5 ส.ค. 2024 เวลา 14:00 • ธุรกิจ

โอ้กะจู๋ - สดจากฟาร์มถึงจาน พร้อมสู่การเป็น ‘King of Organic Salad’

ทำความรู้จัก OKJ กว่าจะถึงวันนี้ธุรกิจผักสองพันล้านผ่านอะไรมาบ้าง?
ก.ล.ต. ได้รับคำขอไฟลิ่ง (Filing) ของ ‘โอ้กะจู๋’ เตรียมขายหุ้น IPO โดยบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด หรือ “OKJ” เตรียมเสนอขายหุ้นไม่เกิน 159 ล้านหุ้น พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ทุกคนได้ลงทุนภายในปีนี้
[🧑‍🌾 ที่มาของ #OKJ ]
ชื่อร้าน “โอ้กะจู๋” มาจากการผวนคำในชื่อของ ‘คุณอู๋’ -ชลากร เอกชัยพัฒนกุล และ ‘คุณโจ้’ -จิรายุทธ ภูวพูนผล ซึ่งต่อมา ทั้ง 2 คนได้ก็เพื่อนมาร่วมธุรกิจอีกคนหนึ่ง คือ ‘คุณต้อง’ -วรเดช สุชัยบุญศิริ
ขณะที่ชื่อ ‘บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด’ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจที่เริ่มจากความตั้งใจปลูกผักให้คุณแม่ทาน ‘สวนผักโอ้กะจู๋’ มีสาขาแรกอยู่ที่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
หลังจากเปิดร้านอาหารขึ้นมาพวกเขาก็พัฒนาเมนูอาหาร และได้รับกระแสตอบรับที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มมีการขยายไลน์อาหารใหม่ๆ ที่ต่อมากลายเป็นตัวหลักของร้าน อย่าง “สเต๊กซี่โครงสะพานโค้ง” และ “เลดี้ ริบส์ โอ้กะจู๋” เพื่อไว้ทานคู่กับสลัดผัก ขณะนั้นนอกจากอาหารแล้ว ยังมีน้ำผักสกัดเย็นจากผักและผลไม้สดๆ อีกด้วย
จากนั้นในปี 2560 จึงเริ่มขยายสาขามายังกรุงเทพฯ ที่สยามสแควร์ และก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในปี 2564 เมื่อบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ได้ตัดสินใจลงทุนในร้าน ‘โอ้กะจู๋’ ผ่านการลงทุนของบริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ OR โดย OR เข้าถือหุ้น 20% และปัจจุบันธุรกิจนี้กลายเป็นธุรกิจพันล้านและเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ภายในปีนี้ (พ.ศ. 2567)
[ ⌛แข่งกับกฎเหล็กด้านคุณภาพจากฟาร์มต้องถึงจานใน 28 ชั่วโมง ]
โอ้กะจู๋ ดำเนินธุรกิจด้วยคอนเซ็ปต์ “Be Organic from Farm to Table” มุ่งมั่นที่จะให้เสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มที่ปลูกด้วยกระบวนการเกษตรอินทรีย์ (Organic) คุณภาพสูง แนวคิดนี้ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างล้นหลาม ด้วยการออกแบบ คุณภาพและบริการที่หลากหลาย ทำให้โอ้กะจู๋เติบโตจากร้านเล็ก ๆ ในอำเภอสันทราย ขยายกลายเป็นแลนด์มาร์กของเชียงใหม่และขยายสาขามายังกรุงเทพฯ
ความน่าสนใจของแบรนด์โอ้กะจู๋ คือการชูจุดเด่นเรื่องคุณภาพของผลผลิต เริ่มตั้งแต่การทำสวนผักด้วยตนเอง 5 แห่ง ในจังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่รวม 380 ไร่ โดยมีผักขึ้นชื่อในหมู่คนรักสุขภาพมากมายกว่า 30 ชนิด ดูแลระบบและการควบคุมคุณภาพของผักตั้งแต่เริ่มปลูกจนเสิร์ฟในจานอาหาร ผักของโอ้กะจู้ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก IFOAM, USDA Organic และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สหภาพยุโรป
จากสัมภาษณ์ของ Capitalread คุณอู๋ได้เล่าถึงกฎเหล็กของร้านว่า “จากฟาร์มถึงจาน ผักที่เก็บเกี่ยวขึ้นมาจะต้องอยู่ในช่วงระยะเวลาเพียง 28 ชั่วโมงเท่านั้น” เพื่อให้ลูกค้าได้คุณค่าทางสารอาหารสูงสุด
[🥦 ถ่ายทอด know-how แบบไม่กลัวการแปรพักตร์ ]
โอ้กะจู๋ยึดหลักแนวคิด ‘รับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม’ อย่างแน่วแน่ โดยเลือกจับมือเป็นพันธมิตรกับเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการควบคุมคุณภาพของผลผลิต แต่ยังส่งเสริมอาชีพของเกษตรกร และยังมีโครงการส่งเสริมเกษตรกรอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การส่งเสริมให้ชาวบ้านบนดอยอินทนนท์ได้ปลูกผักแบบอินทรีย์ปลอดสารพิษ
💰 ความสำเร็จด้านผลกำไรของ ‘บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด’
➡️ ปี 2563: รายได้ 836.8 ล้านบาท กำไร 33 ล้านบาท
➡️ ปี 2564: รายได้ 803 ล้านบาท ขาดทุน 83.4 ล้านบาท
➡️ ปี 2565: รายได้ 1,215 ล้านบาท กำไร 38.3 ล้านบาท
➡️ ปี 2566: รายได้ 1,716 ล้านบาท กำไร 140 ล้านบาท
ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
[ 🌟 ส่องขุมคลังธุรกิจ OKJ ]
ปัจจุบันธุรกิจบริการ และจําหน่ายอาหารภายใต้แบรนด์ ‘โอ้กะจู๋’ ที่ร่วมกับคาเฟ่ Amazon จากเครือ OR จะแบ่งออกเป็น 4 ช่องทาง คือ
🍽️ Full-service Restaurant: ร้านอาหารที่บริการเต็มรูปแบบ จำหน่ายอาหารปรุงสดใหม่ มีบริการ Drive Thru, จัดทำ Snack box และสั่งอาหารออนไลน์ มี 30 สาขาในเชียงใหม่ กรุงเทพฯ ปริมณฑล ระยอง และชลบุรี
🍽️ Delivery and Kiosk: ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ เน้นขายแบบ Delivery และ Grab & Go รวมถึงสั่งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ มี 4 สาขาในกรุงเทพฯ
🍽️ Cafe Amazon: จำหน่ายอาหารว่าง และอาหารสุขภาพ เช่น แซนด์วิช สลัดผักแร็พ ใน Cafe Amazon ประมาณ 400 สาขาในกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคกลาง และภาคตะวันออก
🍽️ Supermarket: จำหน่ายผลผลิต เช่น ผักผลไม้ สลัดพร้อมทาน ในซูเปอร์มาร์เก็ต 11 สาขาในเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ
[ 🥤 Oh! Juice และ Ohkajhu Wrap & Roll แบรนด์ใหม่ภายใต้โอ้กะจู๋ ]
การขยายตัวของแบรนด์โอ้กะจู๋ นอกเหนือไปจากการขยายหน้าร้าน Full-service Restaurant การขายผ่านคีออสก์ การวางขายสินค้าในคาเฟ่อเมซอน และซูเปอร์มาร์เก็ต ในปีนี้โอ้กะจู๋ได้เปิดตัว ‘Oh! Juice’ สมูทตี้สีสวย ไม่ใส่น้ำตาล ดีต่อสุขภาพ หน้าตาน่าถ่ายรูปแชร์ลงสตอรี่ และ ‘Ohkajhu Wrap & Roll’ แร็ปสลัด แซนด์วิช เบอร์เกอร์ เพื่อสุขภาพ พร้อมทาน (Grab & Go) เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบันที่ใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ
ทั้งสองแบรนด์ใหม่ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาน สอดคล้องไปกับแผนจะขยายสาขาร้านอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นภาพสะท้อนว่า โอ้กะจู๋ พร้อมจะเป็น “The King of Organic Salad” ความสำเร็จของ ‘โอ้กะจู๋’ ในการทำธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพนี้เป็นภาพความสำเร็จที่โตมาจากรากฐานแห่งความตั้งใจดี ต่อผู้บริโภค ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม
[🪙 โอ้กะจู๋เข้าตลาดหุ้น มูลค่าบริษัทจะเป็นเท่าไหร่?]
เวลาที่เราอยากรู้ว่าบริษัทที่กำลังจะเข้าตลาดหุ้นจะมีมูลค่าเท่าไหร่ นักลงทุนจะใช้วิธีประเมินมูลค่าด้วย “P/E Ratio” โดยใช้ “กำไรสุทธิปีล่าสุด” คูณด้วย “P/E ratio multiple”
ถ้าย้อนไปตอนปี 2564 ที่ OR เข้าซื้อหุ้นโอ้กะจู๋ 20% ในวงเงิน 500 ล้านบาท แปลว่ามูลค่าของบริษัท ณ เวลานั้นอยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท
2
ทีนี้ถ้าเราเอามาคิดโดยอิงจากกำไรในปี 2566 ที่บริษัททำได้ 140 ล้านบาท P/E Ratio ของ OKJ น่าจะอยู่ที่ 17.78 เท่า (เอา 2,500 ล้านบาท หาร 140.65 ล้านบาท) เทียบกับหุ้นตัวของร้านอาหารที่อยู่ในตลาดหุ้น อย่าง SNP (แบรนด์ S&P) ที่ได้ค่า P/E 15.50 เท่า และ M (แบรนด์ MK - Yayoi) ที่ได้ P/E 19.00 เท่า จะเห็นว่า P/E ที่เหมาะสมของร้านอาหารในตลาดหุ้นจะอยู่ที่ 15-20 เท่า (ข้อมูลจาก นากธุรกิจ)
ซึ่งค่า P/E นี้เอง ก็เป็นตัวสะท้อน “ความคาดหวัง” เพราะตามหลักการแล้วยิ่งตัวเลข P/E สูงเท่าไหร่ ก็จะหมายความว่า ตลาดยอมให้ราคาที่แพง เพราะตลาดคาดหวังว่ากำไรของบริษัทนั้นจะเติบโตขึ้นมากในอนาคต หรือมองในอีกมุมถ้าค่า P/E ต่ำก็อาจหมายความว่าตลาดคาดหวังการเติบโตของบริษัทในอนาคตจะไม่สูง หรือมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามการขายหุ้น IPO ในนาม ‘OKJ’ กว่า 159 ล้านหุ้น ในครั้งนี้ เรียกได้ว่าจะเป็นการยกระดับโอ้กะจู๋ให้ก้าวสู่อีกขั้นของการเป็นร้านอาหารเพื่อสุขภาพชั้นนำ ที่ใครๆ ก็อยากลอง เพราะนอกจากอิ่มท้องแล้ว ยังอิ่มใจไปกับการมีส่วนร่วมในความยั่งยืนของโลกใบนี้ด้วย
#aomMONEY #MakeRichGeneration #การเงิน #การลงทุน #PersonalFinance #การเงินส่วนบุคคล #OKJ #OhKaJhu #โอ้กะจู๋
โฆษณา