5 ก.ค. 2024 เวลา 17:44 • ประวัติศาสตร์

๓๑ พฤษภาคม ๒๔๔๓

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันสิ้นพระชนม์
สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ
ณ. วัดหน้าพระลาน อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
...
วันที่ ๓๑ พฤษภาคม เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๒๓ เป็นวันที่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ทรงสิ้นพระชนม์พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ พระราชธิดา รวมถึงเจ้าฟ้าในพระครรภ์ และพระพี่เลี้ยงแก้ว จากเหตุการณ์เรือพระประเทียบล่มในแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้วัดเกาะบางพูด ขณะกำลังเสด็จฯ ยังพระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
หากคืนก่อนจะเสด็จนั้น สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ทรงพระสุบิน (ฝัน) ดังเป็นลางบอกเหตุ ซึ่งทรงเล่าให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี ฟังว่า
"...พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอได้เสด็จไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ขณะทรงพระราชดำเนินข้ามสะพาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอบังเอิญพลาดพลัดตกลงไปในน้ำ พระองค์ได้ทรงคว้าพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอไว้ได้ครั้งหนึ่ง แต่แล้วก็ลื่นหลุดพระหัตถ์ไปอีก ทรงตามไขว่คว้าจนพระองค์เองตกลงไปในน้ำด้วย ทรงหวั่นในพระทัยอยู่เหมือนกันว่า พระสุบินนี้จะเป็นลางร้าย แต่สุดท้ายก็ได้ตามเสด็จไปตามพระราชประสงค์..."
ใน 'จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน' วันที่ ๔๒๒๐ วันจันทร์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะโรง โทศก จุลศักราช ๑๒๔๒ กล่าวถึงเหตุการณ์เรือพระประเทียบสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ล่มไว้ว่า
"...ไล่เลียงกรมหมื่นอดิศรกับพระยามหามนตรีด้วยเรื่องเรือล่ม พระยามหามนตรีทูลว่าเรือราชสีห์ซึ่งจูงเรือพระพระองค์เจ้าสุขุมาลนั้นไปหน้าใกล้ฝั่งตะวันออก เรือโสรวารซึ่งพระยามหามนตรีไปจูงเรือพระองค์เจ้าเสาวภาตามไปเป็นที่สองแนวเดียวกัน เรือยอชสมเด็จกรมหลวง ซึ่งจูงเรือกรมสมเด็จสุดารัตนราชประยูรไปทางฝั่งตะวันตกตรง แล่นตรงกันไปกับเรือราชสีห์ แล้วเรือปานมารุตแล่นสวนขึ้นมาช่องกลางห่างเรือโสรวารสัก ๑๐ ศอก
พอเรือปานมารุตแล่นขึ้นไปใกล้เรือราชสีห์ก็เบนหัวออก เรือพระประเทียบเสียท้ายปัดไปทางตะวันออก ศีร์ษะเรือโดนข้างเรือโสรวารน้ำเป็นละลอกปะทะกันกดศีร์ษะเรือพระประเทียบจมคว่ำลง..."
ทุกวันที่ ๓๑ พฤษภาคม จึงยังเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พร้อมด้วยเจ้าฟ้าในพระครรภ์ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชร์รัตน
หน้าพระลาน มองเห็นเจดีย์ขรัวพุดสอน ภาพถ่ายเมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเกาะสมุยเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๒ และในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ทรงเสด็จพระราชดำเนิน และจัดงานบำเพ็ญกุศลวันสิ้นพระชนม์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ (ภาพสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ อยู่ระหว่างการเสด็จประพาสแหลมมลายู และได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลฯ ขึ้น ณ เกาะสมุย ดังใน 'จดหมายเหตุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสหัวเมืองในแหลมมลายู ร.ศ. ๑๑๙' ความว่า
"...วันที่ ๓๑ พฤษภาคม เวลาย่ำรุ่งออกเรือพระที่นั่ง จากเกาะพงันไปทอดที่เกาะสมุยหน้าแม่น้ำ วันนี้เปนวันตรงกับวันสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ แลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน แลสมเด็จพนะเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ ได้ทรงพระราชดำริห์ที่จะทรงบำเพ็ญพระราชกุศล
เมื่อเรือพระที่นั่งถึงแล้ว เจ้าพนักงารได้ขึ้นไปจัดการบนบก มีพลับพลาที่ประทับ แลมีโรงฉันปลูกล้อมรอบพระเจดีย์ ซึ่งเปนของขรัวพุทธสรสร้างไว้ในที่วัดนี้ มีพลับพลาตั้งพระพุทธรูป แลพระทนต์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุ เสร็จจากมารีรัตน์บนม้าหมู่ มีเครื่องนมัสการพร้อม
