เซนติเมตรต่อวินาที และเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 1958 โดยใช้ชื่อว่าร้าน ‘เกนโรกุ ซูชิ’ (Genroku Sushi) จากนั้นก็พัฒนาจนกลายเป็นซูชิสายพานอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
ซึ่งซูชิสายพานแม้จะได้รับความนิยม แต่ก็โดนโจมตีจากชาวญี่ปุ่นส่วนหนึ่งว่า ทำให้เอกลักษณ์การกินซูชิลดลง แต่ก็ได้รับการยอมรับอีกเช่นกันว่า การมีซูชิสายพาน ทำให้ต้นทุนลดลง ราคาเข้าถึงง่าย ทำมีคนมาใช้บริการมากขึ้น จนทำให้วงการซูชิเติบโตขึ้นด้วย
🍣 [[#Sushiro]]
ซูชิโร่ มีจุดเริ่มต้นในปี 1975 เมื่อ ‘โยชิโอ ชิมิซึ’ (Yoshio Shimizu) ได้สร้างร้านซูชิสายพานที่ชื่อว่า ‘ทาอิ ซูชิ’ (Tai Sushi) โดยมีแนวทางการทำซูชิราคาประหยัดแต่สินค้ามีคุณภาพ ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ทาอิ ซูชิ ดำเนินกิจการจนถึงปี 1984 ก็ได้จดบริษัทเป็น ‘ซูชิ ทาโร’ (Sushi Taro)
ปี 1988 น้องชายของโยชิโอ ชื่อว่า ‘ยูทากะ ชิมิซึ’ (Utaka Shimizu) ก็มาขอชื่อร้านจากพี่ชายไปเปิดต่างเมืองเพราะโยชิโอนั้น ไม่มีความคิดจะขยายสาขาจึงอนุญาต
ทั้งคู่ก็เปิดให้บริการกันคนละเมือง จนกระทั่งปี 1996 จึงควบรวมกิจการ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ซูชิโร่’ ภายใต้บริษัทใหม่ที่ชื่อว่า ‘อกินโดะ ซูชิโร่’ (Akindo Sushiro) ในปี 2000
ปี 2011 ซูชิโร่ มีสาขาในญี่ปุ่นมากกว่า 300 สาขา จึงเริ่มขยายกิจการไปต่างประเทศ โดยเลือกเกาหลีใต้เป็นประเทศแรก ก่อนจะขยายไปอีกหลายที่ รวมถึงประเทศไทย จนทำให้มีสาขารวมกัน มากกว่า 600 สาขา ทั่วเอเชีย ก่อนเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น ‘FOOD&LIFE COMPANIES Co., Ltd.’ ในปี 2021
🖥 [[#นวัตกรรม]]
จะเห็นได้ว่าซูชิโร่สามารถพิชิตใจผู้บริโภคได้ ท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือดในตลาดอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะซูชิสายพาน มาดูกันว่าพวกเขาใช้กลยุทธ์อะไรถึงทำให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้
#ต้นทุน50%
โดยปกติ ร้านอาหารจะพยายามกดให้ต้นทุนต่ำที่สุด ซึ่งปกติแล้ว ต้นทุนวัตถุดิบ (Food cost) ของร้านอาหารทั่วไป จะอยู่ราว 30-35% แต่ซูชิโร่ ยอมให้ต้นทุนสูงกว่า 50% เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่ดีที่สุดเพื่อส่งมอบให้ลูกค้า
#ราคาที่คุ้มค่า
จากต้นกำเนิดของทาอิ ซูชิ มาจนถึง ซูชิโร่ จะเห็นได้ว่าพวกเขาจะพยายามกดราคาให้ต่ำที่สุดมาโดยตลอด จนถูกเรียกว่า ‘ซูชิ 100 เยน’ (23 บาท) ทำให้ใครก็สามารถเข้ามาใช้บริการได้ ง่ายต่อการเข้าถึง ทำให้วงการซูชิแพร่หลายในปัจจุบัน โดยสาขาที่ประเทศไทย ก็เริ่มต้นที่ 40 บาท เท่านั้น
#พิถีพิถัน
นอกจากจะคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีแล้ว ยังพยายามรักษาคุณภาพสินค้าให้ดีที่สุด ตัวอย่างที่น่าสนใจที่ซูชิโร่ทำคือ ปกติร้านอาหารที่มีสาขาเยอะ มักจะใช้วิธีสร้างครัวกลางในการผลิตสินค้าส่งไปยังสาขาต่างๆ เพื่อรักษารสชาติและควบคุมต้นทุน
แต่ซูชิโร่พบปัญหาว่า รสชาติของอาหารไม่สม่ำเสมอ จึงคิดว่าระบบครัวกลางไม่ตอบโจทย์อาหารประเภทซูชิ จึงยกเลิกครัวกลางในปี 2004 แม้จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นก็ตาม จนทำให้ซูชิสายพานคู่แข่งต้องยกเลิกครัวกลางตามซูชิโร่ไปหลายราย
#เทคโนโลยี และ #BigData
ในธุรกิจต่างๆ ก็มักจะใช้วิธีเก็บข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์ และนำไปใช้พัฒนาแบรนด์ แต่ซูชิโร่มีการใช้ข้อมูลที่ส่งผลต่อการให้บริการอย่างชัดเจน และในการเก็บข้อมูลก็มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วย เรียกได้ว่ายกระดับเลยก็ว่าได้ ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลของซูชิโร่ ได้แก่
#TagIC
ในปี 2012 ซูชิโร่มีการใช้ Tag IC ติดไว้บนจานทุกใบเพื่อเก็บข้อมูล ซึ่งข้อมูลที่เจ้าเครื่องนี้เก็บไป ได้แก่
1) ประเภทของซูชิบนจาน เพื่อบันทึกข้อมูลประเภทของซูชิที่วางบนจาน
2) เมื่อจานเริ่มวิ่งบนสายพาน เพื่อจับระยะทางของซูชิ และเมื่อวิ่งเกิน 350 เมตร จะมีการนำซูชิจานนั้นออกเพื่อรักษาความสดใหม่ของซูชิอยู่เสมอ
3) เวลาที่ลูกค้าหยิบซูชิ เพื่อเก็บข้อมูลว่า ลูกค้ารับซูชิอะไรไป ตรงไหน เวลาเท่าไหร่
จากนั้นก็นำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลว่า จะผลิตซูชิอะไร ตอนไหน จัดโปรโมชั่นอย่างไร เพื่อส่งมอบให้ตรงใจกลุ่มลูกค้าที่สุด และลดของเสียจากการผลิตซูชิที่ไม่ค่อยได้รับความนิยม หรือผลิตผิดช่วงเวลาที่ลูกค้าต้องการ แตกต่างจากยุคแรกๆ ที่ต้องใช้สัญชาตญาณของพนักงานว่าจะต้องเตรียมซูชิหน้าอะไร
#เครื่องจักรปั้นข้าว
ซูชิโร่มีลูกค้าต่อวันจำนวนมาก หากต้องใช้คนปั้นอาจจะช้าและต้องใช้แรงงานมหาศาล จึงมีการสร้างเครื่องจักรขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่นี้ แต่ไม่ใช่ว่าปั้นข้าวได้แล้วจบ เพราะมีการออกแบบให้บริเวณที่เครื่องสัมผัสข้าวนั้น มีอุณหภูมิเดียวกับมือมนุษย์ เพื่อให้มีคุณภาพทัดเทียมกับคนปั้น ไม่ใช่ก้อนข้าวเย็นจืดชืด ซึ่งเจ้าเครื่องนี้ สามารถปั้นได้ถึง 3,600 คำต่อชั่วโมงรวมทั้งสามารถห่อสาหร่ายได้ด้วย เจ๋งป่ะล่ะ
1
#Contactless
เมื่อช่วงต้นปี 2023 มีข่าวใหญ่ที่ถูกขนานนามว่า #การก่อการร้ายซูชิ ซึ่งเป็นการเล่นของเด็กพิเรนทร์ด้วยการเลียขวดโชยุที่ใช้ร่วมกันในร้านซูชิสายพาน ซึ่งซูชิโร่ก็เป็นหนึ่งในร้านที่ได้รับความเสียหาย ถึงขนาดหุ้นร่วงเป็นประวัติการณ์ ทำให้ลูกค้าหลายคน ไม่กล้าใช้บริการร้านซูชิสายพานเลยก็มี
ช่วงแรกทางซูชิโร่ก็มีการแก้ไขด้วยการที่ลูกค้าต้องมาขออุปกรณ์ จาน ช้อน ตะเกียบและโชยุกับพนักงาน แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นนัก ทางซูชิโร่จึงพัฒนาประสบการณ์แบบ Contactless ขึ้นมาเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าโดยระบบ Contactless ประกอบไปด้วย
1 แท็บเล็ตสำหรับสั่งอาหารและเรียกพนักงาน โดยช่วยให้ลูกค้าที่ไม่สบายใจ สามารถสั่งอาหารโดยตรงจากพนักงานผ่านสายพานพิเศษ ได้เลย ซึ่งนอกจากช่วยให้ได้สินค้าที่ปลอดภัยแล้ว ยังสามารถเก็บข้อมูลไปทำโปรโมชั่นได้ตรงกลุ่มลูกค้ามากขึ้นด้วย
2 จ่ายเงินอัตโนมัติ โดยลูกค้าสามารถจ่ายเงินผ่านตู้ที่ทางร้านเตรียมไว้ได้ โดยไม่ต้องนำใบเสร็จไปแสดง
3 มีจุดรับสินค้า เมื่อลูกค้าใช้บริการแบบสั่งกลับบ้าน
ปัจจุบัน ซูชิโร่ กำลังพัฒนาจอแท็บเล็ตสั่งอาหารขนาดใหญ่ 50x150 ซ.ม. เพื่อใช้รูปภาพซูชิให้เลื่อนบนจอแทนซูชิจริงๆ
เมื่อลูกค้าอยากได้ซูชิอันไหน ก็แตะที่จอ ซูชิอันนั้นก็จะมาตามสายพานทันที ซึ่งเชื่อว่า จะลดของเสียจากการผลิต ลดต้นทุน ป้องกันการหยิบจับอาหารจากผู้ไม่ประสงค์ดี และลูกค้าก็จะได้ซูชิที่สดใหม่ ยิ่งกว่าเดิม
1
โดยบริการแบบใหม่นี้ชื่อว่า ดิจิโรอุ (Digirou) ซึ่งทดลองให้บริการที่โตเกียว โอซาก้า และ ไอจิ ไปแล้ว เมื่อเดือนกันยายน 2023
[[#ผลประกอบการ]]
FOOD&LIFE COMPANIES Co., Ltd บริษัทแม่ของ ซูชิโร่ มีรายได้ดังนี้
ปี 2563 รายได้ 204,957 ล้านเยน (47,100 ล้านบาท) กำไร 13,185 ล้านเยน (3,030 ล้านบาท)
ปี 2564 รายได้ 281,301 ล้านเยน (64,000 ล้านบาท) กำไร 3,607 ล้านเยน (828 ล้านบาท)
ปี 2565 รายได้ 301,747 ล้านเยน (69,000 ล้านบาท) กำไร 7,899 ล้านเยน (1,815 ล้านบาท)
** ที่มาตลาดหลักทรัพย์ Nikkei
ซูชิโร่ในประเทศไทย เริ่มให้บริการเมื่อ 31 มีนาคม 2021 โดยสาขาแรกเปิดที่ศูนย์การค้า Central World ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 25 สาขา โดยผลประกอบการของ ‘บริษัท ซูชิโร่ จีเอช (ประเทศไทย) จำกัด’ มีดังนี้
ปี 2564 รายได้ 79 ล้านบาท ขาดทุน 64 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 1,000 ล้านบาท กำไร 62 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 1,892 ล้านบาท กำไร 172 ล้านบาท
** ที่มา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
จะเห็นได้ว่า การเป็นผู้นำในตลาดซูชิสายพานของซูชิโร่นั้น ไม่ใช่จะได้เพราะโชคช่วย แต่มาจากความเข้าใจลูกค้า พยายามสรรหาสิ่งที่ดีในราคาที่เหมาะสมที่สุดมาให้ผู้บริโภค อีกทั้งยังเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือในบริการ รวมถึงการแก้ปัญหา
ทำให้การบริการเป็นไปด้วยความราบรื่น ลูกค้าได้กินซูชิอร่อย ดังสโลแกนที่ว่า
(Tasty Sushi for All. Tasty Sushi for the Heart)
‘ซูชิแสนอร่อยสำหรับทุกคน, ซูชิแสนอร่อยที่ดีต่อใจ’
เรียบเรียงโดย อติพงษ์ ศรนารา
อ้างอิง
https://sushiro.co.th/about-us/
https://www.silpa-mag.com/culture/article_101011
https://note.com/senn4so/n/ne9a465299f78
https://www.bbc.com/thai/articles/cxexed8mjglo
https://bdi.or.th/movements/sushiro-and-big-data/
https://www.theguardian.com/.../japans-hi-tech
...
https://d3.harvard.edu/.../sushiro-always-bring-the-best.../
https://www.nikkei.com/nkd/company/kessan/?scode=3563
https://datawarehouse.dbd.go.th/.../Gb2D1b__eY
...
https://sushiro.co.th/branch/
#ออมมันนี #ซูชิ #อาหารญี่ปุ่น #ร้านอาหาร #นวัตกรรม #เทคโนโลยี #แก้ปัญหา
บันทึก
11
8
11
8
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย