15 ก.ค. 2024 เวลา 03:17 • ท่องเที่ยว

วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร .. พระอุโบสถ รอยพระพุทธบาท และพระมหาเจดีย์

วัดบวรนิเวศวิหาร (เดิมชื่อว่า วัดใหม่) เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ริมถนนบวรนิเวศและถนนพระสุเมรุ แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
“วัดวัดบวรนิเวศวิหาร” เป็นวัดที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพโปรดให้สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เดิมเรียกว่า “วัดใหม่” อยู่ในเขตฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จก็สวรรคตเสียก่อนในปีพ.ศ. 2375 ..
รัชกาลที่ 3 ทรงมีพระประสงค์แต่งตั้งให้เจ้าฟ้ามงกุฎ อยู่ในฐานะกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่ขณะนั้นเจ้าฟ้ามงกุฎยังทรงผนวชอยู่ จึงต้องทำโดยทางอ้อม
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงอาราธนาพระบาทสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทววงศ์ ขณะทรงผนวชประทับอยู่ “วัดสมอราย” ปัจจุบันคือ “วัดราชาธิวาส” ให้เสด็จมาครองที่วัดบวรนิเวศวิหาร
ต่อมาในปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่า วัดรังษีสุทธาวาส ทรุดโทรมมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมกับวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อ พ.ศ. 2458
ซึ่งในปัจจุบันยังคงเรียกส่วนที่เป็นวัดรังษีสุทธาวาส มาเดิมเรียกว่า “คณะรังษี”
วัดบวรนิเวศนี้ เป็นวัดที่น่าสนใจมากวัดหนึ่ง เพราะเป็นวัดที่พระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีรวมทั้งบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ต่างก็ทรงเคยมาผนวชอยู่วัดนี้ คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4, พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5, พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6, พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9
วัดบวรนิเวศวิหารเเห่งนี้ นอกจากจะมีความงดงามแล้ว ยังเป็นที่สถิตขององค์สมเด็จพระสังฆราชถึง 4 พระองค์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺคโต)พระสังฆราชองค์ที่ 8 .. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ) พระสังฆราชองค์ที่ 10 .. สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ชื่น นพวงศ์ สุจิตฺโต) พระสังฆราชองค์ที่13 .. และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จองค์พระสังฆราชองค์ที่ 19
นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของสงฆ์สายฝ่ายธรรมยุติกนิกายแห่งแรกในประเทศ และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 6 และ 9 เรียกได้ว่า วัดบวรนิเวศวิหาร นั้นมีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นอย่างมาก
ศิลปกรรมที่น่าสนใจใน วัดบวรนิเวศวิหาร
วัดบวรนิเวศวิหาร ถือเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมที่วิจิตรงดงามมากๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในย่านชุมชนเก่าแก่ของกรุงเทพ อย่างบางลำพู .. การได้ไปเยือนทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนวันวานไปยังย่านพระนครในอดีตเลยทีเดียว
พระอุโบสถ
พระอุโบสถของวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคาทรงไทยมีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันแบบไทย ผสมจีน และยุโรป สร้างตามแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 จึงมีความยิ่งใหญ่และวิจิตรงดงามในเวลาเดียวกัน
