14 ก.ค. 2024 เวลา 03:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

Abercrombie จากแบรนด์เสื้อผ้าเคยเชย สู่หุ้น 5 เด้ง ใน 1 ปี

ภาพจำของหลายคน Abercrombie เคยเป็นแบรนด์เสื้อผ้า ต้นแบบความคูลในอุดมคติของวัยรุ่นยุค 80s และ 90s
พอมายุค 2000s กลับกลายเป็น แบรนด์เสื้อผ้าสุดเชย แถมยังมีประเด็นเรื่องสร้างมาตรฐานความงามแบบผิด ๆ ในสายตาของหลายคน
แต่รู้ไหมว่า ปัจจุบัน Abercrombie พลิกกลับมาเป็นแบรนด์เสื้อผ้าสุดฮิตบนโลกออนไลน์อีกครั้ง
จนราคาหุ้นขึ้นมาให้ผลตอบแทน 400% หรือเป็นหุ้น 5 เด้ง ในเวลาเพียง 1 ปี
Abercrombie ทำได้อย่างไร ?
อะไรคือจุดเปลี่ยนของแบรนด์แบรนด์นี้
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
Abercrombie & Fitch คือ แบรนด์เสื้อผ้าสัญชาติอเมริกัน ที่ก่อตั้งในปี 1892 หรือเมื่อ 132 ปีที่แล้ว โดยคุณ David Abercrombie และคุณ Ezra Fitch
หลังจากแจ้งเกิดในฐานะแบรนด์เสื้อผ้าเอาต์ดอร์ของคนชนชั้นสูง Abercrombie ก็ต้องยื่นล้มละลายในปี 1976 จากความนิยมที่เปลี่ยนแปลง จนยอดขายลดฮวบ
2 ปีหลังล้มละลาย มีนายทุนเจ้าใหม่มาขอซื้อกิจการ และเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เป็นเหล่าวัยรุ่นอเมริกัน
1
ซึ่งนั่นทำให้ Abercrombie ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม กลายมาเป็นต้นแบบความคูลในอุดมคติของวัยรุ่นยุค 80s และ 90s
แต่อย่างที่รู้กันว่า เทรนด์แฟชั่นเปลี่ยนไปอยู่ตลอด..
พอเข้าสู่ยุค 2000s
สไตล์ที่เคยทันสมัยของ Abercrombie กลายเป็นความเชย ส่วนภาพโฆษณาที่เคยถูกมองว่าเท่ กลายมาเป็นการสร้างมาตรฐานความงามแบบผิด ๆ
นั่นเลยทำให้ Abercrombie เข้าสู่ขาลงอีกครั้ง
แต่ภายใต้ความมืดมิด ก็มีแสงสว่างเกิดขึ้น โดยคุณ Fran Horowitz ซีอีโอคนปัจจุบัน
คุณ Horowitz เข้ามาทำงานในบริษัทตั้งแต่ปี 2014 และได้รับตำแหน่งซีอีโอในปี 2017 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากของ Abercrombie
แต่คุณ Horowitz ก็ยังไม่หมดหวัง และใช้เวลากว่า 6 ปี ในการรีแบรนด์แบบค่อยเป็นค่อยไป จนพลิกกลับมาได้อีกครั้ง
แล้วกลยุทธ์การรีแบรนด์ของ Abercrombie มีอะไรบ้าง ?
อย่างแรกคือ การวางกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่
Abercrombie มี 4 แบรนด์ย่อย ภายใต้ 2 แบรนด์หลัก คือ
- Abercrombie : Abercrombie และ abercrombie kids
- Hollister : Hollister และ Gilly Hicks
โดย abercrombie kids เป็นแบรนด์เสื้อผ้าเด็ก ส่วน Gilly Hicks คือแบรนด์ชุดออกกำลังกายที่ใส่ในชีวิตประจำวันได้ด้วย
ซึ่ง 2 แบรนด์นี้ไม่มีปัญหา เพราะทั้งสไตล์และกลุ่มลูกค้าชัดเจน
แต่ปัญหาคือ Abercrombie กับ Hollister ที่สไตล์เสื้อผ้าแทบไม่ต่างกัน ส่วนกลุ่มลูกค้า ก็เป็นวัยรุ่นเหมือนกัน
คุณ Horowitz เลยให้ Hollister เป็นแบรนด์เสื้อผ้าสำหรับลูกค้ากลุ่มเดิม คือ วัยรุ่นอายุประมาณ 12-20 ปี
รวมถึงออกฟีเชอร์ Share2Pay ผ่านแอป ที่ให้แชร์ลิงก์ไปให้พ่อแม่ผู้ปกครองช่วยจ่ายได้ เพราะอย่างที่รู้กันว่า ลูกค้ากลุ่มนี้กำลังซื้อยังน้อยนั่นเอง
แต่ที่น่าสนใจก็คือ การปรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของแบรนด์หลักอย่าง Abercrombie
ที่เปลี่ยนมาเน้นลูกค้ากลุ่ม Zillennials ที่คาบเกี่ยวระหว่าง Gen Y กับ Gen Z อย่างคนที่ใกล้เรียนจบมหาวิทยาลัย ไปจนถึงคนที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน
เสื้อผ้า Abercrombie เลยเน้นไปที่สูท เบลเซอร์ ยีน และเดรส ที่สามารถใส่ได้ทั้งตอนไปทำงาน ทาน Brunch ไปปาร์ตีหลังเลิกงาน จนถึงร่วมงานแต่งงานของเพื่อน
ส่วนสไตล์จะมีความบาลานซ์ คือตามเทรนด์ แต่จะมาในสีพื้นอย่างขาว ดำ เทา และน้ำตาล แล้วไปเพิ่มลูกเล่นด้วยเท็กซ์เชอร์ของเนื้อผ้าแทน
ซึ่งราคาสินค้าของ Abercrombie เริ่มต้นประมาณ 700 บาท แต่ส่วนใหญ่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2,000-3,000 บาท
และนี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะยังไม่ค่อยมีแบรนด์ไหนที่ทำเสื้อผ้ามาตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้
และอีกข้อดีของลูกค้าของ Hollister และ Abercrombie คือ คนเหล่านี้ไม่ติดภาพลักษณ์ที่เชย หรือมีข่าวไม่ดีของแบรนด์ในยุคก่อนนั่นเอง
เพราะช่วงหลังมานี้ คุณ Horowitz เปลี่ยนภาพลักษณ์แบรนด์ไปอย่างสิ้นเชิง จากนางแบบนายแบบที่มีหน้าตาและหุ่นตามพิมพ์นิยม มาเป็นการนำเสนอความหลากหลาย ทั้งสีผิวและรูปร่าง
อีกเรื่องที่สำคัญคือ การทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะใน TikTok ที่ให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ มาเล่าเรื่องแบบเรียล ๆ เกี่ยวกับเสื้อผ้าของ Abercrombie
1
และแบรนด์ก็จะเอาข้อมูลที่ลูกค้าเอนเกจ และการสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์นี่แหละ มาวิเคราะห์ แล้วเอาไปทำคอนเทนต์ ไปจนถึงออกแบบสินค้าให้เหมาะกับพฤติกรรมของลูกค้า
ทีนี้เรามาดูผลประกอบการของ Abercrombie & Fitch Co. ว่าเป็นอย่างไร ?
(ปีงบการเงินของบริษัท เริ่มวันที่ 1 กุมภาพันธ์ สิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม)
ปี 2021
รายได้ 114,900 ล้านบาท ขาดทุน 4,200 ล้านบาท
ปี 2022
รายได้ 136,500 ล้านบาท กำไร 9,700 ล้านบาท
 
ปี 2023
รายได้ 136,000 ล้านบาท กำไร 74 ล้านบาท
1
ปี 2024
รายได้ 157,400 ล้านบาท กำไร 12,000 ล้านบาท
จะเห็นว่า กำไรในปีล่าสุด เติบโตอย่างมาก ซึ่งนั่นเป็นเพราะผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดที่แข็งแกร่ง
โดยหลัก ๆ มาจาก Abercrombie ที่ยอดขายโตถึง 27% ในปีที่แล้ว ส่วน Hollister ยอดขายโตที่ 6%
ซึ่งสัดส่วนรายได้ของ Abercrombie & Fitch Co. คือ
- Abercrombie และ abercrombie kids อยู่ที่ 51%
- Hollister และ Gilly Hicks อยู่ที่ 49%
ถ้าดูในแง่ของภูมิภาค ยอดขายส่วนใหญ่ 80% มาจากอเมริกา ซึ่งก็ยังมีโอกาสที่แบรนด์จะขยายไปยังภูมิภาคอื่น เช่น ยุโรป ตะวันออกกลาง รวมไปถึงเอเชียด้วย
อีกเรื่องที่น่าสนใจ ก็คงเป็น ช่องทางการขาย
หลายคนน่าจะคิดว่า Hollister ที่ขายวัยรุ่น น่าจะขายผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ส่วนลูกค้าของ Abercrombie น่าจะชอบซื้อแบบหน้าร้าน
แต่ในความจริงแล้ว ลูกค้าของ Hollister ดูรีวิวต่าง ๆ ผ่านทางช่องทางออนไลน์ก็จริง แต่เมื่อถึงเวลาจริง จะไปลองและซื้อที่หน้าร้าน
ในทางกลับกัน ลูกค้าของ Abercrombie ชอบซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ เพราะสะดวกและรวดเร็วกว่า
นั่นเลยทำให้
- ยอดขายเกือบ 70% ของ Hollister มาจากหน้าร้าน
- ยอดขายเกือบ 70% ของ Abercrombie มาจากออนไลน์
ตอนนี้บริษัทมีหน้าร้านทั้งหมด 765 ร้านค้า
โดยเป็น Hollister 518 ร้านค้า หรือประมาณ 68%
ซึ่งหลังจากนี้ คุณ Horowitz บอกว่าจะเน้นปั้น Hollister ให้ประสบความสำเร็จเหมือนกับ Abercrombie
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จาก Abercrombie ก็คือ การตั้งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ถูกต้อง เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะเป็นสิ่งที่กำหนดทิศทางของแบรนด์ ว่าต้องเดินไปตรงไหน
และการปรับตัวในเทรนด์แฟชั่นที่เปลี่ยนไปตลอด ไม่ใช่เรื่องง่าย เห็นได้จากการที่ Abercrombie ล้มแล้วลุกมาหลายครั้ง
ซึ่งก็ต้องเผื่อใจไว้ว่า แบรนด์อาจไม่ประสบความสำเร็จได้ตลอดไป
เพราะต้องเจอช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์และยากลำบาก สลับกันไปมาได้เสมอ
และในโลกธุรกิจ คงไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า
ถ้าในอนาคต แบรนด์ล้มลงอีก จะสามารถกลับมาลุกขึ้นได้อีกครั้งหรือไม่..
โฆษณา