Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เมืองไทยไดอารี่ by Supawan
•
ติดตาม
21 ก.ค. 2024 เวลา 00:37 • ท่องเที่ยว
พระกริ่งปวเรศ วัดบวรนิเวศวิหาร .. ต้นตำหรับพระกริ่งไทย
พระกริ่งปวเรศ เป็นพระกริ่งที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์โปรดให้พระยาเวียงในนฤบาลสร้างขึ้น มีพระพุทธรูปขนาดเล็กลักษณะ ปางหมอยา เป็นชื่อเรียกพระกริ่งที่สร้างโดยฝีมือของช่างสิบหมู่ หรือ ช่างหลวง ตั้งแต่ พ.ศ. 2382–2434
ในอาณาจักรพระเครื่องรางที่นับถือว่ามีอานุภาพขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่นักนิยมพระเครื่องตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 4 สืบมาถึงปัจจุบัน มีราคาซื้อขายสูงที่สุดในประเภทพระโลหะ การสร้างมีพิธีพระพุทธาภิเษก และมีพิธีโหร พิธีพราหมณ์ และพิธีบวงสรวงอัญเชิญเทพเทวาพระเบื้องบนมาช่วยร่วมพิธีกรรมต่าง ๆ
พระพุทธรูปที่จัดว่าเป็นพระเครื่องในช่วงแรกนี้มีทั้งทำจากดินและจากโลหะ แต่พระที่ใช้โลหะเป็นวัสดุในการสร้างและเมื่อเขย่าแล้วจะมีเสียงดังกริ่ง ๆ ที่เรียกกันว่า “พระกริ่ง” ได้รับการยอมรับและศรัทธาในสังคมมากกว่า ได้กล่าวโดยกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
… อาจเนื่องจากรูปแบบของพระกริ่งนั้นคือ “พระไภษัชยคุรุ” ในหนังสือตำนานพุทธเจดีย์ว่า .... พระกริ่งที่สร้างขึ้นทุกองค์เป็น “พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต” ทั้งสิ้น และความเชื่อที่ว่า “พระไภษัชยคุรุ” นั้น มีอำนาจพุทธานุภาพทำให้ผู้ที่บูชาหายจากความเจ็บป่วยไข้และพ้นภัยจากอันตรายทั้งปวง
การสร้างพระกริ่งที่เป็น “พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต” ขนาดเล็กขึ้นนั้น เพื่ออาศัยบารมีของพระไภษัชยคุรุนี้ ช่วยขจัดภยันตรายต่าง ๆ และให้ผู้ที่พกพาติดตัวระหว่างเดินทางปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงจากที่พกติดตัว จึงเป็นมูลเหตุที่สำคัญในการนับถือพระกริ่งเป็นเสมือนเครื่องรางและนำติดตัว
“พระกริ่งปวเรศ” ถือเป็น พระกริ่งรุ่นแรก ที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ อีกทั้งยังมีส่วนส่งเสริมให้เกิดความนิยมสร้างพระพุทธปฏิมาในลักษณะ “พระกริ่ง” ในเวลาต่อมาอย่างแพร่หลายได้รับความนิยม ศรัทธา สูงสุดในวงการซื้อขายที่ถือเป็นสุดยอดพระกริ่ง
.. การสร้างเป็นพิธีกรรมของราชสำนัก บุคคลทั่ว ๆไปย่อมไม่มีโอกาสได้พบเห็น จำนวนการสร้างเกือบทั้งหมดบรรจุกรุที่วัดพระแก้ว ไม่ทราบจำนวนการสร้างที่แน่ชัดจึงถือเป็นของหายากและเป็นที่สุดของพระกริ่งปวเรศ
ประวัติการสร้างพระกริ่งปวเรศ
พระกริ่งในสมัยรัตนโกสินทร์เริ่มสร้างที่มีความโดดเด่นมากในยุคสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2382 จัดได้ว่าเป็นพระกริ่งยุคเริ่มบุกเบิกและมีพลังพุทธนุภาพแรงที่สุด
พระกริ่งปวเรศ เริ่มมีชื่อเสียงในวงแคบ ๆ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมาถึงยุคของรัชกาลที่ 5 … พระกริ่งที่โด่งดังในอดีตล้วนแต่เป็นพระกริ่งที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ร่วมอธิษฐานจิต เนื่องจากพระกริ่ง และพระกริ่งปวเรศมีจำนวนการสร้างมาก .. แต่จำนวนเกือบทั้งหมดถูกเก็บรักษาไว้ในกรุของวัดพระแก้ว (วัดพระศรีรัตนศาสดาราม) ทำให้บุคคลทั่ว ๆ ไปในยุคหลังสมัยรัชกาลที่ 5 แทบไม่เคยพบเห็นและรู้จัก
ภาพรวมของพระกริ่งปวเรศแบ่งออกเป็น 5 ยุค ดังต่อไปนี้
พระกริ่งปวเรศและพระเครื่องวังหน้า ยุคที่ 1 เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2394 ถึง พ.ศ. 2408 ในสมัยของ รัชกาลที่ 4 มีพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระบาทสมเด็จฯปวเรศ), ตำแหน่ง วังหน้าและ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ร่วมอธิษฐานจิต
พระกริ่งปวเรศและพระเครื่องวังหน้า ยุคที่ 2 เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2408 ถึง พ.ศ. 2411 ในสมัยของ รัชกาลที่ 4 ตำแหน่ง วังหน้า ว่างเว้น และ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ร่วมอธิษฐานจิต
พระกริ่งปวเรศและพระเครื่องวังหน้า ยุคที่ 3 เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2411 ถึง พ.ศ. 2415 ในสมัยของ รัชกาลที่ 5 กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ตำแหน่ง วังหน้าองค์สุดท้าย และ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ร่วมอธิษฐานจิต
พระกริ่งปวเรศและพระเครื่องวังหน้า ยุคที่ 4 เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2415 ถึง พ.ศ. 2428 ในสมัยของ รัชกาลที่ 5 กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ตำแหน่ง วังหน้าองค์สุดท้าย
พระกริ่งปวเรศและพระเครื่องวังหน้า ยุคที่ 5 เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2428 ถึง พ.ศ. 2435 ในสมัยของ รัชกาลที่ 5 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เนื่องจากไม่มีตำแหน่งวังหน้า ผู้ที่มีอาวุโสของพระญาติวังหน้า จึงได้มีบทบาทสำคัญยุคสุดท้ายของพระกริ่งวังหน้าในยุคที่ 5
ความเชื่อและคตินิยม
สำหรับความเชื่อในเรื่อง เครื่องราง ของคนไทย มีมาแต่ครั้งโบราณ ดังจะเห็นได้ในวรรณกรรมที่มีการกล่าวถึงอยู่เสมอ ๆ โดยเฉพาะ เครื่องราง ที่นักรบใช้ติดตัวในยามออกศึกสงคราม เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ห้าวหาญไม่เกรงคลัวข้าศึก … โดยเชื่อกันว่า เครื่องราง ที่สร้างขึ้นด้วยวิชาไสยศาสตร์ชั้นสูง โดยพระเกจิอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมอันเข้มขลัง จะสามารถช่วยคุ้มครองป้องกันภัยรอบตัวได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันนิยมนำมาห้อยคอเป็นเครื่องรางสำหรับคุ้มครองป้องกันและเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต
อาราธนาทำ น้ำมนต์ เมื่อเวลาเรารู้สึกดวงไม่ดี มีเคราะห์ หรือเจ็บป่วย นำพระกริ่งปวเรศ หรือพระกริ่ง (องค์แทนพระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาสพุทธเจ้า) อาราธนาบารมีของพระองค์ท่านทำน้ำพระพุทธมนต์ ดื่ม รด อาบ กินเพื่อความสวัสดี มีชัยปราศจากโรคภัยและกำจัดปัดเป่าอัปมงคล อันตราย ภัยพิบัติต่าง ๆ
มวลสารพระกริ่งปวเรศ
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 13 เคยมีดำรัสถึงเรื่องพระกริ่งปวเรศนี้ว่า.. ตำราการสร้างพระกริ่งและตำรามงคลโลหะ ที่มีมาแต่โบราณสืบค้นได้ถึงสมัยสมเด็จพระพนรัตนวัดป่าแก้ว
ท่านอาจารย์ตรียัมปวาย ได้กล่าวถึงเรื่องพระกริ่งปวเรศไว้ดังนี้ "พระกริ่งปวเรศที่คนโบราณเขานิยมกันนั้น มีอยู่เนื้อเดียว คือเนื้อนวโลหะผิวกลับดำ เมื่อขัดเนื้อในจะเป็นสีจำปาเทศ และเมื่อทิ้งไว้ถูกกับอากาศจะกลับดำอีกครั้งหนึ่งในเวลาไม่นาน
เนื้อนวโลหะ ประกอบไปด้วย โลหะ 9 อย่างได้แก่ ทองคำ เงิน ทองแดง จ้าวน้ำเงิน(พลวง) เหล็กละลายตัว ชิน(ตะกั่ว+ดีบุก) ตะกั่วน้ำนม ปรอท สังกะสี
ตำนานการสร้างพระกริ่งในไทย
คำว่า “พระกริ่ง” มิใช่เป็นเพราะเหตุที่ว่า เป็นองค์พระที่หล่อขึ้นแล้วบรรจุเมล็ดโลหะไว้ข้างใน และยกพระขึ้นเขย่าดูจะบังเกิดเสียงดังกริ่งๆ ขึ้น อย่างเดียวก็หาไม่
.. แต่หากคำว่า “กริ่ง” นี้มีความหมายที่มาแต่เหตุอื่นอีกต่างหากดังนี้
การที่หล่อพระกริ่ง นายช่างจะทำหุ่นต่างหากจากการหล่อพระชนิดอื่น ซึ่งเป็นรูปปั้นเป็นรูปพระเป็นองค์ๆไป โดยเฉพาะหุ่นของพระกริ่งนายช่างจะปั้นหุ่นเป็นรูปสัณฐานเหมือนกิ่งไม้มีแกนกลางสองข้างเป็นกิ่งเล็กน้อยขนาดเท่ากัน
แต่ละกิ่งนั้นๆ จะประกอบหุ่นพระพุทธรูปมีขนาดเล็กใหญ่สุดแต่ความต้องการของผู้สร้าง (จะเล็กใหญ่ขนาดเท่ากัน) จำนวนพระพุทธรูปที่มีประจำตามสัณฐานของกิ่งนั้นจะมีจำนวนมากน้อยเท่าใด ก็สุดแต่นายช่างจะกำหนด โดยมากเท่าที่เคยเห็น มักจะไม่เกิน 25 องค์ต่อ 1 กิ่ง ทั้งซ้ายขวาและส่วนยอดของกิ่ง
ที่กล่าวจำกัดจำนวนนี้หมายถึงการสร้างเป็นเรือนร้อย หากสร้างเป็นจำนวนพันสัณฐานของกิ่งนั้นอาจจะเป็นพุ่มรอบและมีจำนวนถึง 50 องค์ก็ได้ เมื่อว่าตามลักษณะรูปร่างสัณฐานของการสร้างดังกล่าวมา ก็เห็นสมว่า พระชนิดนี้เรียกชื่อได้เพราะสมว่า “พระกริ่ง”
พระกริ่งนั้นเดิมเป็นของจีนซึ่งอาศัยอยู่ในทิเบต พากันนิยมสร้างขึ้น เรียกว่า “พระไภษัธคุรุ” ทำเป็นองค์เล็กก็มี ใหญ่ก็มี ความมุ่งหมายสร้างขึ้นเพื่อบำบัดปัดเป่าอันตราย โดยยกพระกริ่งขึ้นเขย่าพร้อมทั้งตั้งความปรารถนาให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ
ต่อมาเมืองเขมรพากันสร้างตามอย่างบ้าง แต่โดยมากสร้างเป็นองค์เล็กๆ ใช้เป็นเครื่องราง พระปทุมสุริยวงศ์เป็นผู้สร้าง เลยขนานนามว่า “กริ่งพระปทุม” ต่อมาได้ยักย้ายสร้างขึ้นเป็นหลายขนาดและขนานนามว่า “กริ่งอุบาเก็ง” โดยถือว่าเป็นต้นกำเนิดจากทิเบตบ้าง
Photo : Internet
กริ่งอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า “พระกริ่งชัยวัฒน์” พระกริ่งชนิดนี้เดิมมิได้จัดทำเป็นเหมือนรูปพระกริ่งธรรมดา เป็นแต่ว่ามีตำราซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงรักษาไว้ (พระกริ่งชัยวัฒน์นี้เป็นของสูงสำหรับสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทุกๆ รัชกาล ทรงหล่อไว้ประจำทุกๆ รัชกาล แต่ที่ว่าเดิมคำว่ากริ่งลงไปนั้น ทรงหล่อไว้สำหรับเป็นพระพุทธรูปเครื่องราง สำหรับประดิษฐานไว้บนหลังช้างเวลาเสด็จออกสงคราม)
พระกริ่งรุ่นแรกที่หล่อขึ้นในประเทศไทย เฉพาะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์และมีผู้นิยมกันทั่วไป ทั้งเล่าลือนับถือกันว่าทรงคุณวิเศษสามารถบำบัดโรคาพาธให้หายขาดได้ ตลอดจนสามารถที่จะตัดรุ้งให้ขาดจากกันได้ด้วย เรียกกันว่า “พระกริ่งปวเรศ”
… ซึ่งพระนามเต็มว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวิริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร ท่านได้ทรงจัดหล่อขึ้น เพื่อแจกจ่ายแก่บรรดาเจ้านายมีจำนวนจำกัดไม่แน่ชัดว่าเท่าใด
พุทธลักษณะหล่อครั้งแรกนั้น เป็นพระรูปขัดสมาธิเพชร พระกรซ้ายหงายฝ่าพระหัตถ์บนตัก พระกรขวาวางพระหัตถ์ไว้ที่พระเพลา ปลายพระหัตถ์ทรงชี้พระธรณีเป็นพยาน ประทับบนพระแท่นบัวคว่ำบัวหงาย 8 กลีบ
ต่อมาทรงเห็นว่าจะเป็นการซ้ำแบบครู จึงทรงยักย้ายให้พระหัตถ์ซ้ายทรงประคองหม้อน้ำมนต์ และเพิ่มบัวหลังตรงจุดศูนย์กลางขึ้นอีก 1 บัว ผสมทองเนื้อสัมฤทธิ์
พระกริ่งปวเรศฯ นี้ เนื้อในขององค์พระเป็นสีจำปาอ่อน ผิวกลับดำ ทรงสร้างไว้ 2 คราว คราวแรกอุดฐานด้วยทองแดง คราวที่ 2 อุดฐานด้วยทองเหลือง มีเครื่องหมายกันปลอม ในยุคนั้นการนิยมสร้างพระกริ่งยังไม่แพร่หลาย
มูลเหตุที่จะให้สร้างพระกริ่งแพร่หลายในยุคต่อมา ก็เมื่อในราวปีมะโรง พ.ศ. 2411 จัดสร้างโดยสมเด็จพระสังฆราช (แพ วัดสุทัศน์ฯ) ซึ่งในครั้งนั้น
พระองค์ยังทรงดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นเทพ นามว่า พระเทพโมฬี และพระกริ่งที่ทรงจัดหล่อขึ้นในคราวนั้น มีจำนวนจำกัด ตามประวัติว่ามีเพียง 9 องค์เท่านั้น
เค้าเงื่อนของตำนานการสร้างพระกริ่งครั้งนี้ จากบอกเล่าจากอดีตพระมงคลราชมุนี (สนธิ์ ยติธโร วัดสุทัศนเทพวราราม) ผู้ได้รับตำราสร้างพระกริ่งรวมทั้งพิธีการหล่อ กล่าวว่า ..
ตำราและพิธีการสร้างพระกริ่งเดิมทีเดียวเป็นสมบัติของพระพนรัตวัดป่าแก้ว สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อคราวเสียกรุงแก่พม่าแล้ว ตำรานี้ได้ตกทอดมาเป็นสมบัติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ วัดพระนคร
เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้นสิ้นพระชนม์ลง ตำรานี้ได้ตกทอดมาเป็นสมบัติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวิริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศฯ ครั้นสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้นสิ้นพระชนม์ลง ตำรานี้ไม่แน่ชัดว่าได้ตกไปเป็นสมบัติของผู้ใดครอบครองไว้
จวบจนคราวหนึ่ง เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑิต ในวัดสุทัศนเทพวราราม จังหวัดพระนคร) ได้อาพาธลงด้วยอหิวาตกโรคอย่างแรงอาการหนักมาก สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นทรงทราบ ได้เสด็จไปเยี่ยม และรับสั่งว่าได้เคยทรงเห็นสมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศฯ เสด็จพระอุปัชฌาย์ของพระองค์ ท่านทรงอาราธนาพระกริ่งทำน้ำพระพุทธมนต์แล้วประทานให้คนไข้ด้วยอหิวาตกโรคกินแล้วหายทุกคน
.. พร้อมกับมีพระดำรัสใช้ให้มหาดเล็กไปนำเอาพระกริ่ง ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศฯ ได้ทรงสร้างไว้ และประทานให้สำหรับประจำพระองค์มาอาราธนาทำน้ำพระพุทธมนต์ถวายสมเด็จพระวันรัต (แดง) ฉัน ปรากฏว่าอาการอาพาธที่หนักนั้นทุเลาลงทันที และได้ฉันน้ำพระพุทธมนต์พระกริ่งตลอดมาจนอาการหายเป็นปกติ
สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ครั้งดำรงตำแหน่งพระราชาคณะชั้นสามัญนามว่า “พระศรีสมโพธิ” ได้เฝ้าปฏิบัติพยาบาลสมเด็จพระอุปัชฌาย์อยู่ใกล้ชิด ได้ทรงเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวโดยตลอด ทรงสนพระทัยเป็นอย่างยิ่งนับจำเดิมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระองค์ทรงครุ่นคิดและขวนขวายค้นคว้าหาตำราที่จะทรงจัดสร้างพระกริ่งนั้นให้จงได้
ได้ทรงค้นคว้าอยู่นานปี ก็ได้ความปรากฏชัดว่าตำราสร้างพระกริ่งนั้น ตกอยู่ที่วัดจักรวรรดิฯ (สามปลื้ม) จังหวัดพระนคร พระมงคลทิพยมุนี (มา อินทสโร) ต่อมาได้เลื่อนสมณศักดิ์สูงขึ้น โดยได้รับสถาปนาดำรงตำแหน่งพระพุฒาจารย์ ในปีขาล พ.ศ. 2457 เจ้าอาวาสเป็นผู้รักษาตำรานั้นไว้ .. จึงทรงขอตำราและก็ได้สมพระประสงค์
ต่อจากนั้นพระองค์จึงทรงค้นคว้าหาโลหะแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งระบุไว้ในตำรา จัดการหลอมหล่อพระกริ่งขึ้นมีจำนวนจำกัดตามประวัติว่ามีเพียง 9 องค์ แต่ครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ มีนามว่า พระเทพโมลี เมื่อปีมะโรง พ.ศ. 2411
รูปร่างลักษณะพรรณสันฐานองค์พระกริ่งที่หล่อขึ้นครั้งนั้นเป็นแบบเดียวกันกับของสมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศฯ ทรงหล่อ แต่ได้ดัดแปลงโดยตัวบัวด้านหลังออก และต่อๆ มาก็ได้ทรงจัดหล่อขึ้นเป็นหลายคราว
อนึ่งวันที่ทรงหล่อนั้น พระองค์กำหนดเอาวันเพ็ญเดือน 12 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ท่าน พระกริ่งที่ทรงจัดหล่อมาตั้งแต่ต้นตลอดจนสิ้นพระชนมชีพของพระองค์มีประมาณไม่เกินจำนวน 1,500 องค์
…………
พระตำราดังกล่าวนี้ได้ตกทอดมาเป็นมรดก โดยอดีตสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้นได้ประสิทธิ์ประสาทรงมอบหมายให้กับอดีตเจ้าคุณพระศรีสัจจญานมุนี (สนธิ์ ยติธโร วัดสุทัศนเทพวราราม) ภายหลังได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นราช มีนามว่าพระมงคงราชมุนี ท่านเจ้าคุณมงคลราชฯ ได้จัดการหล่อพระกริ่งตามพระตำราดังกล่าวนี้ขึ้นอีกหลายคราว จวบจนถึงกาลมรณภาพลง พิธีการหล่อพระกริ่งดังกล่าวจึงยุติ….
Photo : Intetnet
ในช่วงวันที่ 20-29 กค. 2567 มีการเปิดให้ผู้เลื่อมใสศรัทธาเข้าไปกราบสักการะ “พระกริ่งปวเรศ” ซึ่งเหลืออยู่องค์เดียว ประดิษฐานในเก๋งจีนเล็กๆในวัดบวรฯ ซึ่งเดิมแทบไม่เปิดให้ใครเข้าชมมานานแล้ว
ขอบคุณเนื้อความบางส่วนจาก :
https://www.silpa-mag.com/history/article_76495
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%A8
บันทึก
3
2
1
3
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย