18 ก.ค. 2024 เวลา 04:26 • ท่องเที่ยว

วัดรังษีสุทธาวาส ภายในวัดบวรนิเวศวิหาร .. ประวัติพัฒนาการของ โรงเรียนวัดในสังคมไทย

วัดบวรนิเวศวิหาร วัดสำคัญที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ งานศิลปะ และสถาปัตยกรรมมากมายซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง .. หากเราเดินไปทางพื้นที่ด้านในอีกสักนิด เดินไปให้ถึงบริเวณพื้นที่ด้านใน ความน่าสนใจของพื้นที่นี้ที่หลายคนคงไม่ทราบคือ พื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นวัดอีกวัดหนึ่งชื่อว่า “วัดรังษีสุทธาวาส” ซึ่งตั้งอยู่ติดกับวัดบวรนิเวศฯ
วัดแห่งนี้เป็นวัดที่มีความเก่าแก่กว่าวัดบวรนิเวศฯ หลายปีเลยทีเดียว โดยสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2366 หรือมีอายุราว 200 ปี
วัดรังษีสุทธาวาส สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 บนพื้นที่ริมกำแพงพระนคร ด้านเหนือของกรุงรัตนโกสินทร์ ... พระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ เป็นผู้สร้างวัดแห่งนี้
ตามจารึกที่ยังปรากฏอยู่บนผนังพระอุโบสถ วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2366 และใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งหมด 6 ปี .. เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ ทรงเอาใจใส่ในการก่อสร้างวัดนี้มาก ทรงเป็นนายช่างและตรวจตราการสร้างด้วยพระองค์เอง
โดยหลังจากสร้างวัดเสร็จ พระองค์ทรงอาราธนา “พระมหาอยู่” มาเป็นเจ้าอธิการฝ่ายคันถธุระ และ “พระมหานาค” มาเป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสนาธุระ พร้อมทั้งถวายคนไว้เป็นข้าวัดทั้งสิ้น 4 ครัวเรือน การก่อสร้างครั้งนี้สิ้นพระราชทรัพย์ “พันหนึ่งมีเศศ”
วัดรังษีสุธาวาส มีสถานะเป็นวัดมหานิกายขึ้นตรงกับคณะเหนือ ชื่อของวัดมีปรากฏในจดหมายเหตุตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา โดยเขียนแตกต่างกันไปหลายชื่อ เท่าที่พบมีจำนวน 7 ชื่อได้แก่ วัดรังษี วัดรังสี วัดรังสีสุธาวาศ วัดรังศีรสุทาวาศ วัดรังษีรสุธาวาศ วัดรังษีสุธาวาศ และวัดรังสีสุทธาวาส
พื้นที่วัดมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ด้านหน้าวัดหันออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดถนนพระสุเมรุ ทิศตะวันออกติดแนวถนนดินสอ ทิศตะวันตกติดวัดบวรนิเวศฯ ทิศใต้ติดพื้นที่ “ตึกดิน” และบ้านเรือนราษฎรทั่วไป ประตูและถนนหลักของวัดวางตัวในแนวตรงกับประตูเมือง และมีถนนยาวต่อลงไปจนถึงคลองรอบกรุง ซึ่งถนนเส้นนี้คงเป็นทางสัญจรหลักของวัด
สภาพทางกายภาพของวัดแห่งนี้เมื่อแรกสร้าง .. พื้นที่ภายในวัดประกอบไปด้วยเขตพุทธาวาสและเขตสังฆาวาสเหมือนเช่นวัดอื่นๆ ทั่วไป โดยมีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนแรก เป็นเขตพุทธาวาส อยู่ด้านหน้าชิดกับถนนพระสุเมรุ มีคูน้ำล้อมรอบ 3 ด้าน
ส่วนที่สอง อยู่ทางทิศใต้ เป็นเขตสังฆาวาส
ส่วนที่สาม อยู่ทางตะวันออกของพื้นที่วัดติดกับถนนดินสอ เป็นเขตสังฆาวาสเช่นเดียวกัน
พื้นที่ทั้งสามส่วนถูกแยกออกจากกันด้วยคูน้ำซึ่งเชื่อมต่อถึงกันไปจนถึงคลองรอบกรุง ส่วนแนวด้านที่ติดกับวัดบวรนิเวศฯ ก็มีคูน้ำคั้นเป็นแนวแบ่งเขตวัดเช่นเดียวกัน
เขตพุทธาวาส มีอาคารเป็นหลักของวัดอยู่ 4 หลัง คือ พระวิหาร พระอุโบสถซึ่งมีกำแพงแก้วและใบเสมาล้อมรอบ ศาลาการเปรียญ และพระเจดีย์ซึ่งตั้งอยู่หลังพระวิหาร โดยทั้งหมดถูกล้อมด้วยกำแพงแก้วอีกชั้นหนึ่ง อาคารทุกหลังหันหน้าไปทางหน้าวัดด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
สภาพปัจจุบันคงเหลือเพียง พระอุโบสถ พระวิหาร และพระเจดีย์ เท่านั้น ส่วนศาลาการเปรียญถูกรื้อลงไปเมื่อ พ.ศ.2505 เพื่อสร้าง “อาคารกวีบรรณาลัย” ขึ้นแทน
ศาลาการเปรียญที่รื้อไปนั้นจากหลักฐานในหนังสือตำนวนวัดบวรนิเวศฯ ได้กล่าวถึงรูปแบบสถาปัตยกรรมไว้ว่า เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน รูปแบบคล้ายพระอุโบสถ หลังคาเป็นกระเบื้องเคลือบแบบจีนเช่นเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่พระอุโบสถทำผังเป็นแบบมีเสาระเบียงโดยรอบ ส่วนผนังอยู่ลึกเข้าไปด้านใน แต่ตัวศาลาการเปรียญนี้เป็นอาคารทรงโรงทึบ
จากประวัติความเป็นมา ประวัติผู้สร้างและผู้อุปถัมภ์วัด ตลอดจนงานสถาปัตยกรรมที่ปรากฏในวัด ดูแล้วก็น่าจะเป็นวัดสำคัญที่ควรจะเจริญเติบโตและคงสถานะของความเป็นวัดได้ตลอดจนถึงปัจจุบันได้อย่างสบายๆ ... แต่ในความเป็นจริง กลับไม่เป็นเช่นนั้น วัดแห่งนี้เมื่อล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ก็เริ่มพบกับจุดเปลี่ยนที่สำคัญ จนสุดท้าย วัดรังษีสุทธาวาสก็ถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัดบวรนิเวศฯ
ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย มีพระประสงค์ที่จะจัดการศึกษาให้แก่พระภิกษุจากหัวเมืองต่าง ๆ โดยให้เดินทางเข้ามาศึกษาในกรุงเทพฯ ณ วัดบวรนิเวศฯ
ด้วยนโยบายนี้ ในปี พ.ศ.2442 พระสาสนดิลก ผู้อำนวยการศึกษามณฑลชุมพร ได้มีโทรเลขแจ้งมายังสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ว่าจะส่งพระภิกษุเมืองชุมพร 7 รูปเข้ามาศึกษาในกรุงเทพฯ ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงมีพระดำริให้พระภิกษุจากชุมพรมาพักที่วัดรังษีสุทธาวาส
... เหตุผลคงเนื่องมาจากเป็นวัดที่ใกล้กับวัดบวรนิเวศฯ สามารถดูแลได้อย่างใกล้ชิด อีกทั้งพระภิกษุจากชุมพรเป็นพระมหานิกาย ดังนั้น การมาพักที่วัดรังษีสุทธาวาสซึ่งเป็นวัดมหานิกายจึงมีความเหมาะสมกว่า
จากเหตุเริ่มต้นดังกล่าว (เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปด้วยความสะดวกเรียบร้อย) สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ จึงได้มีรับสั่งถึงสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ณ ขณะนั้น ว่า ทรงมีพระดำริเห็นควรให้วัดรังษีสุทธาวาสที่ขึ้นอยู่กับคณะเหนือ เปลี่ยนมาขึ้นกับวัดบวรนิเวศฯ แทน เพื่อที่จะได้ทรงจัดการด้านการศึกษาของพระภิกษุที่ย้ายเข้ามากรุงเทพฯ ต่อไป
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ จึงได้ทรงนำเรื่องนี้กราบบังคมทูลต่อรัชกาลที่ 5 ซึ่งพระองค์ได้มีพระราชหัตถเลขาอนุญาต เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2442 ความตอนหนึ่งว่า
“…ควรให้ยกวัดรังษีสุทธาวาศมาขึ้นวัดบวรนิเวศน์ พระเจ้าน้องเธอกรมหมื่นวชิรญาณวโรรสจะได้ทรงจัดการให้พระเมืองชุมพรได้อาไศรยศึกษาเป็นต้นไป ได้มีพระราชหัตถเลขาสั่งการ…ให้ยกวัดรังษีสุทธาวาศมาขึ้นกับวัดบวรนิเวศน์แล้ว…”
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเมื่อ พ.ศ.2442 คงเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงในเชิงการบังคับบัญชาเท่านั้น วัดรังษีสุทธาวาสยังคงมีสถานะเป็นวัดมหานิกายเช่นเดิม
ในช่วงนี้สันนิษฐานว่าความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ใหญ่โตคงยังไม่น่าจะเกิดขึ้นมากนัก มีเพียงเล็กน้อยคือ พ.ศ.2444 มีการสร้างรั้วกั้นเขตพื้นที่วัดรังษีสุทธาวาสส่วนที่ติดถนนดินสอเท่านั้น ซึ่งพระปลัดจรและหมื่นกษัตรศรีศักดิ์เดช มรรคนายกวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยได้ทำรั้วด้วยฝาสังกะสีกั้นเขตยาว 2 เส้น 10 วา สูง 5 ศอก และทำประตูทางเข้าออก 1 ช่อง
ส่วนความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวัดรังสีสุทธาวาสจะเริ่มต้นขึ้นในอีกราว 3 ปีต่อมา
การผนวกรวมวัดรังษีสุทธาวาส ในอีกแง่หนึ่งได้เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมีนัยยะสำคัญต่อประวัติศาสตร์ความเป็นมาของการจัดการศึกษาแบบสมัยใหม่ในพื้นที่วัด หรือพูดอีกอย่างก็คือ “โรงเรียนวัด”
บันทึกของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (อ้างถึงใน สจช., มร. 6ศ/5 โรงเรียนวัดบวรนิเวศฯ 3 มิถุนายน 2456-11 ธันวาคม 2467 เรื่องบันทึกพระดำริห์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในการจัดการศึกษาของวัดและการฝึกหัดครู, หน้า 12.) ได้กล่าวอ้างถึงพระดำริของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ไว้อีกตอนหนึ่งว่า
“…เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตให้ยุบวัดรังษีสุทธาวาสแล้ว โปรดเกล้าฯ ให้รื้อกุฏิเก่ามาปฏิสังขรณ์ขึ้นสำหรับเป็นที่อยู่ของพระผู้เป็นอาจารย์และศิษย์เป็นหมู่ๆ…กันที่ไว้ตอนหนึ่งสำหรับเป็นสถานที่เรียน และได้ปลูกสถานที่เรียนแล้วเสร็จ 2 หลัง หลังหนึ่งด้วยทุนของพระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าอรพินธุ์เพญภาคย์ ประทานชื่อว่า ตึกอรพินธุ์…หลังหนึ่งด้วยทุนของพระศรีบัญชาบริจาคอุทิศให้หลวงดำรงธรรมสาร (มี ธรรมาชีวะ) ผู้บิดา ประทานชื่อว่า ตึกดำรงธรรมี…”
ในบันทึกยังได้อธิบายต่อไปว่า
“…โปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระอุโบสถเป็นที่สำหรับนักเรียนสวดมนต์ไหว้พระ พระวิหารเป็นที่ไว้พระพุทธรูปและของโบราณ ศาลาการเปรียญใช้เป็นห้องสมุดและที่สำหรับนักเรียนทำงานโดยลำพังในเวลากลางคืน เรือนอรพินธุ์เก่า…จะโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เป็นเรือนพยาบาล…ลานทรายปลูกหญ้าทำเป็นสนาม…ตึกหน้าวัด…บางตอนจะโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เป็นโรงงานการอาชีพ…นอกจากนี้ จะโปรดเกล้าฯ ให้ทำขึ้นใหม่อีก คือเรือนนอนปลูกใหม่ให้เป็นระเบียบ…โรงพละศึกษา…โรงอาหารสำหรับนักเรียนกลางวัน…”
พระดำริดังกล่าวจะปรากฏให้เห็นชัดในระยะเวลาต่อมาว่า พื้นที่ในส่วนที่เป็นวัดรังษีฯ เดิมนั้นได้ถูกพัฒนาให้เป็นพื้นที่ทางด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด จนกลายมาเป็น “โรงเรียนวัดบวรนิเวศ” ในที่สุด
หากลองไล่เรียงประวัติการก่อสร้างอาคารในพื้นที่ เราจะมองเห็นภาพดังกล่าวชัดเจนขึ้น
เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2459 ภายหลังการยุบรวมวัดรังษีฯ เพียง 1 ปี ได้มีการเปิดอาคารเรียนขึ้นใหม่ชื่อ ตึกอรพินธุ์ ในพื้นที่ธรณีสงฆ์ริมถนนดินสอ เป็นอาคารชั้นเดียวก่ออิฐถือปูน ซึ่งพื้นที่ธรณีสงฆ์ในส่วนนี้จะพัฒนากลายมาเป็นโรงเรียนวัดบวรนิเวศในที่สุด
ต่อมาใน พ.ศ.2461 เปิดตึกใหม่อีกหลังชื่อ ตึกดำรงธรรมี โดยปลูกต่อมาจากตึกอรพินธุ์ด้านทิศใต้ แต่ใน พ.ศ.2498 ตึกทั้งสองได้ถูกรื้อลงเพื่อสร้างตึกเรียนหลังใหม่
อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่แสดงตำแหน่งและขนาดของตึกทั้งสองยังคงเหลือให้เห็นได้จากแผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ.2475
เมื่อ พ.ศ.2467 หลังจากที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ สิ้นพระชนม์ไปราว 3 ปี ได้มีพิธีเปิดอาคารเรียนใหม่ขึ้นอีกหนึ่งหลังในพื้นที่คณะรังษี โดยอาคารหลังนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งรัชกาลที่ 6 พระราชทานนามว่า “ตึกมนุษยนาควิทยาทาน” ทำพิธีเปิดในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2467
ตึกมนุษยนาควิทยาทาน เป็นตึกขนาดใหญ่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมแบบโกธิก (Gothic) ออกแบบโดยพระสาโรชรัตนนิมมานก์ กว้าง 11 เมตร ยาว 26 เมตร สูง 2 ชั้น ตึกหลังนี้สร้างขึ้นทับตึกอรพินธุ์หลังแรกที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2447 (ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์และห้องสมุดเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร)
ต่อมาใน พ.ศ.2477 ได้มีการก่อสร้างตึกโรงเรียนพระปริยัติธรรมขึ้น เป็นอาคาร 2 ชั้นที่คณะเขียวรังษี ชื่อว่า “ตึกสามัคคีธรรมทาน”
นอกจากการพัฒนาการศึกษาในส่วนของฆราวาสแล้ว การศึกษาของพระภิกษุในนามของ มหามกุฏราชวิทยาลัย ก็ได้มีพัฒนาการสืบเนื่องมาโดยลำดับ
เมื่อ พ.ศ.2498 มีโครงการก่อสร้างอาคารเรียนสำหรับมหามกุฏราชวิทยาลัยเริ่มดำเนินการในพื้นที่เดิมของวัดรังษีฯ โดยในการก่อสร้างนี้ได้เลือกทำเลด้านหลังพระอุโบสถ พระวิหาร และศาลาการเปรียญของวัดรังษีฯ
อาคารหลังนี้มีชื่อว่า “ตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย” สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2501 ตัวอาคารเป็นตึกสูง 3 ชั้น ยาว 60.50 เมตร รูปแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์
ต่อมาใน พ.ศ.2505 ทางวัดบวรนิเวศวิหารได้ทำการรื้อศาลาการเปรียญของวัดรังษีฯ ลง และทำการก่อสร้าง “อาคารกวีบรรณาลัย” ขึ้นแทนในตำแหน่งเดิม เพื่อใช้เป็นห้องสมุดของสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย โดยออกแบบด้วยงานสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์อันเป็นรูปแบบที่นิยมในยุคสมัยดังกล่าว
เมื่อการศึกษาของโรงเรียนวัดบวรนิเวศเจริญขึ้นโดยลำดับ ความต้องการในการใช้พื้นที่และอาคารเรียนก็เพิ่มสูงขึ้น ด้วยเหตุนี้ ใน พ.ศ.2506 จึงได้มีการรื้อตึกอรพินธุ์ และตึกดำรงธรรมี ลง และทำการก่อสร้างอาคารเรียนขนาดใหญ่ขึ้นใหม่ แล้วเสร็จใน พ.ศ.2507 ให้ชื่อว่า “ตึกวชิรญาณวงศ์”
พร้อมกันนี้ก็ได้ทำการถมคูน้ำที่เคยทำหน้าที่แบ่งเขตสังฆาวาสกับพุทธาวาสของวัดรังษีฯ เปลี่ยนมาเป็นถนนแทน .. และใน พ.ศ.2519 ทางวัดบวรนิเวศวิหารก็ได้ทำพิธีเปิดตึกเรียนพระปริยัติธรรมขึ้นใหม่มีชื่อว่า “ตึก สว.ธรรมนิเวศ” โดยรื้อ “ตึกสามัคคีธรรมทาน” ซึ่งเป็นตึกเรียนพระปริยัติธรรมหลังเดิมลง
จากพัฒนาการของพื้นที่และการสร้างอาคารต่างๆ ยืนยันชัดเจนเป็นอย่างดีถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ใช้งานของวัดรังษีฯ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2458 เป็นต้นมา ว่าเป็นทิศทางของการพัฒนาสู่พื้นที่การศึกษาทั้งของพระและฆราวาส
ควรกล่าวไว้ด้วยว่า การพัฒนาพื้นที่วัดให้กลายเป็นโรงเรียนนั้นเป็นหนึ่งในพระดำริที่สำคัญของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ที่ได้ทรงมองเห็นว่า การปรับตัวของวัดในอนาคตที่สำคัญประการหนึ่งนั้นควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างพื้นที่การศึกษาแบบสมัยใหม่ ดังข้อความในบันทึกของพระองค์ตอนหนึ่งว่า
“…จำนวนภิกษุสามเณรต่อไปจะต้องน้อยลงโดยเหตุเนื่องด้วยอิคอนอมิกส วัดที่ไม่มีพระอยู่หรือมีพระน้อย ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องร่วงโรย จำต้องคิดแก้ไขให้เป็นที่ชุมนุมคนมากๆ จึงจะครึกครื้น และนำมาซึ่งความสัทธาของมหาชนที่จะช่วยกันทนุบำรุง ผู้ที่จะมาชุมนุมกันอยู่ได้มากๆ ก็คือเด็กนี้เอง…จึงทรงเห็นว่าวัดทุกวัดควรจัดเป็นโรงเรียน…นี้เป็นอนาคตของวัด…”
(ดูใน สจช., มร. 6ศ/5 โรงเรียนวัดบวรนิเวศฯ 3 มิถุนายน 2456-11 ธันวาคม 2467 เรื่องบันทึกพระดำริห์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในการจัดการศึกษาของวัดและการฝึกหัดครู, หน้า 10.)
