14 ส.ค. 2024 เวลา 09:11 • นิยาย เรื่องสั้น

กมลสันดาน : ชีวิตปะหลานของเด็กอีสานบ้านนอก

-รักแรก... จริงๆนะ-
กลับมาที่ชีวิต ม.ปลายอีกครั้ง คราวนี้ถึงช่วง ม.6 ผมจำได้ว่าชีวิต ม.6 ผมค่อนข้างเท่ห์อีกรอบ ทั้งการเล่นฟุตบอลและการชกมวย จริงๆแล้วผมเริ่มได้เป็นตัวจริงของทีมโรงเรียนตั้งแต่ ม.5 และยึดตำแหน่งนี้มาจนถึง ม.6 แต่ตำแหน่งผมไม่ใช่ศูนย์หน้าหรอกครับ อย่างมากก็เล่นปีกขวา
และช่วงหลังๆก็ถูกดันลงต่ำมาเล่นแบ็กขวา จะอย่างไรเสียผมก็ยังพอใจอยู่ดี ขอแค่ให้มีชื่อได้เล่นในสนามก็พอ แต่ก็เหมือนเดิมครับ โดยความเป็นจริงแล้วโรงเรียนเราเป็นโรงเรียนบ้านนอก ผมเป็นนักเรียนที่เพิ่งเปิด ม.ปลายรุ่นที่ 3 มีนักเรียน ม.ปลาย ในแต่ละชั้นแค่ 1 ห้อง
ดังนั้นตำแหน่งตัวจริงในช่วง ม.ปลายก็ค่อนข้างคว้าได้ไม่ยาก ไม่เหมือนช่วงมัธยมต้นที่แต่ละชั้นมีนักเรียน 3 ห้อง จึงทำให้การแข่งขันเป็นไปอย่างดุเดือด และทีมฟุตบอลก็มีไว้แค่ประดับโรงเรียนเท่านั้น เราค่อนข้างจะไม่มีทัวร์นาเม้นต์ไปแข่งขัน ยกเว้นเตะโชว์หรือไม่ก็เป็นแค่นัดกระชับมิตร เพราะถ้าจะไปแข่งงานใหญ่ๆก็ไม่มีใครดันต่อ และแม้จะเข้าเมืองไปรายการใหญ่ๆก็คงไปไม่รอด ฉะนั้นทีมฟุตบอลจึงมีไว้แค่ประดับโรงเรียน
แต่มันก็มีดีพอที่จะทำให้ผมมั่นใจในการจีบสาว โดยเฉพาะเมื่อเลื่อนชั้นขึ้น ม.6 นี่ถือเป็นรักครั้งแรกที่ผมเริ่มเอาจริง สาวที่ผมจีบเรียนอยู่ ม.1 ครับ ใช่ครับคุณอ่านไม่ผิดหรอก เธอเรียนแค่ชั้น ม.1 จริงๆ แต่แม้เธอจะอยู่แค่ ม.1 แต่เธอก็เริ่มเป็นสาวแล้ว และสายตาเธอยังคมกริบเสียด้วย การเดินยิ้มแบบอายๆทำให้ผมแอบมองเธอ
เอาเข้าจริงๆผมเริ่มเห็นเธอตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ป.6 ช่วงนั้นผมเรียนอยู่ ม.5 นักเรียนมัธยมปลายอย่างผมย่อมคู่ควรกับนักเรียนประถมปลายนั่นแหละ จะให้จีบนักเรียนมัธยมปลายด้วยกันคงไม่ไหว เหตุผลก็ง่ายๆนิดเดียวครับ ผมตัวเล็ก แม้จะขึ้นมัธยมปลายผมก็ยังตัวเล็กอยู่ดี ฉะนั้นความกล้าในการจีบสาวจึงอยู่แค่ชั้นประถม
ทุกวันก่อนไปโรงเรียน ผมมักจะเปิดเพลงเสียงดังจากบนบ้าน เนื่องจากบ้านติดถนนใหญ่ที่มีนักเรียนทั้งประถมและมัธยมเดินผ่าน ผมจึงมีโอกาสได้แอบมองสาวผ่านช่องหน้าต่างบ้าน ผมเห็นเธอเดินผ่านหน้าบ้านผมทุกวัน บรรยากาศช่วงนั้นในชีวิตผมเต็มไปด้วยดอกกุหลาบในหัวใจ ทุกเช้ามักเป็นวันที่สดชื่นเสมอ เพราะผมมักจะเห็นเธอเดินมากับกลุ่มเพื่อน และเธอเองก็ดูเป็นใจ ดังนั้นเสียงเพลงจากบ้านผมจึงดังขึ้นเพื่อให้เธอมองมาทางบ้านผมและให้รู้ว่ามีผมแอบมองอยู่
