Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
กมลสันดาน
•
ติดตาม
27 ก.ค. 2024 เวลา 07:07 • นิยาย เรื่องสั้น
กมลสันดาน : ชีวิตปะหลาดของเด็กชายบ้านนอก
ตอนที่ 1 มึงเล็กเกินไป
"ไปอยู่ประตู"
"มึงมันโตน้อย บ่คือหรอก อย่ามาเล่นกับหมู่" และสารพัดคำอื่นๆที่ทั้งเพื่อนรุ่นพ่อและเพื่อนรุ่นเดียวกันว่าให้ผม โดยเฉพาะเวลาลงสนามไปเล่นฟุตบอล ผมมักโดนไล่ไปอยู่ประตู หรือไม่ก็ให้ยืนข้างสนามดูเพื่อนๆเตะบอลในตอนเย็นของแต่ละวัน ณ สนามฟุตบอลโรงเรียนใกล้บ้าน เสียงเหล่านี้ยังดังก้องหูผม และมีอีกสารพัดเสียงที่ยังกังวาลในโสตประสาท แม้เวลาจะผ่านล่วงมาเกือบ 30 ปี แต่คำพูดเหล่านี้ยังวนเวียนผมอยู่วันแล้ววันเล่า
นั่นคือบางตอนของชีวิตวัยเยาว์ของผม ซึ่งช่วงนั้นน่าจะอยู่ประมาณชั้น ม.2 ที่ผมเริ่มเข้าร่วมเพื่อนฝูงด้วยหวังอยากได้การยอมรับนับถือจากบรรดาเพื่อนๆ และพี่ๆในหมู่บ้าน
ผมแป็นคนตัวเล็ก ขี้โรค ขี้แย "มึงนี่ต้องไปเต้นกินรำกิน" คำพูดเช่นนนี้ก็ค้างอยู่ในสมองผมในวัยเยาว์เช่นกัน จนบางทีผมแทบนึกไม่ออกว่ามันจะถูกสลัดทิ้งจากความคิดเมื่อไหร่ เพราะการเป็นเด็กบ้านนอกที่เกิดอยู่ในชนบทนั้น หนทางเดียวที่จะเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับคือ ต้องเป็นคนแข็งแรง มีความเฉลียวฉลาดในการหาอยู่หากิน หรือพูดเป็นภาษาอีสานคือคุณต้อง "หมาน"
หมานเป็นคำที่เด็กๆทุกคนใฝ่ฟัน ซึ่งถ้าแปลเป็นภาษากลางคือการเป็นคนที่มีความสามารถในการหาอยู่หากิน เช่น ตกปลา ยิงนก และกิจกรรมการหาของป่าเพื่อแสดงความสามารถ ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานของเด็กบ้านนอกในยุคนั้น ที่ผมแทบไม่มีเลย
"หรือผมเกิดผิดที่" ผมเคยนึกในใจ และสมัยนั้นแอบอิจฉาเด็กในเมือง เพราะจำได้ว่าทุกๆเช้าวันเสาร์ผมมักเปิดทีวีดูรายการหลายๆรายการของเด็กเมืองใหญ่ในสมัยนั้น และที่จำติดตาคือรายการโชว์การเต้นแร๊พที่ออกอากาศทางช่อง 3 ผมดูแทบทุกสัปดาห์ จนกลายเป็นว่าผมสามารถออกสเต็ปตามจังหวะเพลงแร๊พได้แบบงูๆปลาๆ ตามประสาเด็กบ้านนอกที่เรียนรู้จากการดู และไม่มีโอกาสเลยที่พ่อแม่จะพาไปเรียนหรือสร้างพื้นที่ให้เกิดการพัฒนาทักษะที่เพิ่มขึ้น ทำได้แต่เพียงแอบมอง อิจฉาโอกาส ท่าเต้นและชุดแต่งกายของเด็กๆในทีวีที่เท่ห์มากนัก
ช่วงเรียนประถมกระทั่งคาบเกี่ยวมาถึงมัธยมต้น ผมยังนึกไม่ออกว่าผมเป็นอะไร แต่ที่แน่ๆคงไม่อยากเป็นชาวนาหรืออาชีพอะไรก็แล้วแต่ที่ต้องใช้แรงงานในเชิงเกษตร เพราะผมไม่มีทักษะเลย
แม้สิ่งแวดล้อมรอบตัวผมจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม และผมโชคไม่ค่อยดีอีกอย่างที่เกิดมาในช่วงที่แม่อายุเริ่มมาก และเรี่ยวแรงในการทำงานของแม่เริ่มจะมีไม่มากพอ และลืมบอกไปว่า แม่ผมมีลูกทั้งหมด 9 คน ผมเป็นคนที่ 8 ลูกทุกคนของแม่ผมไม่ได้เกิดที่โรงพยาบาล เราต่างเกิดด้วยหมอตำแย และหลายคนเกิดที่ทุ่งนารวมถึงผมด้วย และนี่อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่แม่ผมไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง
แม้ช่วงผมเป็นเด็กแม่อาจยังมีอายุไม่มาก แต่ด้วยการมีลูกหลายคนที่ต้องคลอดหลายครั้ง และทุ่มเทเลี้ยงลูกทั้ง 9 คน จึงเป็นเหตุผลที่แม่จะมีเรี่ยวแรงในการทำงานแบบคนบ้านนอกได้ไม่เก่ง แม้ว่าแม่จะมีทักษะในการทำงานค่อนข้างมาก
ด้วยเหตุผลที่แม่เริ่มเรี่ยวแรงลดลง จึงทำให้ชีวิตวัยเด็กผมไม่ได้ถูกแม่เคี่ยวกรำให้ทำงานกับทางบ้าน เพราะแม่เองก็ถึงจังหวะที่ต้องพัก และเริ่มย้ายตัวเองออกจากทุ่งนามาเลี้ยงลูกในหมู่บ้านใหญ่ ที่มีระยะห่างจากที่นาประมาณ 9 กิโลเมตร ซึ่งนับว่าไกลมากเพราะพาหนะที่จะพาเราเทียวไปกลับระหว่างบ้านกับนาไม่มี แม่ผมปั่นจักยานไม่เป็น
ยุคนั้นเราไม่มีมอเตอร์ไซด์ และรถยนต์ไม่ต้องพูดถึง เพราะมันเป็นเรื่องไกลตัวมากสำหรับพวกเรา ดีที่สุดคือการได้นั่งรถโดยสารจากหมู่บ้านเล็กๆใกล้ทุ่งนาเพื่อมาหมู่บ้านซึ่งก็มีแค่วันละเที่ยว และวันไหนที่แม่จะพามาหมู่บ้าน เราจะต้องเตรียมข้าวของข้ามวัน และตื่นแต่เช้าเพื่อมาดักรอรถให้ทัน
และบ่อยครั้งหรืออาจจะเรียกได้ว่าส่วนมากเราต้องเดินในระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร เพื่ออพยพตัวเองจากนามาหมู่บ้าน และนี่คืออีกหนึ่งเหตุผลหลักที่ผมไม่ได้มีชีวิตที่ถูกให้เคี่ยวกรำทำนาหรือทักษะใดๆก็แล้วแต่ตามแบบฉบับเด็กบ้านนอกทั่วไป
แม่เคยบอกผมว่า ในช่วงที่ผมเกิดแม่มีอาการทางร่างกายไม่สู้จะดีนัก อาจจะเป็นเพราะแม่เลี้ยงลูกมาก มีเวลาพักน้อย และชีวิตทุกด้านที่มีความลำบาก และเหตุผลนี้ก็พลอยทำให้ผมมีโรคประจำตัวออดๆแอดๆ ซึ่งคอยรบกวนให้ผมไม่มีความกล้าที่จะทำอะไรแบบบ้าระห่ำเหมือนเด็กทั่วไป
จำได้ว่าตอนเรียนอยู่ ป.4 ผมมีอาการเจ็บท้องตลอด และพ่อกับแม่พาไปหาหมอ หมอบอกว่าผมมีอาการลำไส้เป็นแผล และต้องกินยาอยู่นานกว่าจะหาย และตอนเรียนอยู่ ป.5 ผมมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจไม่ทั่วท้อง พ่อกับแม่ก็พาไปหาหมออีก คราวนี้หมอสงสัยว่ามีโอกาสจะเป็นโรคหัวใจรั่ว ซึ่งเรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้ผมกังวลกับร่างกายหนักเข้าไปอีก จนชีวิตเป็นอันว่าไม่ค่อยได้เล่นเฮฮาตามประสาเด็กทั่วไป และอาการเหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่มก็อยู่ติดตัวผมไปตลอด
กว่าจะรู้ว่าไม่ได้เป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ ก็ต่อเมื่อผมได้บวชสามเณรภาคฤดูร้อนในช่วงปิดเทอมและมีโอกาสฝึกสมาธิและปรากฎว่าอาการนั้นกลับหายไป
ซึ่งสุดท้ายก็เริ่มเข้าใจว่า ผมมีภาวะความวิตกกังวลอันเกิดจากสาเหตุอะไรบ้างก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆมันทำให้ผมมีอาการอย่างว่าอยู่เรื่อยมา ซึ่งอาการนี้มีความสัมพันธ์กับระบบทางความคิดและการหายใจ ซึ่งปัจจุบันอาจเรียกว่าเป็นอาการแพนิค และสมัยผมยังเด็ก ผมก็ไม่มีวันรู้หรอกว่าโรคอันนี้มันมีอยู่ ได้แต่คิดว่าผมเป็นโรคหัวใจ และคงมีชีวิตแบบนี้ตลอดไป หรือดีไม่ดีอาจมีชีวิตไม่ยาวนานก็เป็นได้
นั่นแหละครับคือความเฮฮาของผมสมัยเด็กๆ ที่ผมคิดว่าคุณผู้อ่านคงไม่ฮาหรอก และในความเป็นจริงผมก็ยิ่งไม่ฮาเพราะผมมีโรคประจำตัว และมีชีวิตประหลาดที่ไม่เหมือนเด็กบ้านนอกที่เกิดตามทุ่งนา เพราะแทนที่ผมจะได้วิ่งเล่นและหาอยู่หากินลงน้ำ ขึ้นบก ยิงนก ตกปลา ตามประสาเด็กบ้านนอก แต่ผมกลับทำสิ่งเหล่านั้นไม่เป็นเลย
โปรดติดตามตอต่อไป..........
บันทึก
1
8
1
8
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย