30 ก.ค. 2024 เวลา 12:33 • การศึกษา

แนวทางการสื่อสารอย่างมีคุณค่าด้วยหลักเกณฑ์การตรัสพระวาจาของพระพุทธเจ้า

การสื่อสารเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในทุก ๆ ด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารกันภายในครอบครัว สถานที่ทำงานหรือแม้แต่มิตรสหาย แต่คุณเคยมีความสงสัยบ้างหรือไม่ พระพุทธเจ้าทรงมีหลักเกณฑ์ในการตรัสพระวาจาอย่างไรบ้าง ?
ในบทความนี้ ผมก็จะมากล่าวถึงหลักเกณฑ์ในการตรัสพระวาจาของพระพุทธเจ้า ซึ่งผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อการดำเนินชีวิตของตนได้ ดังนี้ [1]
  • 1.
    วาจาที่ไม่จริง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รัก ไม่ชอบใจของคนอื่น
  • 2.
    วาจาที่จริง แต่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รัก ไม่ชอบใจของคนอื่น
  • 3.
    วาจาที่จริง เป็นประโยชน์ แต่ไม่เป็นที่รัก ไม่ชอบใจของคนอื่น
  • 4.
    วาจาที่ไม่จริง ไม่เป็นประโยชน์ แต่เป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของคนอื่น
  • 5.
    วาจาที่จริง แต่ไม่เป็นประโยชน์ แต่เป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของคนอื่น
  • 6.
    วาจาที่จริง เป็นประโยชน์ และเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของคนอื่น
หลักเกณฑ์ข้อที่ 1
ในกรณีที่การสื่อสารไม่เป็นความจริง หาประโยชน์ไม่ได้และคนฟังไม่พอใจต่อการสื่อสารนั้น พระพุทธเจ้าก็จะไม่ทรงตรัสวาจาเช่นนั้นออกไป เพราะการสื่อสารเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะไม่ก่อเกิดประโยชน์ แต่ยังอาจสร้างความขัดแย้งและความเสียหายได้
ยกตัวอย่างเช่น สถานที่ทำงานที่มีพนักงานคนหนึ่งซึ่งไม่พอใจต่อผู้จัดการ ได้กล่าวกับเพื่อนร่วมงานว่า "ผู้จัดการชอบแกล้งพนักงานและไม่ให้การช่วยเหลือใครเลย" ทั้งที่ในความเป็นจริง ผู้จัดการคนดังกล่าวทำงานหนักและคอยพยายามช่วยเหลือทุกคนอย่างเต็มที่
หลักเกณฑ์ข้อที่ 2
แม้ว่าการสื่อสารนั้นจะเป็นความจริง แต่หากไม่มีประโยชน์และคนฟังไม่พอใจ พระพุทธเจ้าก็ไม่ตรัสเช่นกัน เพราะนอกจากจะไม่สร้างคุณค่าแล้ว ยังอาจทำลายต่อความสัมพันธ์
ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนของคุณกำลังพยายามลดน้ำหนักแต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ คุณจึงกล่าวถ้อยคำกับเพื่อนของคุณวว่า "ดูอ้วนขึ้นนะ" คำกล่าวนี้เป็นความจริง แต่ไม่ก่อเกิดประโยชน์ใด ๆ และยังทำให้เพื่อนของคุณรู้สึกเสียใจและหมดกำลังใจในการพยายามลดน้ำหนักต่อไป
หลักเกณฑ์ข้อที่ 3
ถ้าการสื่อสารนั้นเป็นความจริงแต่มีประโยชน์ แม้จะทำให้คนฟังไม่พอใจ พระพุทธเจ้าก็จะพิจารณาตามความเหมาะสมว่าควรตรัสหรือไม่ การกล่าวความจริงที่มีประโยชน์ออกไปแม้จะทำให้เกิดความไม่พอใจ บางครั้งก็จำเป็นเพื่อการเตือนหรือให้ข้อคิดสอนใจ
ยกตัวอย่างเช่น หัวหน้าทีมในที่ทำงานได้ทำการแจกจ่ายงานออกไปให้กับลูกทีม แต่เมื่อได้ทำการตรวจงานที่มอบหมายไปก็พบว่า ผลงานของสมาชิกบางคนยังมีข้อบกพร่อง ไม่สมบูรณ์ ต้องปรับปรุง แม้การชี้แจงให้เห็นข้อบกพร่องเหล่านี้อาจทำให้คนที่ทำงานบกพร่องรู้สึกไม่พอใจ เสียหน้า แต่ก็ตัดสินใจกล่าวออกไปเพื่อต้องการให้งานชิ้นนั้น ๆ ดีขึ้น
หลักเกณฑ์ข้อที่ ๔
กรณีที่ถ้อยคำไม่จริงและไม่มีประโยชน์ แม้ว่าจะทำให้คนฟังพอใจ พระพุทธเจ้าก็ไม่ตรัสเช่นกัน ถ้อยคำที่ไม่จริงและไม่มีประโยชน์นั้นเป็นถ้อยคำที่สร้างความเข้าใจผิดและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
ยกตัวอย่างเช่น ชายคนหนึ่งได้เข้าไปชิมร้านอาหารของเพื่อน ระหว่างรับประทานอาหารฝีมือเพื่อน รสชาติและการตกแต่งอาหารไม่สวยงาม บางจานก็ดูแย่ แต่คุณกลับกล่าวถ้อยคำชื่นชมในรสชาติและการตกแต่งอาหาร ซึ่งทำให้เพื่อนรู้สึกดีใจ
การกล่าวถ้อยคำเช่นนี้แม้จะทำให้รู้สึกดี แต่มันก็แค่ในระยะสั้น ๆ แต่ในระยะยาวการให้ความคิดเห็นอันไม่ตรงกับข้อเท็จจริง จะไม่ช่วยให้ได้รับการพัฒนาหรือเกิดความเข้าใจในข้อบกพร่องที่ต้องปรับปรุง จึงไม่ควรกล่าวถ้อยคำที่ไม่จริงและไม่เป็นประโยชน์ แม้ว่าคนฟังจะรู้สึกพอใจก็ตาม
หลักเกณฑ์ข้อที่ 5
แม้ว่าการกล่าวถ้อยคำนั้นจะเป็นความจริงและคนฟังรู้สึกพอใจอีกก็ตาม แต่หากไม่มีประโยชน์ พระพุทธเจ้าก็ไม่ตรัสเช่นกัน ความจริงที่ไม่มีประโยชน์อาจทำให้ผู้พูดรู้สึกดีก็จริง แต่หากมันไม่ช่วยให้เกิดการพัฒนาหรือแก้ปัญหา ก็ไม่ควรกล่าวถ้อยคำนั้นออกไป
ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนร่วมงานของคุณได้รับมอบหมายให้จัดทำสไลด์พรีเซนต์สำหรับการประชุมครั้งถัดไป แม้สไลด์พรีเซนต์ที่เขาจัดทำขึ้นจะดูสวยงามและการจัดเรียงข้อมูลจะเป็นระเบียบ ไม่รกตาก็ตาม แต่ไม่ได้มีเนื้อหาสาระสำคัญที่จำเป็นสำหรับการประชุมมากนัก แต่คุณก็ได้กล่าวชื่นชม โดยไม่กล่าวตำหนิงานชิ้นนั้นแต่อย่างใดเพราะคุณรู้ว่ามันจะทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ
การกล่าวถ้อยคำเป็นความจริงคือ สไลด์พรีเซนดูดีและจัดเรียงข้อมูลได้ เป็นระเบียบ ไม่รกตา และทำให้เพื่อนร่วมงานของคุณพอใจ แต่กระนั้นก็ตามถ้อยคำนั้นก็ไม่มีประโยชน์ เพราะมันไม่ได้ช่วยให้ได้รับข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงหรือพัฒนาเนื้อหาสำคัญที่ต้องใช้ในการพรีเซนต์
หลักเกณฑ์ข้อที่ 6
การกล่าวถ้อยคำที่เป็นความจริง มีประโยชน์และทำให้ผู้ฟังพอใจ พระพุทธเจ้าจะตรัสวาจานั้น การกล่าวถ้อยคำที่มีคุณสมบัติเช่นนี้คือ ถ้อยคำที่สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและมีประโยชน์แก่ผู้ฟัง
ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์ได้ทำการตรวจโครงงานของนักเรียนคนหนึ่งที่พยายามอย่างหนัก ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นั้นออกมาดี แต่ยังไม่สมบูรณ์ อาจารย์จึงได้กล่าวชมเชยและได้ให้คำชี้แนะเพื่อให้เกิดการพัฒนา การกล่าวถ้อยคำนั้นนอกจากจะเป็นความจริงคือ กล่าวชมเชย และทำให้คนฟังพอใจแล้ว ยังก่อให้เกิดประโยชน์ด้วยการกล่าวคำชี้แนะเพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อไป
เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ทั้ง 6 ข้อ สามารถพิจารณาแนวทางในการสื่อสารได้ดังนี้
  • คำพูดต้องมีความจริงเป็นพื้นฐาน: การกล่าวถ้อยคำใดก็ตามควรมีความจริงเป็นพื้นฐาน เพราะความจริงสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ
  • การพิจารณาถึงประโยชน์ของคำพูด: การกล่าวถ้อยคำใดก็ตามควรมีประโยชน์แก่ผู้ฟัง ไม่ใช่กล่าวถ้อยคำเพื่อให้คนอื่นพอใจอย่างเดียว
  • การคำนึงถึงความรู้สึกของผู้ฟัง: การกล่าวถ้อยคำใดก็ตามควรคำนึงถึงความรู้สึก เพราะการสื่อสารที่ดีควรสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดี
  • การใช้คำพูดเพื่อพัฒนาและแก้ไขปรับปรุง: การกล่าวถ้อยคำใดก็ตามควรมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาและปรับปรุงผู้ฟังอยู่เสมอ
ดังนั้น หลักเกณฑ์ในการตรัสวาจาของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าสำหรับการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เพราะการสื่อสารที่ดีจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง การพิจารณาและเลือกใช้ถ้อยคำอย่างรอบคอบตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าจะทำให้สามารถสื่อสารได้อย่างมีคุณภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้ฟัง
จึงขอให้ทุกคนนำหลักเกณฑ์เหล่านี้ไปปรับใช้กับการสื่อสารเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจและการเคารพซึ่งกันและกัน
อ้างอิง
[1] อภยราชกุมารสูตร. พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่มที่ 13. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2560.
โฆษณา