พระดำริดังกล่าวได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดัน (ไม่มากก็น้อย) ที่ส่งผลทำให้พื้นที่วัดต่างๆ ในประเทศไทยในเวลาต่อมาต่างทยอยปรับพื้นที่บางส่วนของตนเอง (ส่วนใหญ่คือการปล่อยให้หน่วยงานราชการมาเช่าใช้พื้นที่) เปลี่ยนกลายมาเป็นโรงเรียนวัด
ในอีกแง่มุมหนึ่ง พระดำรินี้ยังสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการยกเลิกไพร่ ข้าพระ และเลกวัด ลงจนหมดสิ้น ทำให้วัดสูญเสียแรงงานมหาศาลในการดูแลวัดลง และจำเป็นต้องหารายได้ทางอื่นจากการบริหารจัดการที่ดินของตนเอง
ดังนั้น การปล่อยพื้นที่วัดให้หน่วยงานจากภายนอกมาเช่าเพื่อหารายได้เข้าวัดจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการปล่อยเช่าพื้นที่เพื่อปรับใช้เป็นโรงเรียน ก็เป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญของวัดหลายแห่งในยุคสมัยดังกล่าว (นอกจากโรงเรียน วัดหลายแห่งก็ยังมีการปล่อยพื้นที่ให้หน่วยงานต่างๆ เช่าสร้างตึกแถว สร้างอาคารต่างๆ เพื่อหารายได้อีกด้วย)
ทั้งหมดที่กล่าวมา คือ ประวัติโดยสังเขปของวัดรังษีสุทธาวาสที่ (แทบ) ไม่มีใครรู้จัก
ที่แม้ทุกคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ คณะรังษี แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่จะทราบว่าครั้งหนึ่งพื้นที่บริเวณนี้คือวัดมหานิกายที่สำคัญแห่งหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์
ยิ่งไปกว่านั้น น้อยคนคงจะทราบว่า พื้นที่แห่งนี้คือพื้นที่แห่งแรกๆ (แม้จะไม่ใช้พื้นที่แรกสุดก็ตาม) ที่เข้าไปมีส่วนอย่างสำคัญต่อประวัติศาสตร์พัฒนาการของโรงเรียนวัดในสังคมไทย
ภายในพื้นที่ของ วัดรังษีสุทธาวาสเดิม จะมีอาคารอยู่หลังหนึ่งที่คนแถวนั้นเรียกกันว่า “พระอุโบสถคณะรังษี”
พระอุโบสถคณะรังษี เดิมเป็นพระอุโบสถของ วัดรังสีสุทธาวาส ก่อนที่จะถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัดบวรนิเวศวิหาร
พรุอุโบสถคณะรังษี เป็นเาคารก่ออิฐถือปูน รูปแบบคล้ายพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 คือไม่ปรัดับเครื่องลำยองแบบไทย มีเสาพาไลล์ล้อมรอบอาคาร เพียงแต่ไม่มีการตกแต่งลวดลายใดๆ แต่ด้วยทรวดทรงที่งดงาม พระอุโบสถแห่งนี้จึงถูกใช้เป็นต้นแบบการก่อสร้างพระอุโบสถ วัดญานสังวราราม จัวหวัดชลบุรี
ภายในพระอุโบสถ ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น ประทับนั่งขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ .. ลักษณะพระพักตร์นิ่งอย่างหุ่น พระโอษฐ์เล็ก ทรงแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย ตามรูปแบบที่นิยมในช่วงสมัยต้นรัตนโกสินทร์
.. ด้วยความงามของพระพุทธรูปจึงมักกล่าวกันว่า เป็นงานฝีพระหัตถ์ของ สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ เจ้านายที่มีพระราชศรัทธาสร้าง วัดรังสีสุทธาวาสแห่งนี้ แต่ไม่มีหลักฐานอ้างอิงแต่อย่างใด
.. แต่อย่างไรก็ตาม จากจารึกที่ประดับไว้ในพระอุโบสถสามารถช่วยกำหนดอายุพระพุทธรูปองค์นี้ คือ ในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 2 ราวปี พ.ศ. 2366
ที่สำคัญคือ ที่สัปตปฏลเศวตฉัตรที่กางอยู่เหนือพระพุทธรูปองค์นี้ เป็นฉัตรแขวนเหนือพระโกศสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ภายในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
มุขด้านหน้าและด้านหลังของอาคารพระอุโบสถ หน้าบันเป็นลายดอกพุดตาน ประดับกระจกสีทองเช่นเดียวกับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ และคันทวย
ปี พศ. 2508 ได้มีการถอดย้ายบานประตูหน้าต่างเก่าจากพระอุโบสถวัดบวรฯ มาติดตั้งระหว่างเสาพาไล ทำให้พระอุโบสถคณะรังษีกลายเป็นอาคารทรงโรงที่มีประตูหน้าต่างซ้อนกัน 2 ชั้น
.. ดูเป็นมีระเบียงล้อมรอบ พนักระเบียงประดับกระเบื้องมุงสีเขียว พื้นหินขัด
บานประตูหน้าต่างด้านนอกเป็นไม้สักแกะสลักปิดทอง .. ลวดลายสมบัติ 7 ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ ตลวดจนเครื่องราชูปโภคต่างๆ มีลักษณะเป็นภาพนูนต่ำ
เบื้องหลังบานประตูและหน้าต่างชั้นนอก วาดภาพทวารบาล และโต๊ะตั้งเครืรองมงคลแบบจีน
บานประตูหน้าต่างด้านในเป็นภาพเขียนสีน้ำมันลวดลายแบบจีน ทั้งในรูปแบบพื้นสีแดง ลวดลายดอกไม้บนบานประตูด้านในของพระอุโบสถ
ภาพสีน้ำมันลายเทพเจ้าของจีนบนบานประตูด้านใน .. ใกล้ประตูมีตู้พนะธรรมเก่าแก่
ลวดลายศิลปะแบบจีนในหลากหลายแบบ เช่น เครื่องตั้ง รูปมงคลในคติจีน
ภาพนกที่ถือว่า เป็นมงคล
ภาพเซียน
ภาพสัตว์หลายชนิด
รวมถึงเครื่องบูชาแบบจีนที่งดงามมาก
พระวิหารคณะรังษี
ด้านในพระวิหารคณะรังษี...
พระพุทธรูปขนาดใหญ่ ประทับนั่งขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ .. มีพระพุทธรูปขนาดเล็กหลายองค์อยู่ด้านหน้าพระพุทธรูปประธานของพระวิหาร
รอบๆฐานที่ยกสูงของที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปราน มีช่องใส่อัฐิของบุคคลในตระกูล ไกรฤกษ์
พระวิหารคณะรังสี เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ยกพื้นสูง หลังคาทรงไทยชั้นเดียวมี 2 ตับ มุงกระเบื้องราง .. มีรูปลักษณ์ที่ดูเรียบง่าย หน้าบันไม่มีลวดลาย ไม่มีซุ้มประตูหน้าต่าง
ด้านในเป็นลายดอกไม้ร่วง เสาเหลี่ยมลบมุม ไม่มีลายที่ปลายเสา พื้นหินอ่อนบนพระวิหารเป็นฐานปัทม์
โฆษณา