Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
aomMONEY
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
5 ก.ค. 2024 เวลา 14:30 • ไลฟ์สไตล์
“Five-Pointed Star” สร้างอิสรภาพทางการเงินที่มั่นคง ด้วยการใช้ “ดาว 5 แฉก” นำทาง
การมี ‘อิสรภาพทางการเงิน’ ถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่หลายคนอยากไปให้ถึง แต่ก่อนจะเดินตามความฝันมี 2 คำถามที่ต้องตอบให้ได้ คือ (1) อิสรภาพทางการเงินคืออะไร? และ (2) ถ้ามีอิสรภาพทางการเงินแล้ว กลับไปหมดอิสรภาพได้หรือไม่? บทความนี้จะช่วยตอบทั้ง 2 คำถามนี้ พร้อมนำเสนอหลักการว่าควรวางแผนการเงินอย่างไรเพื่อให้สามารถไปถึงอิสรภาพทางการเงินได้แบบไม่หลงทาง ด้วยการใช้ “Five-Pointed Star” หรือ ดาว 5 แฉก
⭐️1. #อิสรภาพทางการเงิน (Financial Freedom)
ยอดสุดของดาวเป็นตัวสะท้อนเป้าหมายที่เราต้องการนั่นก็คือ “การมีอิสรภาพทางการเงิน” แต่จริงๆ แล้วคำนี้หมายถึงอะไรกันแน่
ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ การมีอิสรภาพทางการเงิน คือการมี “รายได้แบบ Passive Income” ที่มากกว่า “รายจ่าย” เพราะสะท้อนว่า ถึงแม้จะไม่ทำงาน ไม่มีรายได้จาก Active Income ก็ไม่ได้เดือนร้อนอะไร แบบนี้ถึงเรียกว่า "อิสรภาพทางการเงิน"
⭐️2. #รายได้จากการทำงาน (Active Income)
ถึงแม้ว่าการมีอิสรภาพทางการเงินจะวัดจากรายได้ที่มาจาก Passive Income แต่ก่อนจะมี Passive Income ได้ ต้องทำให้ “รายได้จากการทำงาน (Active Income)” แข็งแรงก่อน เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้าง “เงินต้น” เพื่อนำไปลงทุนให้ได้ Passive Income กลับมา
ความหมายของ “รายได้” แต่ละคนก็อาจจะต่างกัน บางคนใช้ความหมายแคบ บางคนใช้ความหมายกว้าง
ความหมายแคบ: รายได้ = เงินเดือน
ความหมายกว้าง: รายได้ = เงินเดือน + รายได้เสริม
ดังนั้น การมีรายได้จากเงินเดือนแค่ทางเดียว ย่อมมีความเสี่ยงมากกว่า คนที่มีรายได้ทั้งจากเงินเดือน และอาชีพเสริม
และถึงแม้ว่ารายได้ของแต่ละคนไม่อาจวัดกันแบบเปะๆ ได้ แต่มันสามารถประเมินระดับที่เหมาะสมได้ ด้วยการคำนวณอัตราส่วนความอยู่รอด (Survival Ratio)
#สูตรคำนวณ: อัตราส่วนความอยู่รอด = รายได้ต่อเดือน ÷ ค่าใช้จ่ายต่อเดือน
ค่าที่เหมาะสม: มากกว่า 1
คำนวณอัตราส่วนความอยู่รอด (Survival Ratio) จะช่วยให้เรารู้ได้ว่าในแต่ละเดือนรายได้ที่เรามีสามารถทำให้เราอยู่ได้บนค่าใช้จ่ายที่เรามีหรือไม่ ถ้าค่ามากกว่า 1 คือ “อยู่รอด” แต่ถ้าค่าน้อยกว่า 1 ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะรายได้ที่มีไม่ครอบคลุมรายจ่ายในแต่ละเดือน
ยกตัวอย่างเช่น....