.. หลังคามุงด้วยกระเบื้องรางแบบจีน หลังคาพระอุโบสถเป็นแบบตรีมุข หน้าบันทั้ง 3 ด้าน มีลวดลายเหมือนกัน คือมีกรอบล้อมหน้าบันเป็นพานรองรับพระขรรค์ มีพระมหามงกุฎครอบ ลายเหล่านี้ประดับกระจกสีปิดทองล้อมรอบด้วยลายพุดตาน ซึ่งประดับกระเบื้องสี
... มีมุขหน้ายื่นออกมาเป็นพระอุโบสถ และมีปีกยื่นออกซ้ายขวา เป็นวิหารมุขหน้า ที่เป็นพระอุโบสถ มีเสาเหลี่ยมมีพาไลรอบซุ้มประตูและหน้าต่าง หน้าบันประดับด้วยลายปูนปั้น
ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นปูนปั้น ประดับกระจกสีปิดทองลายพุดตาน บานประตูด้านนอกเป็นไม้สักแกะสลักปิดทอง ลายสัตตพิธรัตน์ (แก้ว 7 ประการ อันคู่ควรแก่พระมหาจักรพรรดิ์ ได้แก่ บัวแก้ว วังแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว จักรแก้ว และแก้วมณี)
บานประตูด้านในเป็นภาพเขียนสีน้ำมันลายทวารบาลแบบจีน ลวดลายที่ปรากฏบนบานหน้าต่างด้านนอก เป็นไม้แกะสลักปิดทอง
ได้แก่ลายหมวดเครื่องราชกุธภัณฑ์หมวดพระแสง เครื่องราชูปโภค เครื่องสูง เครื่องแต่งกาย พระมาลา เครื่องอัฏฐบริขาล สิงสาราสัตว์ เรือสำเภา เรือสุพรรณหงส์ ทหารสมัยโบราณ ดอกบัว จักรอยู่ในวิมานขนาบข้างด้วยเสมา แม่พระธรณีบีบมวยผม กินรี คนธรรพ์ เทพพนมและลายก้านแย่ง มุขหน้าต่างด้านในเป็นภาพสีน้ำมันลายเครื่องบูชาแบบจีน
เสาพระอุโบสถมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ เสารับมุขพระอุโบสถ เป็นเสาเหลี่ยมหินอ่อนเซาะร่องตลอดแนวยาวของเสา ปลายเสาประดับด้วย ใบอคันซุส และเสาด้านข้างพระอุโบสถเป็นเสาเหลี่ยมลบมุม หินอ่อนไม่มีลายที่ปลายเสา พื้นอุโบสถและบันไดเป็นหินอ่อนเช่นเดียวกัน
บนเสาบันไดประดับด้วยสิงโตหิน พนักกำแพงแก้วประดับด้วยกระเบื้องปรุลายประจำยาม บันไดทางขึ้นทั้ง 3 ทางของพระอุโบสถมีตัวเหราเป็นราวบันได รอบ ๆ พระอุโบสถประดับด้วยตุ๊กตาจีน ฐานปัทม์พื้นหินอ่อน
ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปอยู่ 2 องค์ ซึ่งล้วนมีความสำคัญเนื่องจากเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่โบราณ ได้แก่ .. “พระพุทธชินสีห์” (องค์หน้า) เป็นพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งในหัวเมืองฝ่ายเหนือ
ตามตำนานเล่าว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก เจ้าเมืองนครเชียงแสนทรงหล่อขึ้นพร้อมกับพระพุทธชินราช และพระศรีศาสดา เมื่อประมาณ พ.ศ. 1500 เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 5 ศอกคืบ 7 นิ้ว
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ โปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานในมุขหลังพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ครั้นใน พ.ศ.2380 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะยังทรงพระผนวชอยู่และทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร โปรดให้อัญเชิญเข้าประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ดังปรากฏทุกวันนี้
ใต้ฐานพุทธบัลลังก์ พระพุทธชินสีห์ พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงเคยผนวช ณ วัดแห่งนี้
“พระสุวรรณเขต” หรือ "พระโต" หรือ หลวงพ่อเพชร พระประธานองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานไว้เบื้องหลัง “พระพุทธชินสีห์” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหน้าตักกว้าง 9 ศอก 21 นิ้ว เป็นพระประธานองค์แรกของอุโบสถวัดนี้ ซึ่งสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี
.. เชื่อว่าเดิมเป็นศิลปะขอมตั้งแต่สมัยทวาราวดี แต่พระยาชำนิหัตถการ นายช่างกรม พระราชวังบวรฯ เลาะออกทำพระศกใหม่ด้วยดินเผาให้เล็กลง ลงรักปิดทอง ทำให้มีกลิ่นอายของศิลปะยุครัตนโกสินทร์
ภายในพระอุโบสถหลังใหม่นี้ยังมีภาพจิตกรรมฝาผนัง ซึ่งมีความงดงามอยู่มากและยังแยกเป็น 2 ตอน คือ ตอนล่างกับตอนบนพอจะยกตัวอย่างพอสังเขปได้ดังนี้
ตอนล่าง ของฝาผนังในพระอุโบสถจะเป็นภาพเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมและประเพณีทางพุทธศาสนาและชีวิตประจำวันของชาวไทย
ตอนบน ของฝาผนังในพระอุโบสถ จะเป็นเรื่องรูปฝรั่งแสดงปริศนาธรรมที่ผนังพระอุโบสถ
สันนิษฐานไว้ในหนังสือ ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร ว่าท่านจักได้เขียนแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงครองวัด ทราบกันว่า รัชกาลที่ 4 ได้ทรงคิดเขียนขึ้นทุกตอนแสดงปริศนาธรรมเนื่องด้วยคุณของพระรัตนตรัยครบทั้ง 3 เป็นของแปลกไม่มีในที่อื่น รูปภาพเหล่านี้มี 16 ตอนเท่าจำนวนประตูและหน้าต่าง ตอนหนึ่ง ๆ ก็อยู่ขื่อประตูและหน้าต่างช่องหนึ่ง ๆ
รอยพระพุทธบาทโบราณ ณ ศาลาพระพุทธบาท
“รอยพระพุทธบาท” หรือ “รอยพระพุทธยุคลบาท” รอยพระพุทธบาทคู่ขนาดใหญ่ ที่มีจารึกระบุว่า สร้างอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลในคราวเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบ 36 พรรษา ซึ่งเป็นปีแรกในการขึ้นครองราชย์ของพระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) ที่เมืองชัยนาท ที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล วังหน้าในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้ทรงโปรดฯ ให้อัญเชิญจากเมืองพิษณุโลก ลงมาประดิษฐานที่วัดบวรสถานสุทธาวาสในพระราชวังบวรสถานมงคลในปี พ.ศ. 2342
ต่อมาในในปี พ.ศ.2452 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงโปรดฯ ให้อัญเชิญพระพุทธยุคลบาทมาที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เจ้าอาวาสได้โปรดให้ต่อมุขศาลาตรีมุขทรงเก๋งจีนบริเวณด้านข้างพระอุโบสถติดกับกำแพงวัดด้านทิศตะวันตก เพื่อประดิษฐานรอยพระพุทธบาทมาจนถึงในปัจจุบัน
รอยพระพุทธบาททรงสี่เหลี่ยมผืนผ้านี้ ตรงกลางเจาะเป็นหลุมลึกประมาณ 15 เซนติเมตร ภาพสลักอยู่ตรงกลางแผ่นหินชนวนขนาดใหญ่ ยาว 3.60 เมตร กว้าง 2.17 เมตร หนา 20 เซนติเมตร รอบรอยพระพุทธบาท สลักภาพพระอสีติมหาสาวก มีตัวอักษรบอกนามพระมหาเถรกำกับไว้
รอยพระพุทธบาทคู่นี้อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม ตามโครงรูปทรงรอยพระพุทธบาท สลักลายเส้นถมทองกลางฝ่าพระบาท แต่ละข้างมีรูปธรรมจักรขนาดใหญ่ รายล้อมด้วยรูปสัญลักษณ์มงคล 108 ประการ (อัฏฐุตรสตมงคล) แบบไม่มีเส้นตารางไปจนสุดส้นพระบาท หลายรูปลบเลือน จัดวางสุคติภูมิแห่งจักรวาลในมิติด้านตั้ง (ถือนิ้วองคุลีบาทเป็นด้านบน) มีโสฬสพรหมโลกอยู่ในระดับสูงที่สุด ไล่ลงมาเป็น อาวุธ เครื่องสูงประกอบพระจักรพรรดิ
พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวนักษัตรภูเขา มหาสมุทร สระน้ำใหญ่ ภูเขา แม่น้ำ ดอกบัวโดยมีรูปสัตว์หิมพานต์และสัตว์มงคลที่ส้นพระบาท ซึ่งเป็นการจัดวางรูปมงคลที่เป็นความนิยมในสมัยอยุธยา
ที่ด้านข้างแผ่นหินด้านปลายพระพุทธบาท มีคำจารึกภาษามคธ อักษรขอม 7 บรรทัด คำจารึกมีใจความว่า ..
“ครั้งแผ่นดินพระมหาธรรมราชาที่ 3 ไสยลือไทย พระวิทยาวงศ์มหาเถร ได้นำแผ่นหินมายังเมืองสุโขทัย ครั้นมาในแผ่นดินพระมหาธรรมราชาที่ 4 บรมปาลมหาธรรมราชา พระสิริสุเมธังกรสังฆนายก ผู้เป็นศิษย์ของพระสิริสุเมธังกรสังฆราช ได้สลักรอยพระพุทธบาททั้งคู่ลงบนแผ่นหินนั้น ตามแบบรอยพรุพุทธบาทบนยอดเขาสมันตกูฏ ในลังกาทวีป”
บนผนังกำแพงด้านหลังของศาลามีช่องซุ้มรวยตวัดงวงไอยราเป็นแง่ง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป โดยตรงกึ่งกลางของอาคารเป็นซุ้มประธานที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุด ภายในช่องประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลา ซึ่งมีลักษณะตามแบบงานศิลปะรัฐสุพรรณภูมิ คือ มีพระพักตร์เรียวยาวรูปไข่ มี “กลีบบัว” รองรับพระเมาฬีที่นิยมทำเป็นเปลวไฟโลกุตระโค้งปลายแหลมตามแบบลังกา
พระมหาเจดีย์
เจดีย์สัณฐานกลมขนาดใหญ่ หรือเรียกว่า ลอมฟาง .. ตั้งอยู่ถัดจากพระอุโบสถ มีชั้นทักษิณ 2 ชั้น เป็นสี่เหลี่ยม ฐานพระเจดีย์ชั้นบนโดยล้อมรอบ 24 วา 3 ศอก 5 นิ้ว
คำนวณตามเกณฑ์นี้ ส่วนสูงอขงพระเจดีย์ตั้งแต่ตอนนี้ขึ้นไปตลอดยอดประมาณ 22 วาเศษ
พระมหาเจดีย์องค์นี้ ก่อพระฤกษ์สร้างขึ้นเมื่อเดือน 10 ขึ้น 11 ค่ำ ปีเถาะ ตรีศก จ.ศ. 1193 ตรงกับวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2374 ในสมัยรัชกาลที่ 3 และสร้างเสร็จในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร
องค์พระเจดีย์มีซุ้มเป็นทางเข้าสู่คูหา 4 ซุ้ม .. เป็นทางเข้า 1 ซุ้ม เป็นทางแห่งแสงสว่าง 3 ซุ้ม ที่ทักษิณชั้นบนมีซุ้มยอดปราง 4 มุม ประดิษฐานพระพุทรูปยืน
.. ตรงกลางประดิษฐานพระเจดีย์กาไหล่ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ที่ฐานพระเจดีย์ เป็นแท่นศิลาสลักภาพพุทธประวัติ ปางประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักร และปรินิพพาน ด้านละปาง มีอักษรจารึก พระวาจา พระอุทาน และพระพุทธวจนะไว้เหนือแผ่นภาพสลักนั้นด้วย
พระบรมรูปพระยาทนมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานอยู่ภานในซุ้มด้านหน้า ตรงบันไดทางขึ้น
รอบพระเจดีย์ มีซุ้มประตูทางเข้าสู่ภายในทั้ง 4 ทิศ ที่พิเศษกว่าที่อื่น ด้วยเหตุที่มีรูปหบ่อสัตว์ 4 ขนิด ยืนอยู่เหนือแต่ละซุ้มประตู
แต่ละด้านของพระมหาเจดีย์ มีรูปปั้นของสุตว์ 4 ตัว คือ ช้าง สิงห์โต ม้า และนกอินทรีย์
ช้าง .. น่าจะหมายถึงสยาม หรือ ประเทศไทย ที่ตอนนั้นถูกรายบ้อมด้วยประเทศมหาอำนาจ ที่แผ่เข้่มายึดครองภูมิภาคนี้
สิงห์โต … ขาข้างซ้ายถือโล่ลายกากบาท คล้ายกับ Saint George Shield แบะเป็นลายเดียวกันกับ Saint George’s Cross ที่ปรากฏบนธงชาติอังกฤษ .. ใต้ขาหลังมีกบ้องส่องทางไกลไม้เท้า และปืนไขว้อยู่เหนือสิงห์โตมีมีภาพมงกุฏขนนก 3 แฉก คล้ายกับ Prince of Wales’s Feathers หรือพระราชลัญจรของมกุฏราชกุมารอัวกฤษ ด้านบ่างมีรูปพิณ (Harp) แตรฝรั่งและลูกศรไขว้กันคล้ายกับอักษร UK ซ้อนกันอยู่
