11 ส.ค. 2024 เวลา 11:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

Warren Buffett กับเงินเดิมพัน 1 ล้านเหรียญ

บทเรียนการลงทุนในกองทุนดัชนีที่ไม่ต้องเอาชนะตลาดก็สามารถร่ำรวยได้
มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานในโลกของการลงทุนว่าแนวทางไหนให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากันในระยะยาว ระหว่างการลงทุนแบบ Passive (การลงทุนในกองทุนดัชนี) และการลงทุนแบบ Active (การลงทุนในกองทุนที่มีผู้จัดการกองทุนบริหารอย่างเชิงรุก)
📍 [กองทุนดัชนีคือ : กองทุนรวมแบบเชิงรับ (Passive Fund) ที่มุ่งหวังให้ผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีของตลาดหุ้น]
ในปี 2008 วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) หนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ได้วางเดิมพันกับวงการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ด้วยเงิน 1 ล้านดอลลาร์ เพื่อพิสูจน์ว่าการลงทุนแบบ Passive นั้นสามารถเอาชนะการลงทุนแบบ Active ได้
เหตุผลหลักๆ ในมุมมองของบัฟเฟตต์ก็คือว่าการลงทุนแบบเชิงรุกมักจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป ซึ่งสำหรับนักลงทุนทั่วไปแล้วการลงทุนในกองทุนดัชนีจะให้ผลตอบแทนดีกว่า
โดยอีกฝั่งหนึ่งที่รับคำท้าคือ เท็ด ไซเดส (Ted Seides) ผู้ร่วมก่อตั้ง Protégé Partners (บริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์และที่ปรึกษาด้านการลงทุน)
กติกาก็คือว่า บัฟเฟตต์จะใช้ผลตอบแทนของกองทุน Vanguard's S&P 500 Admiral fund (VFIAX) ซึ่งเป็นกองทุนดัชนีที่ล้อไปกับตลาด S&P500 ของอเมริกาในการแข่ง ส่วนไซเดสจะเลือกกองทุนเฮดจ์ฟันด์ 5 กองทุน (ไม่เปิดเผยชื่อ) แล้วดูว่าเมื่อครบกำหนดเวลาใครจะได้ผลตอบแทนมากกว่ากัน
ผู้ชนะจะได้เงินบริจาครางวัล 1 ล้านดอลลาร์ให้กับองค์กรการกุศลตามที่ตนเลือกไว้
ระยะเวลาของการเดิมพันนี้คือ 10 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2008 ไปสิ้นสุดที่วันที่ 31 ธันวาคม 2017
เมื่อเวลาผ่านมาถึงช่วงกลางๆ ปี 2017 (ก่อนที่จะสิ้นสุดการแข่งขัน) ไซเดสก็ออกมายอมรับในบทความที่เขียนบนเว็บไซต์ Bloomberg ว่า “สำหรับความตั้งใจและจุดประสงค์ทั้งหมด เกมจบแล้ว ผมแพ้”
แต่เพราะอะไรกัน? และมันจะเป็นแบบนั้นต่อไปไหม?
[[ 💰 ผลลัพธ์ของการเดิมพัน ]]
หลังจากผ่านไป 10 ปี ผลปรากฏว่าบัฟเฟตต์เป็นฝ่ายชนะการพนันครั้งนี้อย่างขาดลอย โดยกองทุนดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน 7.1% ต่อปี ในขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ทั้ง 5 กองทุนให้ผลตอบแทนเพียง 2.2% ต่อปีเท่านั้น
บทเรียนสำคัญจากการเดิมพัน
✅ 1. ค่าธรรมเนียมมีผลกระทบมาก
ค่าธรรมเนียมเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลตอบแทนในระยะยาว กองทุนเฮดจ์ฟันด์มักมีโครงสร้างค่าธรรมเนียมแบบ "2 and 20" คือเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการ 2% ต่อปี และค่าธรรมเนียมผลการดำเนินงาน 20% ของกำไรที่ทำได้
ในขณะที่กองทุนดัชนีอย่าง VFIAX มีค่าธรรมเนียมเพียง 0.04% ต่อปีเท่านั้น
บัฟเฟตต์ได้กล่าวไว้ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway ว่า "แม้ว่ากองทุนจะขาดทุนให้กับนักลงทุนในช่วงทศวรรษนั้น แต่ผู้จัดการกองทุนก็ยังสามารถร่ำรวยได้ เนื่องจากค่าธรรมเนียมคงที่เฉลี่ยประมาณ 2.5% ของสินทรัพย์ถูกเรียกเก็บทุกปีจากนักลงทุนในกองทุนเฮดจ์ฟันด์"
✅ 2. ความเรียบง่ายชนะ
กลยุทธ์การลงทุนแบบเรียบง่ายของกองทุนดัชนีสามารถเอาชนะกลยุทธ์ที่ซับซ้อนของเฮดจ์ฟันด์ได้ กองทุนดัชนีเพียงแค่ซื้อและถือครองหุ้นตามสัดส่วนที่กำหนดในดัชนี
โดยไม่ต้องพยายามคาดการณ์ทิศทางตลาดหรือเลือกหุ้นรายตัว ในขณะที่เฮดจ์ฟันด์ใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อนและมีการซื้อขายบ่อยครั้ง ซึ่งนอกจากจะเพิ่มค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจผิดพลาดอีกด้วย
✅ 3. ยากที่จะเอาชนะตลาดในระยะยาว
ผลลัพธ์ของการเดิมพันนี้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพก็ยังยากที่จะเอาชนะผลตอบแทนของตลาดโดยรวมได้อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงค่าธรรมเนียมที่สูง การศึกษาหลายชิ้นยืนยันว่ากองทุนที่บริหารแบบ Active ส่วนใหญ่ไม่สามารถเอาชนะดัชนีอ้างอิงได้ในระยะยาว
✅ 4. พลังของการลงทุนแบบ Passive
การลงทุนในกองทุนดัชนีที่ติดตามตลาดโดยรวมสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวโดยไม่ต้องพยายามเอาชนะตลาด นักลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับตลาดโดยรวม โดยไม่ต้องกังวลกับการเลือกหุ้นรายตัวหรือจังหวะการลงทุน ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่
[[ 🛣️ ผลลัพธ์ไม่ได้บอกเรื่องราวระหว่างทางทั้งหมด ]]
แม้ปลายทางกองทุนดัชนีแบบ passive ที่บัฟเฟตต์วางเดิมพันจะชนะ แต่ระหว่างทางก็มีขึ้นๆ ลงๆ และบางช่วงตอนก็หวาดเสียวได้เช่นกัน
หลังจากการเดิมพันเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2008 ตลาดหุ้นตกต่ำลงอย่างหนัก และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่จุดแข็งคือการป้องกันความเสี่ยง (hedging) ก็โชว์ความสามารถของตัวเองออกมาให้เห็นได้
กองทุนดัชนีของบัฟเฟตต์สูญเสียมูลค่าไป 37.0% เทียบกับกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่สูญเสียไป 23.9% แต่หลังจากนั้นกองทุนดัชนีของบัฟเฟตต์ก็กลับมาชนะได้ทุกปีตั้งแต่ปี 2009 ถึง 2014 แต่ต้องใช้เวลาสี่ปีกว่าจะเอาชนะกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในแง่ของผลตอบแทนสะสม
ในปี 2015 กองทุนดัชนีกลับมาตามหลังกองทุนเฮดจ์ฟันด์อีกครั้ง โดยผลตอบแทน 1.4% เทียบกับ 1.7%
แต่ในปี 2016 ก็กลับมาได้รับผลตอบแทน 11.9% เทียบกับ 0.9%
ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตลาดกลับมาตกต่ำอีกครั้งกองทุนของ Protégé อาจจะกลับมาได้เปรียบก็ได้
แต่สิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น การแข่งขันจบลงด้วยกองทุนดัชนีได้ผลตอบแทน 7.1% ต่อปี เทียบกับ 2.2% ต่อปีของ Protégé
ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นบัฟเฟตต์กล่าวว่าเขาเชื่อว่าผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่เกี่ยวข้องกับการเดิมพันนี้เป็น "คนซื่อสัตย์และมีสติปัญญา" แต่ผลลัพธ์ที่ส่งต่อไปหานักลงทุนนั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก
[[ 📊 อีกมุมมองหนึ่ง: โอกาสในการเอาชนะตลาด ]]
แม้ว่าบทเรียนจากการเดิมพันของบัฟเฟตต์จะชี้ให้เห็นถึงข้อดีของการลงทุนในกองทุนดัชนี แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้งที่น่าสนใจที่ควรพิจารณา
✅ 1. การเลือกกองทุนที่ดี
แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็ยังมีกองทุนบางแห่งที่สามารถสร้างผลตอบแทนเหนือตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ Renaissance Technologies กองทุน Medallion ของพวกเขาสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 39% ต่อปีหลังหักค่าธรรมเนียมในช่วง 30 ปี ระหว่างปี 1988 ถึง 2018 ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม กรณีของ Renaissance Technologies เป็นข้อยกเว้นที่หายาก และกองทุน Medallion ก็ปิดรับการลงทุนจากบุคคลภายนอก ทำให้นักลงทุนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้
✅ 2. ช่วงเวลามีผล
ผลลัพธ์ของการเดิมพันอาจแตกต่างไปหากเริ่มต้นในช่วงเวลาอื่น เช่น ในช่วงปี 2000-2010 ที่เรียกว่า "ทศวรรษที่สูญหาย" ของ S&P 500 ซึ่งดัชนีให้ผลตอบแทนติดลบ ในขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์โดยเฉลี่ย (ตามรายงานของ Barclays hedge fund index) ให้ผลตอบแทนเป็นบวกประมาณ 8% ต่อปี
ช่วงเวลาของการเดิมพัน (2008-2017) เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งหลังจากวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ซึ่งอาจเอื้อประโยชน์ให้กับกองทุนดัชนีมากกว่าปกติด้วย
✅ 3. การเปรียบเทียบที่ไม่เท่าเทียม
การเปรียบเทียบ S&P 500 กับกองทุนเฮดจ์ฟันด์อาจไม่ยุติธรรมนัก เนื่องจาก:
➡️ กองทุนเฮดจ์ฟันด์มักลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายกว่า ไม่ได้จำกัดเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ เท่านั้น
➡️ กลยุทธ์ของเฮดจ์ฟันด์มักเน้นการบริหารความเสี่ยงและการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ มากกว่าการพยายามเอาชนะตลาดในทุกสภาวะ
➡️ S&P 500 มีความผันผวนสูงกว่า โดยในปี 2008 S&P 500 ขาดทุน 37% ในขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ขาดทุนเพียง 23.9% โดยเฉลี่ย
ไซเดส แสดงความเห็นว่าการกระจายการลงทุนทั่วโลกมีผลกระทบต่อผลตอบแทนของกองทุนเฮดจ์ฟันด์มากกว่าค่าธรรมเนียม โดยชี้ให้เห็นว่าดัชนี MSCI All Country World Index ซึ่งครอบคลุมหุ้นทั่วโลก มีผลตอบแทนใกล้เคียงกับกองทุนเฮดจ์ฟันด์มากกว่า
✅ 4. โอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูง
แม้โอกาสจะน้อย แต่การเลือกกองทุนที่มีผลงานโดดเด่นอย่างสม่ำเสมอก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์อาจสามารถระบุกองทุนที่มีศักยภาพสูงได้ แต่การเลือกกองทุนที่จะชนะตลาดอย่างสม่ำเสมอในอนาคตเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังทำได้ยาก
[[ 🎯 บทสรุปและข้อควรพิจารณาสำหรับนักลงทุน ]]
การเดิมพันของบัฟเฟตต์ในครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับข้อดีของการลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนทั่วไปที่อาจไม่มีเวลาหรือความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และเลือกหุ้นรายตัวหรือเลือกกองทุนด้วยตัวเอง แต่ยังสามารถสร้างความมั่งคั่งในการลงทุนได้ โดยไม่ต้องพยายามเอาชนะตลาด (เพราะกองทุนดัชนีมันอ้างอิงไปตามตลาด)
อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสสำหรับนักลงทุนที่สามารถเลือกกองทุนที่มีผลงานโดดเด่นได้ แม้ว่าโอกาสนั้นจะค่อนข้างน้อยก็ตาม
ไซเดสบอกว่าหาก “เดิมพันกับบัฟเฟตต์ต่อไปอีก 10 ปีจะมีโอกาสชนะมากกว่าครึ่ง ดัชนี S&P 500 ดูเหมือนจะมีราคาสูงเกินไปและมีโอกาสที่จะทำให้นักลงทุนแบบ passive ผิดหวัง กองทุนเฮดจ์ฟันด์ลดความเสี่ยงในตลาดหมี ขณะเดียวกันก็พยายามที่จะเข้าร่วมในตลาดกระทิงบางส่วน การลงทุนในกองทุนเฮดจ์ฟันด์เป็นการเดิมพัน ‘ต่อต้าน’ ตลาดกระทิงที่ต่อเนื่อง การลงทุนในดัชนี S&P 500 เป็นการเดิมพัน ‘สนับสนุน’ ตลาดกระทิงที่โตอย่างต่อเนื่อง”
(มีคนถามบัฟเฟตต์เหมือนกันว่าอยากเดิมพันต่ออีกสัก 10 ปีไหม ซึ่งบัฟเฟตต์ก็บอกว่าด้วยอายุของเขาในตอนนั้นจะเป็น 97 ปี อาจจะแก่เกินไป ไม่ได้อยู่ในจุดที่ดีที่สุดในการจะมาเขียนหรือพูดเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ออกมา แต่เขาก็ยังมั่นใจนะว่ากองทุนดัชนี S&P500 จะทำผลงานให้นักลงทุนได้ดีกว่าผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ทำได้หลังจากหักค่าธรรมเนียมต่างๆแล้ว)
แล้วการลงทุนกองทุนดัชนี (อย่างเช่น S&P500) จะให้ผลตอบแทนเหมือนเดิมต่อไปไหม?
คำตอบก็เหมือนกับการลงทุนทุกอย่างนั่นแหละ ไม่มีใครที่สามารถตอบได้ ถ้าเป็นตลาดที่เติบโตการลงทุนในกองทุนดัชนีก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีไปด้วย แต่ถ้าเป็นช่วงที่ตลาดไม่ไปไหนเลยหรือเป็นตลาดหมีกองทุนเฮดจ์ฟันด์หรือกองทุนที่มีผู้จัดการกองทุนที่ดีผลตอบแทนก็อาจจะดีก็ได้
ในท้ายที่สุด ไม่มีวิธีการลงทุนใดที่เหมาะสมกับทุกคน นักลงทุนควรพิจารณาสถานการณ์ส่วนตัว เป้าหมายทางการเงิน และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเองก่อนตัดสินใจ
💬 คุณ จิรภัทร โบสุวรรณ เจ้าของเพจ Fun Manager เคยสรุปเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า (สามารถอ่านได้ในลิงก์อ้างอิง)
“อยากชนะตลาด ทำได้ไหม ผมเชื่อว่าเราชนะตลาดได้ แต่ไม่ตลอดไป วิธีการลงทุนหลากหลายแบบ ถูกออกแบบมาให้ชนะตลาดในสภาวะที่แตกต่างกัน ถ้าเราศึกษามากขึ้นและหาสไตล์การลงทุนของตัวเอง Passive Fund จะเป็นเพียงแค่เครื่องมือในการลงทุนอย่างแรกที่คุณจะรู้จักเท่านั้น
แม้ผลวิจัยต่างๆจะออกมาบอกว่า Passive Fund จะดีกว่า Active Fund ในระยะยาว บวกกับ Warren Buffett ยังเชียร์ให้ลง Index Fund แต่สำหรับผม ไม่มีคำตอบว่า Passive หรือ Active แบบไหนดีกว่ากัน มีแต่แบบไหนเหมาะกับคุณมากกว่ากัน”
1
การเดิมพันของบัฟเฟตต์เป็นบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ การลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าธรรมเนียมต่ำอาจเป็นทางเลือกที่ดีและเรียบง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการลงทุนแบบ Active จะไม่มีที่ยืนในโลกการลงทุน หากสามารถเลือกกองทุนที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับความต้องการของตนเองได้
1
อีกประเด็นหนึ่งที่อาจจะต้องคำนึงถึงคือแม้การลงทุนในกองทุนดัชนีจะช่วยกระจายความเสี่ยงไปยังหลายบริษัท ได้ดีกว่าการเลือกหุ้นแบบรายตัว แต่ดัชนี S&P 500 ใช้วิธีการคำนวณแบบ "float-adjusted market capitalization weighting" ซึ่งหมายความว่าบริษัทที่มีขนาดใหญ่กว่าจะมีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของดัชนีมากกว่า
ประเด็นคือในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มูลค่าของ S&P 500 และตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมเริ่มกระจุกตัวอยู่ที่บริษัทขนาดใหญ่ไม่กี่แห่ง เช่น Apple, Microsoft, และ Nvidia โดย 10 หุ้นที่ใหญ่ที่สุดใน S&P 500 คิดเป็นเกือบ 30% ของมูลค่าดัชนี ซึ่งทำให้การลงทุนใน S&P 500 ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทใหญ่เหล่านี้มากขึ้น
นอกจากนี้
นอกจากนั้นส่วนใหญ่ของ 10 บริษัทชั้นนำเหล่านี้อยู่ในภาคเทคโนโลยี ซึ่งนักวิเคราะห์บางคนกังวลว่าหากภาคเทคโนโลยีมีปัญหา อาจส่งผลกระทบดัชนีร่วงได้
เพื่อหลีกเลี่ยงการกระจุกตัวของดัชนี นักลงทุนอาจพิจารณาลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 แบบถ่วงน้ำหนักเท่ากัน (Equal-Weight Index) ซึ่งจะกระจายการลงทุนในทุกบริษัท 500 แห่งในดัชนีเท่าๆ กัน ทำให้บริษัทขนาดใหญ่มีอิทธิพลไม่มากเกินไปต่อมูลค่าการลงทุนได้
💵 ปล. ที่จริงเรื่องการเดิมพันของบัฟเฟตต์มีจุดหักมุมอยู่นิดหนึ่งเช่นกัน เดิมทีบัฟเฟตต์และ Protégé Partners ได้ใส่เงินประมาณ $320,000 ต่อคนในพันธบัตรที่จะเพิ่มมูลค่าเป็น 1 ล้านดอลลาร์ในช่วงการเดิมพัน แต่ในปี 2008 เกิดวิกฤติ Subprime ขึ้นมา ดอกเบี้ยลดลงอย่างมาก สินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้เลยมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทำให้เงินเดิมพันที่ถูกทิ้งไว้พันธบัตรตั๋วเงินคลังระหว่างทั้งสองฝ่ายโตขึ้นมาก
ในปลายปี 2012 ทั้งสองฝ่ายจึงตัดสินใจเปลี่ยนนำเงินตรงนั้นมาซื้อหุ้น Berkshire B จำนวน 11,200 หุ้น ในราคาหุ้นละ $89.70 ซึ่งพอถึงเวลาต้องขายเมื่อจบการเดิมพันในปี 2017 หุ้นทั้ง 11,200 หุ้นนั้นมีมูลค่า 2.22 ล้านดอลลาร์ มูลค่าของหุ้นเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้น 121% (พอเห็นแบบนี้ก็รู้สึกว่าซื้อหุ้นของ Berkshire อาจจะดีกว่ากองทุนดัชนีรึเปล่านะ)
และเหตุการณ์หักมุมในประวัติการเดิมพันนี้ Girls Inc. of Omaha (มูลนิธิไม่หวังผลกำไรที่บัฟเฟตต์เลือกบริจาคเงิน) ก็ได้รับเงินไปมากกว่า 1 ล้านเหรียญซะอีก Roberta Wilhelm ผู้อำนวยการบริหารองค์กรกล่าวว่า
“นั่นเป็นของขวัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตสำหรับเด็กผู้หญิงเหล่านี้ และมันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับองค์กรของเราด้วย”
📖 ปล 2. ใครสนใจเรื่องของการลงทุนในกองทุนดัชนีอยากชวนอ่านหนังสือ ‘#ลงทุนด้วยสามัญสำนึก ไม่ว่าใครก็มั่งคั่งได้ด้วยกองทุนดัชนี’ ของ John Bogle ต่อครับ
อ้างอิง :
#aomMONEY #MakeRichGeneration #PassiveFund #ActiveFund #กองทุนดัชนี #JohnBogle #WarrenBuffett #การลงทุน #กองทุน #การเงินส่วนบุคคล
โฆษณา