เวลาเช้า ๒ โมงเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงประทับเรือพระที่นั่งกระเชียง ไปขึ้นตะพานที่หาดทรายเกาะสมุย ทรงพระดำเนิรไปตามทางลาดพระบาท ประทับที่โรงฉัน พระสาสนดิลก (คำ - ต่อมาลาสิกขาออกมารับราชการ เป็ที่พระยาวิจิตรธรรมปริวัต) ผู้อำนวยการศึกษาในมณฑลชุมพรเปนประธาน กับพระสงฆ์เจ้าคณะเมืองหลังสวน เมืองชุมพร เมืองไชยา แลพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ ในเกาะพงันและเกาะสมุย รวมทั้งสิ้น ๗๖ รูป ได้นั่งอยู่ในโรงฉันเปนลำดับไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบาตรแล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ และราษฎรที่มาคอยตักบาตรนั้น ตักบาตรพระสงฆ์ต่อไป เสร็จการตักบาตรแล้วพระสงฆ์รับพระราชทานฉัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับทอดพระเนตรพระสงฆ์ฉันอยู่ประมาณครู่หนึ่ง แล้วเสด็จไปประทับพลับพลา ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินแก่ราษฎร ที่มาช่วยตักบาตรพระสงฆ์ในการพระราชกุศลนี้ทั่วกัน
ครั้นพระสงฆ์ฉันแล้ว โปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์พระสงฆ์ที่เปนชั้นเจ้าคณะเจ้าอธิการรวม ๒๐ รูป มีพระสาสนดิลกเปนประธานขึ้นไปบนพลับพลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทอดผ้าไตรแล้วโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนนครราชสีมาแลเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ทรงทอดผ้าไตรต่อไปจนครบ ๒๐ เท่าจำนวนพระสงฆ์ๆ สดัปกรณ์แล้วไปครองไตรๆ เสร็จแล้วได้มานั่งที่ตามเดิม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดเทียนเครื่องนมัสการแล้ว พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์สัตตปริตโดยสังเขป จนแล้วเจ้าพนักงารได้นิมนต์พระครูโสภณเจติการาม [๑] วัดโพธารามเมืองไชยา ขึ้นไปเตรียมถวายเทศนาบนพลับพลา โปรดเกล้าฯ ให้ถวายของว่างแก่พระสงฆ์ ๒๑ รูป ให้ฉันเพน ส่วนพระสงฆ์ที่โรงฉันนั้นก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้ถวายของว่าง ฉันเพนเหมือนกัน
ครั้นพระสงฆ์ฉันแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงจุดเทียนนมัสการทรงธรรม พระครูโสภณเจติการาม ได้ขึ้นบนธรรมาสน์ไม้ไผ่ผูกใบมะพร้าว ถวายเทศนาสังเวคกถาเปนสำเนียงชาวเมืองตวันตก ครั้นเทศนาจบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทอดผ้าไตรสดัปกรณ์ แลทรงประเคนของไทยธรรมตามสมควร แลวัตถุเปนมูลค่าจตุปัจจัย ๔๐ บาท
พระชยาภิวัฒน์สุภัทรสังฆปาโมกข์ (หนู) ขณะนั้น ปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ยังเป็นที่ 'พระครูโสภณเจติการาม'
แล้วโปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์พระสงฆ์ ซึ่งไม่ได้สวดมนต์ขึ้นมาบนพลับพลา สมทบกับพระสงฆ์ที่สวดมนต์แลถวายเทศน์เปน ๗๖ รูป สวดธรรมสังคิณีมาติกาเปนต้นแล้ว สดัปกรณ์แล้วถวายอนุโมทนา พระราชทานปัจจัยมูลรูปละ ๑ บาท
แล้วเสด็จกลับลงประทับเรือพระที่นั่งกรรเชียงออกจากเกาะสมุย มาถึงเรือพระที่นั่งมหาจักรีเวลาเที่ยงเศษ เวลาบ่ายโมงเศษออกเรือพระที่นั่งจากเกาะสมุย มาทอดที่เกาะพงัน แลได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าแจกพระบรมวงศานุวงศ์แลข้าราชการ บรรดาที่โดยเสด็จพระราชดำเนิรทั่วกัน
หินจารึกพระนามย่ออักษรจีน ใกล้พลับพลาที่น้ำตกธารเสด็จ ในภาพจากซ้ายไปขวา คือ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าอดิสัยสุริยาภรณ์, เจ้าจอมอาบ, พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าอรประพันธ์รำไพ, เจ้าจอมเอื้อน และเจ้าจอมเลี่ยม (ภาพสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ เสด็จขึ้นประทับพลับพลาบนเกาะพงัน แลสรงน้ำในลำธารเสด็จเช่นก่อนๆ มา ครั้นสรงน้ำแล้ว เสด็จกลับมาประทับพลับพลา ทรงจารึกอักษรจีนย่อแลเลขไทย ๑๑๙ บนตัวอักษรจีนย่อนั้น ที่ก้อนศิลาตรงพลับพลาที่ประทับ ครั้นเสด็จแล้วทรงปลูกต้นจันกะพ้อ ๔ ต้น ในที่ใกล้พลับพลา แลทรงปล่อยไก่แลนกพิราบไว้ที่เกาะนี้ เพื่อให้เกิดพืชพรรณต่อไป เวลาย่ำค่ำเศษเสด็จเรือพระที่นั่งมหาจักรี คืนวันนี้ประทับแรมที่เกาะพงันฯ..." (อักขระตามต้นฉบับ จัดย่อหน้าใหม่)
...
2
[๑] พระครูโสภณเจติการาม ชื่อ หนู อยู่วัดโพธาราม เมืองไชยา (ปัจจุบันคือ อำเภอไชยา) ต่อมาได้เป็นพระราชาคณะที่ พระชยาภิวัฒน์
...
โฆษณา