ม้า … ยืนเหนือคฑาไขว้ ปืนใหญ่ แตรฝรั่ง และหมวก Bicorne หมวกของทหารในกลุ่มประเทศยุโรป ที่นิยมในช่วงปลายคริสตศรรษวัตรที่ 18 .. แต่ภาพหมวก Bicorne ที่เห็นกันมากคือ พระมาลาของจักรพรรดิ์นโปเลียนที่ 1 (Napoleon Bonaparte) ที่มักจะทรงใส่อยู่เสมอ
นกอินทรีย์ … ใช้ปากคาบและใช้กรงเล็บกำลูกศร 13 ดอก ด้านบ่างมีกระบอกลูกศร และคบเพลิงไขว้กันอยู่ .. นกอินทรีย์ เป็นสัญลึกษณ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ลูกศร 13 ดอก หมายถึง 13 อาณานิคมขอบอังกฤษริมชายฝั่งตะวันออก ซึ่งต่อมาได้เป็น 13 รัฐแรกในการก่อตั้งสหรัฐอเมริกา
***น่าจะตีความได้ว่า สัตว์ทั้ว 4 เป็นตัวแทนของมหาอำนาจที่มีอิทธิพลรายล้อมเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในเวลานั้น .. เจดีย์สีทองอยู่ตรงกลางมหาอำนาจ น่าจะหมายถึงพระพุทธศาสนาที่รุ่งเรือง มั่นคง เป็นดั่งเขาพระสุเมรุที่ประทับขอวมหาเทวะ เก็นศูนย์กลางของจักรวาล ที่รายล้อมด้วยตัวแทนของมกาอำนาจ
มีเจดีย์ประดิษฐานโดยรอบพระเจดีย์กาไหล่ทองอีก 4 องค์ คือ ด้านตะวันตกเป็นพระไพรีพินาศเจดีย์
ด้านใต้เป็นพระเจดีย์บรมราชานุสรณ์พระชนมพรรษา 5 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ด้านตะวันออกเป็นพระเจดีย์ไม้ปิดทอง ด้านตะวันตกเป็นพระเจดีย์โลหะปิดทอง
“พระไพรีพินาศ” ประดิษฐาน ณ เก๋งบนทักษิณชั้น 2 ของพระเจดีย์วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระพุทธรูปศิลา หน้าตักกว้าง 33 เซนติเมตร ความสูงถึงปลายรัศมี 53 เซนติเมตร
ตามประวัติของพระพระไพรีพินาศ ในราว พ.ศ. 2391 มีผู้นำมาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งขณะนั้นยังผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร และอยู่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระไพรีพินาศองค์นี้ ทรงแสดงอภินิหารให้ปรากฏอริราช ศัตรูที่คิดปองร้าย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต่างมีอันเป็นไป และพ่ายแพ้ภัยตนเอง พระองค์จึงโปรดให้ถวาย พระนามของพระพุทธ รูปองค์สำคัญนี้ว่า "พระไพรีพินาศ"
รอบฐานพระเจดีย์มีศาลาจีนและซุ้มจีน ถัดออกไปเป็นวิหารเก๋งจีน นอกจากนี้ก็มีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือขรัวอินโข่ง
ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงผนวชและประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร โปรดเกล้าฯ ให้ประติมากรของกรมศิลปากรปั้นหุ่นและสร้างพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร โดยเสด็จพระราชดำเนินหล่อพระพุทธรูปเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2499 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ได้ถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "พระพุทธนราวันตบพิตร"
ชั้นล่าง .. มีรูปปั้นของเทพ
รูปสลักหินตุ๊กตาจีน หลายขนาด ที่เรียงรายอยู่ตรงทางขึ้นพระมหาเจดีย์ รวมถึงในบริเวณวัด สวยงามมาก
โฆษณา