ผมมีนิสัยไปโรงเรียนสายมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากบ้านติดถนนและอยู่กลางสี่แยกใหญ่ในชุมชน มันจึงเหมาะยิ่งนักที่จะเป็นแหล่งรวมของวัยรุ่นที่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งจบชั้นมัธยมแล้ว และพวกเขามักจะมายืนมองสาวๆที่บรรดาพี่ๆเรียกว่า "สาวนักเรียน" และผมแม้จะยังคงเป็นนักเรียนแต่ด้วยความสนิทชิดเชื้อผมก็กลายเป็นนักเรียนตัวเล็กที่ทำตัวแบบพี่ๆที่มายืนดูสาวๆนักเรียนไปโรงเรียน
และเมื่อนักเรียนทุกคนไปหมดรวมถึงสาวน้อย ม.1 คนนั้นไปโรงเรียนแล้ว ผมจึงรีบแต่งตัวและวิ่งไปโรงเรียนให้ทัน แต่ไม่ทันแล้ว ผมจึงไปโรงเรียนสายเกือบทุกวัน
"เขากะมักเจ้าอยู่" ผมได้รับคำกระซิบนี้จากน้องซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อของเธอ
"เจ้ากะเอาหยังไปให้เขาแหน่ตี้"
เพื่อนของเธอคนเดิมแอบกระซิบผมต่อ เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ทำให้มั่นใจว่าความรักที่แท้จริงเกิดขึ้นแล้ว วันต่อมาผมจึงมีจดหมายรักโรยแป้งและพับเป็นรูปหัวใจส่งให้เพื่อนเพื่อนำไปฝากเธอ และมันก็เป็นเช่นนี้เรื่อยมา ที่รวมถึงเธอเองก็ส่งกลับมาให้ผม ทำให้หัวใจชุ่มฉ่ำเสมือนว่าวันวาเลนไทน์เกิดขึ้นทุกวัน
มหกรรมบุญเดือนสี่ประจำหมู่บ้านกำลังเริ่มต้นขึ้น ความเป็นนักมวยวัดที่มีชั้นเชิงการชกแบบมวยค่ายกำลังจะกลับมาอีกรอบ ผมเริ่มซ้อมเตะกระสอบและลุกขึ้นวิ่งในตอนเช้าตั้งแต่เนิ่นๆ จำได้ว่าช่วงนั้นหมู่บ้านเรามีค่ายมวยที่ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านช่วยกันตั้งขึ้น มันเป็นค่ายแบบบ้านๆที่มีกระสอบเตะแขวนใต้ต้นไม้ ไม่มีเวที แต่มีลานเล็กๆให้เด็กๆที่สนใจเข้ามาฝึกหัดชั้นเชิง
ผมซึ่งเป็นนักเรียนชั้น ม.6 และถือเป็นนักมวยตัวเก่งของค่ายกลายเป็นแกนนำน้องๆในการพาวิ่งในทุกเย็นหลังเลิกเรียน และช่วงเช้าๆถ้าใครขยันก็ลุกขึ้นมาวิ่งอีกรอบ ซึ่งบรรยากาศแบบนี้ผมชอบยิ่งนัก มันเป็นบรรยากาศที่เปิดเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ให้เด็กๆในหมู่บ้านมาผูกมิตรและเล่นกีฬาที่มันเป็นมากกว่าการแข่งขัน
การประกบคู่มวยเริ่มขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เรามีก๊วนนักมวยจากในค่ายเยอะมาก นับแล้วก็ร่วมๆ 10 กว่าคนเห็นจะได้ ในจำนวนนี้มีทั้งนักมวยที่ผ่านการชกบนเวทีและนักชกหน้าใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสเวทีเลย แต่นักมวยเราเยอะเพราะมันเป็นพื้นที่แห่งความสนุก เพราะทุกคนรู้ว่าหลังเลิกเรียนต้องมารวมกันที่นี่
"มาๆเด็กน้อยผุได๋อยากชกมวย เข้าแถว"
เสียงโปรโมเตอร์ประกบคู่มวยเรียกนักชกรุ่นจิ๋วเข้าแถวเพื่อต่อคิวชั่งน้ำหนัก ซึ่งมีนักชกทั้งจากในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้านมาเข้าคิว และรวมถึงนักชกค่ายจากแดนไกลเพื่อล่ารางวัลก็มายืนรอคิว ซึ่งโปรโมเตอร์จะรู้ดีว่าใครคือนักชกเกรดไหน เพราะดูแค่หุ่นก็รู้ว่าเด็กคนไหนเป็นนักชกประจำและคนไหนเป็นมือสมัครเล่น
"โธ่หมอนี่หุ่นดีเว้ย"
โปรโมเตอร์มวยทักผม ในจังหวะที่ผมขึ้นไปยืนบนตาชั่ง เสียงเพื่อนๆรุ่นน้องผมร้องเฮลั่นและคอยลุ้นว่าปีนี้คู่ชกผมจะเป็นใคร ไม่นานผมก็ได้คู่ชก ปีนี้คู่ชกผมเป็นนักเรียนประมาณชั้น ม.3 ถามไถ่คร่าวๆว่าบ้านมันอยู่แถวๆในเขตตัวอำเภอ ดูหน่วยก้านค่อนข้างใช้ได้ โปรโมเตอร์ประกบคู่น่าจะมองออกว่าอายุมวยเราคงรุ่นราวคราวเดียวกัน และนั่นก็คือจุดเริ่มในการซ้อมเข้มข้นของผมอย่างจริงจังอีกครั้ง
ตั้งแต่เช้าดึกของทุกวัน ผมจะลุกขึ้นมาวิ่งไปกลับราวๆ 5 กิโลเมตร โดยมีรุ่นพี่ในหมู่บ้านที่มีดีกรีเป็นถึงมวยคู่เอกประจำงานเป็นพี่เลี้ยงคอยวิ่งประกบ บรรยากาศการซ้อมในทุกวันเป็นไปด้วยความชื่นมื่น จะไม่ให้ชื่นมื่นได้อย่างไร ก็ในเมื่อพี่ที่พาผมซ้อมแกก็มีสาวๆ ม.4 แอบมองด้วยเช่นกัน
ทุกๆเช้าในช่วงที่เธอลุกขึ้นมานึ่งข้าว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เราวิ่ง พอไปถึงหน้าบ้านของสาวคนนั้นผู้ซึ่งเป็นที่หมายปองของพี่ที่วิ่งไปกับผม แกมักจะพาผมแวะดื่มน้ำเป็นประจำ ช่วงแรกๆก็ทำทีเป็นเข้าไปขอน้ำดื่ม แต่พอหลายวันเข้าสาวคนนั้นเธอก็รู้ว่าพวกเราจะวิ่งผ่านทุกวัน เธอจึงหยิบขวดน้ำที่แช่ไว้พร้อมแก้วมาตั้งรอหน้าบ้าน และเราก็จะมีน้ำดื่มระหว่างทางทุกเช้า ในเมื่อบรรยากาศเป็นเช่นนี้เรายิ่งสนุกกับการได้ออกวิ่งและซ้อมมวย และผมเองก็ได้เรียนวิชาจีบสาวกับพี่เขาไปโดยปริยาย
และวันต่อยมวยที่ผมรอคอยมาแรมเดือนก็มาถึง
"น้องบ่กล้าเข้าไปเบิ่งอ้าย ย่านอ้ายเจ็บ" เป็นประโยคที่สาวน้อยวัย 13 บอกกับผมในตอนเย็นที่เสียงรถแห่มวยกำลังเคลื่อนตัวรอบๆหมู่บ้านอย่างครึกครื้น
"เข้าไปเบิ่งแหน่ พอให้อ้ายมีกำลังใจ" ผมพยายามรบเร้าให้เธอตัดสินใจเข้าไปดูการต่อยในค่ำคืนนั้นของผม
พอถึงตอนเย็นถึงเวลาการชกบนเวที ผู้คนทั้งจากในหมู่บ้านและต่างบ้านต่างทยอยเข้ามาในงาน คืนแรกของงานบุญเดือนสี่จะมีการชกมวยและหนังกางแปลงอยู่ไม่ไกลจากเวทีมวย ในคืนเช่นนี้นับเป็นบรรยากาศในหมู่บ้านที่หาเรื่องราวความสนุกอื่นมาเทียบได้ยาก
ในยุคนั้นไม่มีโซเชี่ยลมีเดีย ไม่มีงานรื่นเริงอื่นๆมากนัก ทำให้จุดสนใจของทุกคนโฟกัสมาที่งานประจำปี คนที่ปกติชีวิตจะอยู่ทุ่งนาตลอดนานๆจะเข้าหมู่บ้านใหญ่ที ก็อาศัยจังหวะนี้ในการเข้ามาร่วมสนุก และแม้แต่คนที่ไปทำงานในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่นๆที่เป็นเมืองอุตสาหกรรมก็ยังถือจังหวะนี้ลางานเพื่อมาร่วมสนุก เพราะทุกคนถือว่านี่คือเทศกาลอันเป็นสัญลักษณ์และอัตลักษณ์ที่เรามีร่วมกัน
ผมเข้าไปในเวทีในฐานะนักชกที่ไม่ต้องซื้อบัตรเข้างาน และมีบรรดาพี่เลี้ยงคอยประกบ จังหวะนี้ผมดูเท่ห์ยิ่งนัก กล้ามเป็นมัดๆ แม้จะตัวเล็กแต่หุ่นผมก็ดูมีทรงมวยอยู่มากทีเดียว
"ข่อยอยากเท่ห์คือเจ้าเด้อ้าย" รุ่นน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาทักผม ยิ่งทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นในความมีสง่าในค่ำคืนนั้น
และแน่นอนพอเข้ามาในบริเวณเวทีมวยที่มีผ้าใบล้อมรอบ สายตาผมก็พยายามสาดหาสาวน้อย ม.1 เพื่อดูให้แน่ใจว่าเธอเข้ามาดูผมในคืนนี้หรือเปล่า และเหมือนทุกอย่างเป็นใจ เธอเข้ามาในงานจริงๆ ใจผมยิ่งพองโต เหมือนมีพลังวิเศษลึกลับมาช่วยขยับร่างกายให้มีแรงฮึดพร้อมที่จะเป็นนักชกที่คู่ต่อสู้กลัวที่สุด
"ยกที่ 1" เสียงโฆษกเวทีประกาศ ผมเดินเข้าหาคู่ต่อสู้กัดฟันกรามและโชว์ลีลาการกระโดดโลดเต้น จากนั้นก็เริ่มกระหน่ำเชิงมวย คราวนี้คู่ต่อสู้ผมดูจะสูงกว่าเล็กน้อย ทำให้เขาได้เปรียบรูปร่าง แต่อย่างไรเสียมันก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการออกอาวุธที่ทำให้เสียงเฮดังกึกก้องตลอดเวลา
ในระหว่างชกผมจำไม่ได้ว่าใครพูดอะไรบ้าง จำได้แต่เพียงว่าพอหมดยกผมมักจะส่ายสายตาไปดูเธอที่มุมด้านหลังภายในพื้นที่ซึ่งล้อมด้วยผ้าใบเพื่อให้เห็นเธอผู้กำลังดูผมอยู่ แม้จะเหนื่อยในระหว่างพักยก แต่ผมก็มีแรงพอที่จะหันหลังและยิ้มให้เธอ และพอรู้ว่าเธอยิ้มตอบ นั่นแหละพลังวิเศษผมก็กลับมาอีกครั้ง
"หมดยกที่ 5" เสียงโฆษกสนามประกาศอีกรอบ ทำให้ผมรู้ว่าการแข่งขันจบลงแล้ว งานนี้ไม่หมูเลย ผมไม่ได้เตะแค่ครั้งเดียวและทำให้คู่ต่อสู้กลิ้งกองอยู่พื้นเวที แต่การชกคราวนี้ต้องออกแรงถึงห้ายก จะอย่างไรเสีย แม้มันจะไม่ชนะอย่างรวดเร็ว แต่การต่อยคราวนี้ผมก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ซึ่งมันก็เป็นผลการแข่งขันที่ดีพอที่จะทำให้ทั้งผมและเธอยิ้มได้ และนั่นแหละคือโลกทั้งใบของผมในค่ำคืนนั้น
โฆษณา