คุณออมสิน มีรายได้จากเงินดือนอยู่ที่ 30,000 บาท และมีรายได้เสริมจากขายของออนไลน์ประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน และมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 40,000 บาท
คำนวณ: อัตราส่วนความอยู่รอด = (30,000 + 20,000) ÷ 40,000 = 1.25
ในเคสของคุณออมสิน Survival Ratio อยู่ที่ 1.25 หมายความว่า “อยู่รอด” คือ มีรายได้จากการทำงานที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ซึ่งถือว่า ขาของการหารายได้จากการทำงานค่อนข้างแข็งแรง
⭐️3. #รายได้จากการลงทุน (Passive Income)
แฉกต่อมาเป็นเรื่องของ “รายได้จากการลงทุน” เบื้องต้นให้ลองสำรวจตนเองว่า ถ้าวันหนึ่งทำงานไม่ได้แล้ว หรืออยู่ในภาวะที่ไม่มีรายได้จากการทำงาน เรามีช่องทางทำเงินมาจากส่วนอื่นอีกหรือไม่?
ถ้าคำตอบคือ “ไม่มี” นั่นแสดงว่า เรากำลังมีรายได้แค่ทางเดียว ที่มาจาก Active Income เท่านั้น
ในโลกของรายได้ จริงๆ อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่
(1) Active Income = รายได้จากการทำงาน
(2) Passive Income = รายได้ที่เกิดจากการลงทุน
แน่นอนว่า ถ้าอยากมีชีวิตที่มั่งคั่งและมั่นคง การมี Active Income อย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องสร้าง Passive Income ที่มาจากการลงทุนด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกิจการห้างร้าน ลงทุนปล่อยเช่าอสังหาฯ หรือลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินก็ตาม
ซึ่งถ้าอยากรู้ว่าเรามีความมั่งคั่งแล้วหรือยังก็สามารถคำนวณได้ด้วย “อัตราส่วนความมั่งคั่ง (Wealth Ratio)”
#สูตรคำนวณ: อัตราส่วนความมั่งคั่ง = รายได้จากการลงทุนต่อเดือน ÷ ค่าใช้จ่ายต่อเดือน
ค่าที่เหมาะสม: มากกว่า 1
การคำนวณอัตราส่วนความมั่งคั่ง (Wealth Ratio) จะช่วยให้เรารู้ได้ว่าในแต่ละเดือน เรามีรายได้ที่มาจากการลงทุนครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่มีแล้วหรือยัง ถ้าค่ามากกว่า 1 แสดงว่า ครอบคลุมแล้ว แม้เราจะไม่มีรายได้จากการทำงานเลย เราก็จะไม่เดือดร้อนอะไร เพราะยังมีรายได้ที่มาจากการลงทุนนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น...
คุณออมทรัพย์ มีรายได้จากผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น และการปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งคุณออมทรัพย์มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนคร่าวๆ อยู่ที่ 40,000 บาท
คำนวณ: อัตราส่วนความมั่งคั่ง = 30,000 ÷ 40,000 = 0.75
ในเคสของคุณออมทรัพย์ Wealth Ratio อยู่ที่ 0.75 ซึ่งมีค่าไม่ถึง 1 หมายความว่า แม้คุณออมทรัพย์จะมีรายได้จากลงทุน แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่มี ดังนั้น ยังคงต้องทำงานอยู่เพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่าย และถือว่าคุณออมทรัพย์ยังไม่มีความมั่งคั่งทางการเงินนั่นเอง
⭐️4. #เงินสำรองฉุกเฉิน (Emergency Fund)
สำหรับแฉกที่ 4 และ 5 เป็นตัวช่วยในการบริหารจัดการความเสี่ยงของชีวิตและทรัพย์สิน โดยในแฉกที่ 4 นั้นจะช่วยให้มีความมั่นใจพร้อมตั้งรับเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในระยะสั้นได้ นั่นก็คือ “เงินสำรองฉุกเฉิน”
ถึงแม้ว่าเราจะมีรายได้จากการทำงาน หรือรายได้จากการลงทุน ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายแล้ว แต่อย่าลืมว่ามันอาจจะมีเหตุไม่คาดฝันไว้ เช่น ถูกให้ออกจากงาน ทำให้ขาดรายได้กระทันหัน หรือต้องการใช้เงินแบบเร่งด่วน การไปถอนเงินลงทุนออกมาก็อาจจะไม่ทันการณ์
แต่ทั้งนี้ “เงินสำรองฉุกเฉิน” ....
มีน้อยไป = ไม่ดี (เพราะอาจจะไม่เพียงพอให้ใช้ยามฉุกเฉินได้จริง)
มีมากไป = ไม่ดี (เพราะส่วนที่เกินจะทำให้เสียโอกาสในการลงทุน)
2
ระดับที่ “เหมาะสม” ควรมี ดังนี้
ในภาวะปกติ ควรเก็บอยู่ที่ 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน
ในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน ควรเก็บอยู่ที่ 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน
ตัวอย่างเช่น
คุณออมเก่ง มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 30,000 บาท ดังนั้น ในสภาวะปกติ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 90,000 บาท(3เท่า) และมากที่สุด 180,000 บาท (6 เท่า) นั่นเอง จึงจะถือว่าขานี้ค่อนข้างแข็งแรง
⭐️5. #ทำประกันคุ้มครองความเสี่ยง (Insurance)
แฉกสุดท้าย ถือว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน ถ้าอยากมั่นคงจริงๆ เพราะมีหลายคนที่คิดว่ามีเงินได้ถึงจุดที่มั่งคั่งแล้ว และคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรมาทำลายได้ สุดท้ายต้องมาเสียเงินทั้งชีวิตให้กับค่ารักษาพยาบาลจนหมดตัว
อีกอย่างหนึ่งคือ มีหลายคนมักคิดว่าเดี๋ยวคอยใช้ “เงินสำรองฉุกเฉิน” ใช้ไปก่อนก็ได้ บอกเลยว่าการวางแผนแบบนี้ ไม่ค่อยเหมาะสมและรัดกุมเท่าที่ควร ควรจะแยกกันไปเลยดีกว่า
เพราะ วันหนึ่งเราอาจป่วยเป็นโรคร้าย ต้องใช้เงินรักษาก้อนใหญ่ วันหนึ่งเราอาจประสบอุบัติเหตุ ต้องพักรักษาตัว ขาดรายได้จากการทำงาน
สิ่งเหล่านี้คือ “ความเสี่ยงทางการเงิน” ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งหลังจากที่เกิดวิกฤติการระบาดใหญ่ คนไทยจำนวนมากก็หันมาสนใจทำ “ประกันสุขภาพ” กันมากขึ้น เพื่อเป็นหลักรับรองว่าหากเจ็บป่วยขึ้นมา อย่างน้อยก็มีคนจ่ายค่ารักษาให้ หรือได้เงินชดเชย
แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่คิดว่า การทำประกันสุขภาพนั้นไม่คุ้มค่า เพราะถ้าไม่เจ็บป่วยก็จะไม่ได้ใช้ เท่ากับว่าเราเสียเงินค่าเบี้ยทิ้งไปเปล่าๆ
ทั้งที่จริงแล้วการซื้อประกันสุขภาพ ก็ถือว่าเป็น “ความฉลาดทางการเงิน” อย่างหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้เราวางแผนการเงินได้อย่างรัดกุมมากขึ้น
สุดท้ายแล้ว การมีอิสรภาพทางการเงินอย่างเดียวไม่พอแน่ เพราะต้องมีให้ “มั่นคง” ด้วย เพราะมีได้ ก็หมดได้ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้มั่นคงได้ นั่นก็คือการมีแผนสำรองยามฉุกเฉิน และการทำประกันที่ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยป้องกันไม่ให้การเงินของเราถอยหลังนั่นเอง
เขียนโดย: วัฒนา มะสันเทียะ
#aomMONEY #วางแผนการเงิน #อิสรภาพทางการเงิน #ความมั่นคงทางการเงิน
7 บันทึก
11
5
7
11
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย