29 ก.ค. 2024 เวลา 12:26 • ไลฟ์สไตล์

ผมเคยเป็นนักมวย (วัด)

เมื่อชีวิตช่วงเด็กผมเป็นเช่นนี้ ผมก็ยิ่งเป็นทุกข์หนัก และพอถึงช่วงวัยรุ่นที่แทนที่ผมจะทำงานในทุ่งนาช่วยพ่อและพี่ๆได้ผ่อนแรงบ้าง ผมกลับรู้สึกว่าชีวิตผมไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งเหล่านี้ ผมแบกจอบไม่เก่ง ดำนาไม่เร็ว เกี่ยวข้าวไม่กระฉับกระเฉง และทักษะการหาอาหารของป่าทั้งพืชและสัตว์นั้นแทบเป็นศูนย์
ผมได้แต่อิจฉาพี่ๆและแม้กระทั่งน้องชายผมผู้ที่เกิดหลังผม 5 ปี ซึ่งแม้น้องชายที่เรียนอยู่แค่ชั้น ป.4 - ป.5 ในขณะที่ผมเรียนอยู่ชั้น ม.3 และเริ่มเป็นวัยรุ่นเต็มตัว แต่ผมก็ยังไม่มีทักษะอะไรที่โดดเด่นเลยตามประสาเด็กบ้านนอก
ในทางตรงข้ามน้องชายผมที่แม้ชีวิตจะไม้ได้อยู่ทุ่งนาตลอด เพราะต้องติดตามแม่มาอยู่ในหมู่บ้านเป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกับผม แต่มันก็เก่งเหลือเกินในการรวมกลุ่มก๊วนเพื่อออกล่าเหยื่อในช่วงวันหยุด ไม่ว่าจะเป็นการยิงนก ตกปลา หากิ้งก่าหรือกะปอม และของป่าสารพัดตามละแวกรอบหมู่บ้าน จนผู้ใหญ่ออกปากชมให้มันได้ยิ้มแฉ่งเพราะเป็นที่ถูกใจและได้รับการยอมรับจากรุ่นพี่ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ในขณะที่ผมนั้น ไม่มีอะไรให้เขาชื่นชมเลย
นับเป็นเรื่องยินดีในชีวิตวัยเยาว์อยู่บ้าง นั่นคือผมเคยเป็นนักมวยครับ แม้มันจะเป็นแค่การชกตามงานวัดในหมู่บ้าน แต่มันก็เป็นความภูมิใจของผมไม่น้อย อย่างน้อยก็คงจะมีดีพอที่จะลดคำสบประมาทว่าอาชีพของผมต้องเต้นกินรำกิน
ที่มาของการได้เป็นนักมวย เกิดจากพี่ชายคนที่ 2 ของบ้านเรา ที่แกมักกีฬามวยเป็นชีวิตจิตใจและแกเองก็เป็นนักมวยตามงานวัดด้วยเช่นกัน ดังนั้นพี่ผมคนนี้จึงดันน้องๆและเพื่อนๆผมในละแวกบ้านใกล้ๆกันให้ได้ต่อยมวยตามงานวัด โดยเฉพาะประเพณีบุญผะเหวดหรือบุญเดือน 4 ของชาวอีสาน ที่หมู่บ้านผมมักจัดงานยิ่งใหญ่ทุกปี
และการได้ต่อยมวยบนเวทีมันก็เป็นอะไรที่เท่ห์มากในยุคนั้น แต่ก็ใช่ว่าสถิติการต่อยมวยของผมจะสวยหรูหรอกนะ เพราะทั้งชีวิตผมได้ต่อยแค่ 5 ครั้ง ชนะ 3 แพ้ 2 ที่แม้สถิติจะไม่ดีมาก แต่ผมก็มีดีที่จะอวดทุกท่าน
จำได้ว่าผมต่อยมวยครั้งแรกตอนเรียนอยู่ ม.2 ช่วงนั้นผมค่อนข้างแข็งแรง โรคประจำตัวที่เป็นค่อนข้างไม่รบกวน หายใจอิ่ม นอนหลับ และรู้สึกมั่นใจในตัวเอง จังหวะที่ผมได้มีโอกาสขึ้นเวทีอวดสาวๆในหมู่บ้าน เนื่องจากพี่ชายจับขึ้นตาชั่งในวันที่มีการประกบคู่มวย
ประกอบกับการที่ผมเห็นพี่ๆในหมู่บ้านทั้งทั้งพี่ชายผมเองและญาติๆใกล้ชิดทุกคนต่างได้เคยขึ้นสังเวียนมาแล้ว ฉะนั้นจึงไม่ยากที่ผมจะตัดสินใจขึ้นตาชั่งเพื่อประกบมวย แต่ที่สำคัญและเป็นอุปสรรคพอควรในการต่อยมวยแต่ละครั้งคือแม่ครับ เพราะแน่นอนว่าไม่มีแม่คนไหนที่อยากเห็นลูกตัวเองเจ็บตัว แม้จะอยู่บนเวทีที่มีนวมและพื้นเวทีนุ่มๆที่แม้ว่าจะล้มก็ไม่เจ็บ แต่การที่กีฬามวยมันคือการปะทะกันเพื่อเอาเนื้อแลกเนื้อรวมถึงเอากระดูกปะทะกระดูก
นั่นจึงทำให้ผู้เป็นไม่ยอม เพราะนี่ไม่ใช่อาชีพของเรา แต่มันคือความสนุกของพี่ๆที่อยากเห็นน้องต่อยบนเวที
ผมได้คู่มวยและซุ่มซ้อมอยู่หลายวันโดยที่ไม่มีใครกล้าบอกแม่ แต่ความลับย่อมไม่มีในลโลก เพราะเมื่อจะถึงวันชกจริงยังไงๆแม่ก็ต้องรู้ ทั้งผมและบรรดาพี่ชายจึงตัดสินใจบอกแม่ แม้จะรู้ว่าพวกเราจะโดนด่า เมื่อแม่รู้ก็แทบเป็นลม เพราะแม่ให้เหตุผลว่าผมเป็นคนเลือดลมไม่ดี ไม่แข็งแรงเหมือนคนอื่น จะให้ต่อยมวยได้อย่างไรเดี๋ยวก็จะเป็นหนักเข้าไปอีก แต่สายไปแล้วครับแม่ วันต่อยมวยครั้งแรกของชีวิตผมกำลังจะเริ่มขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้แม่ก็ห้ามไม่ไหว ทางเดียวที่พอจะเยียวยาแม่ให้อุ่นใจคือการบอกเจ้าที่ประจำบ้าน หรือภาษาบ้านผมเรียกว่า "แม่เจ้า" ในวันที่ผมจะต่อย แม่ถือจานพร้อมดอกไม้และเทียนไปบอกแม่เจ้า จับดินใส่หัวผมเป่า 2-3 ที และบ่นพึมพำอะไรก็ไม่รู้
จากนั้นแม่ก็ทำใจได้แต่นั่งฟังเสียงซอและคนพากย์อยู่ที่บ้าน เนื่องจากบ้านผมกับวัดอยู่ติดกัน จึงไม่มีความจำเป็นที่แม่จะต้องไปดูถึงเวที เพราะแกก็ไม่กล้าดูอยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นต่อให้แม่ไม่อยากดูเสียงซอ เสียงคนพากย์ และเสียงเชียร์ก็ยังดังเข้าหูแม่ทุกถ้อยคำประหนึ่งว่าแม่ยืนเกาะขอบเวที
และในที่สุด ผมก็ไม่ทำให้แม่และพี่ๆผิดหวัง เพราะด้วยลีลามวยของผมที่แม้จะไม่เคยผ่านสังเวียนมาก่อน แต่ด้วยการซ้อม ทั้งซ้อมจริงและซ้อมเล่นประกอบกับการที่พ่อพาดูมวยในทีวีบ่อยๆ จึงทำให้ผมวาดลีลาบนเวทีได้อย่างออกรส จนสามารถเอาชนะน็อคคู่ต่อสู้ได้ในยกที่ 4
ตอนเช้าหลังวันชกมวย แม้จะเจ็บกล้ามเนื้อและกระดูกพอควร แต่ข่าวการต่อยมวยของผมที่มีชั้นเชิงไม่แพ้มวยค่ายก็ดังกระฉ่อนทั่วโรงเรียน ผมแอบยิ้มในใจและคิดลึกๆว่า "กูรู้แล้วว่ากูจะเป็นอะไร"
"ไปอยู่ค่ายบ่ เดี๋ยวครูสิพาไป" คุณครูพละซึ่งเป็นกรรมการตัดสินผมในคืนที่ผมต่อยมวยครั้งแรกเอ่ยปากชวนผม
"ค่าย ท.สรรพสิทธิ์ อยู่วารินฯ" คุณครูท่านเดิมกล่าวซ้ำในจังหวะที่เดินมาเจอผม ผมได้แต่ยิ้มอย่างกรุ้มกริ่ม แต่ก็ยังไม่กล้าตัดสินใจ เพราะการไปอยู่ค่ายไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยสำหรับชีวิตเด็กชายบ้านนอกอย่างเรา เพราะมันหมายถึงชีวิตที่เหลือจากนี้ต้องไปอยู่ค่ายและย้ายโรงเรียนจากบ้านนอกไปในเมือง
"บ่กล้าตัดสินใจครับครู" ผมบอกคุณครูท่านนั้น แต่ในใจคิดเอาไว้ว่าจะนำเรื่องนี้ไปบอกพี่ชาย ที่แม้ว่าการไปอยู่ค่ายมวยผมจะเป็นไปไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียแม่ก็คงไม่ยอมอยู่ดี แต่เรื่องนี้มันทำให้ผมพอใจในตัวเองเป็นอย่างมาก
ข่าวคราวความเก่งในการต่อยมวยของผมดังไปทั่วตำบล เพื่อนๆพี่ๆและผู้ใหญ่ในหมู่บ้านต่างให้การยอมรับ ว่าชั้นเชิงกระดูกมวยผมไม่แพ้มวยค่ายเลย ซึ่งแค่การชกครั้งแรกยังวาดลวดลายและเอาชนะคู่ต่อสู้แบบไม่ครบยกได้ถือว่าไม่ธรรมดา และสิ่งนี้ก็พอจะเป็นกำลังใจยาใส้ให้ผมได้มีความมั่นใจในตัวเองอยู่บ้าง
แต่อย่าลืมว่ากีฬามวยในหมู่บ้านของเราจัดขึ้นปีละครั้งเท่านั้น หรือถ้าอยากต่อยบ่อยๆก็ต้องไปอยู่ค่ายตามที่ครูเขาแนะนำ แต่แม่ผมไม่ยอม ดังนั้นผมจึงไม่ได้ไปอยู่ค่าย และนานวันเข้าเรื่องราวความเก่งกาจบนเวทีของผมก็เริ่มซาลง และสุดท้ายชีวิตก็ดำเนินไปแบบเดิม คือแบบเด็กชายบ้านนอกผู้ไม่มีชั้นเชิงในหมู่บ้านและทุ่งนา ฉะนั้นสิ่งที่ผมเฝ้ารอคือบุญเดือนสี่ในปีหน้า
ชีวิตผมในแต่ละวันดำเนินไปเรื่อยๆ ตื่นเช้ามาไปโรงเรียน เลิกเรียนก็กลับบ้านมาช่วยที่บ้านทำงานบ้างเล็กน้อยแต่ไม่โดดเด่น อย่างมากก็หาบน้ำจากบ่อบาดาลโยกมาเก็บในโอ่งเพื่อทำอาหารและใช้ในบ้าน
ผมไม่ใช่เด็กชายแกร่งที่จะได้ออกล่าเหยื่อในตอนเย็นหรือผู้ที่ทระนงอาจหาญในวันหยุดที่จะสามารถช่วยพี่ๆทำกิจการงานเกษตรในนา อย่างมากก็ช่วยพี่ชายเลี้ยงควายในตอนเย็นวันเสาร์ อาทิตย์ ซึ่งกิจกรรมเช่นนี้ผมไม่ชอบเลย
เพราะจำได้ว่าในวันหยุดสุดสัปดาห์ถ้าให้ดีผมต้องไปอยู่นา นอนค้างที่นา 1 คืนในเย็นวันเสาร์ ซึ่งผมไม่อยากนอนค้างเพราะแม่ก็อยู่ในหมู่บ้าน ผมไม่อยากห่างแม่ และการไปอยู่นาที่มีพี่ชายผมก็ไม่ค่อยถนัด ด้วยเพราะเป็นเด็กขี้แย ติดแม่ ทำงานหนักไม่เก่ง อาจจะเรียกได้ว่าไม่มี Passion ที่ตอนนั้นผมไม่รู้คำนี้หรอก รู้แต่ว่าผมช่วยงานที่นาไม่เก่ง ผมอยากอยู่บ้าน อยู่กับแม่และไม่รู้ว่าชีวิตผมในอนาคตจะเป็นเช่นไร
"บุญนำประจำทั้งสอง" ผมยังจำฉายาที่บรรดาพี่ชายตั้งให้เป็นอย่างดี ถึงฉายาของผมกับพี่สาวอีกคนที่แกก็ไม่ค่อยถนัดงานสวนงานนามากนัก ความหมายของประโยคนี้คือ เราสองคนชอบติดสอยห้อยตามแม่ไปในที่ต่างๆ เวลาแม่ไปไหนเราก็ไปตาม ไม่ค่อยถนัดงานในไร่นา หรือถ้าแปลอีกความหมายอย่างตรงๆก็แปลว่า สองคนนี้ไม่ค่อยเอาเรื่อง ช่วยงานนาไม่เก่ง ไม่เหมือนพี่ชายอีกคนที่ดูฉลาดเฉลียว คล่องตัว หากินก็หมานและยังช่วยงานทางไร่นาเก่งจนเป็นที่ถูกใจของบรรดาพี่ชายคนโตๆ
ชีวิตของผมในช่วงมัธยมต้นยังคงดำเนินไปเรื่อยๆตามประสาเด็กมัธยมบ้านนอก ช่วงนี้ผมเริ่มเข้าสู่วงการฟุตบอล ด้วยการเข้าคัดตัวเพื่อให้ติดทีมโรงเรียน หวังว่าชีวิตจะดีขึ้นเป็นที่ยอมรับของคนอื่น และก็เป็นจริงดังหวัง
ผมติดทีมฟุตบอลโรงเรียนรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี ผมดีใจเอาเรื่องเหมือนกัน แต่จำอารมณ์ในช่วงนั้นไม่ได้ จำได้แค่ว่ามีโอกาสได้หารองเท้าสตั๊ดถูกๆหรือไม่ก็มือสองมาใส่ซ้อมในตอนเย็นหลังเลิกเรียน และในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็พอมีเหตุผลบ้างเพื่อไปซ้อมฟุตบอลที่โรงเรียนแทนที่จะต้องออกไปนอนนาและทรมานทำงานกับพี่ชายที่ผมไม่ถนัดและถูกพี่ชายบ่นตลอดเวลา
คุณคิดว่าผมได้ลงเป็นตัวจริงไหมครับ? .... ผมให้เดา
โฆษณา