18 ต.ค. 2024 เวลา 07:20 • ประวัติศาสตร์

Mr.LIM Ep.1 กราฟิตี้ งานศิลปะสะท้อนสังคมและการเมือง

เมื่อเรามองไปรอบๆ ตัวเราดู เราจะพบว่าเราพบเห็นภาพขีดเขียนตามตึกร้าง และกำแพงตามหัวเมืองต่างๆ บางคนอาจมองว่าภาพวาดบนฝาผนังแบบนี้เล่าเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในสังคม บ้างก็มองว่ามันเป็นงานศิลปะ หรืออาจมองว่าเป็นผลงานที่เกิดจากกลุ่มวัยรุ่นได้ขีดเขียนทิ้งไว้ ภาพขีดเขียนที่เราพบเห็นอยู่นี้เรียกกันว่า “กราฟิตี้” แล้วกราฟิตี้มันคืออะไร มีบทบาทต่อการต่อสู้ทางเมืองอย่างไร เราไปดูกันครับ
กราฟิตี้ (Graffiti) หรือรอยขูดขีดเขียน มาจากคำว่า Graffito หรือ Sgraffito ในภาษาอิตาลี่ หมายถึงงานศิลปะในรูปแบบของการขีดเขียน วาด พ่นสี ขูด หรือแกะสลักบนฝาพนัง เพื่อสื่อถึงการเสียดสีสังคมและการเมือง ซึ่งมาจากกลุ่มฮิปฮอปที่ต้องการจะระบายความในใจของคนผิวสีออกมา และส่วนใหญ่มักนิยมพ่นกันที่ใต้ดิน เนื่องจากการพ่นกราฟิตี้ส่วนใหญ่มักผิดกฎหมาย
กราฟิตี้เกิดขึ้นในลักษณะเป็นภาพวาดตามพนังถ้ำที่ถ้ำโชเวท์ซึ่งทางตอนใต้ของฝรั่งเศสเมื่อประมาณ 30,000 ปีก่อน โดยส่วนใหญ่จะเป็นภาพวาดของสัตว์ต่างๆ และได้มีการค้นพบว่าภาพวาดขีดเขียนนี้เกิดขึ้นในช่วง 2,000 ปีก่อน ณ เมืองปอมเปอีซึ่งเป็นเมืองที่สาบสูญ นอกจากนี้ยังมีการเขียนชื่อและข้อความประท้วงตามตึกต่างๆ ในยุคโรมันและกรีกอีกด้วย
กราฟิตี้เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างจริงจังที่เมืองนิวยอร์กในช่วงยุค 1960 โดยได้ถอดแบบมาจากเพลงฮิปฮอป ในยุคนั้นมีกลุ่มวัยรุ่นได้ทำการเขียนชื่อของตัวเองบนตามที่สาธารณะ เช่น กำแพงและรถไฟ ในการเรียกร้องความเป็นธรรมเพื่อแสดงออกถึงความต้องการอิสรภาพ ซึ่งต้องแลกมาด้วยการท้าทายกฎหมายด้วยการหลบหนีจากเจ้าหน้าที่รัฐ เหล่าศิลปินจึงต้องปิดบังตัวตนไว้เพื่ออยู่ในวงการกราฟิตี้ต่อไปได้
ผู้สร้างกราฟิตี้สมัยใหม่ก็คือ ดาร์รีล แมคเครย์ (Darryl McCray) นามของเขาคือ Cornbread เขาถือเป็นสตรีทอาร์ทยุคแรกๆ ในช่วงต้นยุค 60 ว่ากันว่าที่เขาชื่นชอบงานศิลปะแนวนี้เกิดจากเขาได้ตกหลุมรักผู้หญิงที่ชื่อ ซินเทีย คัสทัส (Cynthia Custuss) เขาเริ่มเขียนชื่อเพื่อให้คนที่ตนแอบชอบสนใจ เขาจึงได้ทำการเขียนกราฟิตี้ที่เมืองฟิลลาเดลเฟีย (Philadelphia) ด้วยชื่อแฝงของเขา
นอกจากนี้ ยังมีอีกคนที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้สร้างงานเขียนกราฟิตี้สมัยใหม่ก็คือทากิ หรือที่รู้จักกันในนาม TAKI 183 โดยก่อนหน้านี้ มีศิลปินนามว่า Julio204 ได้พ่นกราฟิตี้ไปทั่วเมืองนิวยอร์ก ในแถบรัฐวอชิงตัน จนกระทั่งในปี 1969 ทากิจึงได้ตามรอย Julio204 ไป โดยเขาได้พ่นที่สถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อที่จะได้มีผู้คนพบเห็นชื่อของตัวเองให้ได้มากที่สุด
ในปี 1971 เขากับกลุ่มวัยรุ่นอีกหลายร้อยคนได้ออกมาเขียนชื่อตัวเองตามสถานที่ต่างๆ เช่น รถไฟใต้ดิน สนามบิน โบกี้รถไฟ ตู้คอนเทนเนอร์ ฯลฯ ในยุคนั้นจะมีการสร้าง Character ที่เป็นตัวการ์ตูนออกมาด้วย
ต่อมาเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 1973 เขาได้เห็นว่ากลุ่มวัยรุ่นมีความสนใจในการเขียนกราฟิตี้เป็นจำนวนมาก จึงมีการจัดงาน “ทากิอวอร์ด” ขึ้นมา เพื่อที่จะคัดเลือกว่าผลงานกราฟิตี้ชิ้นไหนเป็นผลงานที่ดีที่สุด และยังคงจัดกิจกรรมดังกล่าวอยู่เรื่อยๆ
ตั้งแต่ในช่วงยุค 1980 ไปจนถึงช่วงยุค 1990 งานเขียนกราฟิตี้ก็เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในทั่วโลก มันถือเป็น Sub-culture ที่แพร่หลายตามเมืองใหญ่ๆ ในประเทศตะวันตก
แต่ในช่วงต้นยุค 1990 เมืองนิวยอร์กได้เกิดการก่อจลาจล การฆาตกรรม การค้ายา การโจรกรรม และการก่อการร้าย เมเยอร์ รูดอล์ฟ จิวเลียนี (Mayor Rudolph Giuliani) ได้ตระหนักถึงการสร้างความสงบเรียบร้อยให้กับประชาชน การปราบปรามอาชญากร รวมไปถึงการทำความสะอาดรถไฟใต้ดิน นับเป็นจุดจบของงานเขียนสตรีทอาร์ทประเภทนี้
อย่างไรก็ตามในปี 1994 ก็ได้มีการก่อตั้งเว็บไซต์รวบรวมงานศิลปะกราฟิตี้ขึ้นมา ชื่อ Art Crimes จนทำให้กราฟิตี้ได้รับการยอมรับทั่วโลก ซึ่งในปี 1999 ทางเว็บไซต์ได้มีภาพผลงานดังกล่าวมากกว่า 3,000 จาก 205 เมืองใน 43 ประเทศทั่วโลก จนมีนักกราฟิตี้หน้าใหม่มาสนใจทำกิจกรรมขีดเขียนบนฝาพนังกันเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้งานเขียนกราฟิตี้จึงยังคงแพร่หลายทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน
ศิลปินกราฟิตี้ที่รู้จักกันในวงการใน ประกอบด้วย Banksy ศิลปินกราฟิตี้ชาวอังกฤษที่มีผลงานกราฟิตี้ทั่วเมืองลอนดอนและบริสตอลโดยการแสดงออกทางการเมือง และ Blek le Rat ศิลปินกราฟิตี้ชาวฝรั่งเศสที่เปลี่ยนมาใช้ศิลปะแบบ stencil art ให้ปรับปรุงทัศนียภาพของสถานที่ต่างๆ ความสามารถของเขาคือการเตรียมวาดภาพก่อนลงมือวาดจริง
ส่วนในประเทศไทย งานเขียนกราฟิตี้มีบทบาทอย่างจริงจังในช่วงยุค 90 โดยนักเขียนกราฟิตี้คนแรกในไทยชื่อ ปกรณ์ ธนานนท์ หรือในวงการใช้นามว่า “PAKORN” ได้สัมภาษณ์กับทางหนังสือพิมพ์ผู้จัดการว่า จุดเริ่มต้นของงานเขียนฝาพนังแบบนี้มาจากกลุ่มคนเล่นสเก็ตบอร์ด ซึ่งได้เขียนงานกราฟิตี้ตามพื้นสเก็ตบอร์ด และสวนสาธารณะ
กลุ่มนักกราฟิตี้ยุคแรกๆ ในไทยส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศแล้วกลับมาที่ไทย วัฒนธรรมการเขียนบนกำแพงเริ่มเป็นที่รู้จักในประเทศไทยในข่วงที่ผับบาร์เริ่มเปิดให้บริการตามสีลม
หลังจากนั้นก็มีกลุ่มศิลปินกราฟิตี้มากมายหลายสาขา อาทิเช่น กราฟิกดีไซน์ ศิลปินไฟน์อาร์ต พวกเขาได้ถูกชักชวนให้เข้าร่วมทำงานในวงการสตรีทอาร์ทภายใต้ชื่อกลุ่ม FOR และได้มีการจัดนิทรรศการที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ในวงการนี้มีการเปิดกว้างให้กับศิลปินทุกแขนง เพื่อให้พวกเขามีอิสระทางความคิด ด้วยเหตุนี้งานสตรีทอาร์ทจึงได้รับความนิยมในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน
กราฟิตี้จะประกอบไปด้วย 8 ประเภทด้วยกันคือ
1. Tag เป็นรูปแบบการเขียนกราฟิตี้ที่นิยมใช้มากที่สุดที่สุด โดยการใช้ลายเซ็นหรือนามแฝงของแต่ละบุคคล ศิลปินจะใช้สเปรย์พ่นสีมาพ่นขื่อตัวเองให้อ่านไม่ออก เพื่อให้ดูสะดุดตา
2. Throw-ups เป็นเขียนกราฟิตี้แบบรวดเร็ว ส่วนใหญ่เน้นสีขาวดำ พร้อมตัดขอบให้มีมิติ ไม่เน้นความสวยงาม เพราะต้องแข่งกับเวลา
3. Bubble/Block เป็นการเขียนแบบ Tag ให้เพิ่มมิติ เน้นใช้ 3 สีเป็นหลัก
4. Character เป็นการพ่นเป็นรูปคน หรือจะเป็นตัวการ์ตูนที่ศิลปินออกแบบเอง หรือจะเป็นบุคคลที่มีขื่อเสียงก็ได้ เช่น ดารา นักร้อง เป็นต้น
5. Piece หรืออีกชื่อคือ Fill-in เป็นงานกราฟิตี้ที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเป็นอย่างมาก เน้นความสวยงาม และใช้เวลานาน เพื่อให้ตัวผลงานออกมาได้อย่างสมบูรณ์
6. Wildstyle เป็นงานกราฟิตี้ที่ตัวอักษรจะมีความซับซ้อน อ่านยาก ตัวหนังสือจะเกาะเกี่ยวกัน เพื่อแสดงเอกลักษณ์ของตนเอง
7. Blockbuster เป็นงานกราฟิตี้ที่เน้นเขียนทั้งผนัง
8. Production เป็นการเอางานกราฟิตี้หลายๆ ประเภทมารวบรวมไว้เข้าด้วยกัน มาจากกลุ่มนักกราฟิตี้ที่นัดมาช่วยสร้างผลงานร่วมกัน
แล้วอะไรเป็นสาเหตุทำให้กราฟิตี้กลายเป็นเครื่องมือในการต่อสู้การเมืองล่ะ
เรื่องนี้เริ่มต้นมาจากไมเคิล สเตวาร์ด (Michael Stewart) ได้ไปพ่นสีในสถานีรถไฟ ในขณะนั้นเองเขาก็ถูกตำรวจนายหนึ่งทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต
เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้กับชาวผิวสีเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงรวมตัวกันต่อต้านด้วยการเขียนกราฟิตี้ อันเนื่องมาจากปัญหาตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นความไม่เสมอภาค การก่ออาชญากรรม ความยากจน การศึกษาที่เข้าไม่ถึง และการไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสังคม
กราฟิตี้จึงกลายเป็นงานศิลปะที่ใช้ให้เข้าถึงบริบททางการเมือง จนบางครั้งมันกลายเป็นเครื่องมือเพื่อใช้โจมตีภาครัฐ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การเขียนกราฟิตี้ยังเป็นกิจกรรมการเคลื่อนไหวเพื่อท้าทายต่ออำนาจของรัฐ
ส่วนในเรื่องของภาพลักษณ์นั้น โดยเฉพาะในบ้านเรา กราฟิตี้มักจะถูกมองในแง่ลบที่ว่าเป็นผลงานของกลุ่มที่คนเรียกว่า “มือบอน” เนื่องจากในช่วงยุค 90 มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นมาพ่นกำแพงเพื่อประกาศว่าพวกเขาเป็นพ่อทุกสถาบัน นั่นทำให้มีการถูกเหมารวมว่าเป็นเด็กช่าง แสดงให้เห็นว่ากราฟิตี้ในยุคนั้นไม่ได้รับการยอมรับอย่างเท่าที่ควร
และยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่พ่นกราฟิตี้มักต้องปิดบังตัวตนเอาไว้ เพราะต้องคอยหลบหนีเจ้าหน้าที่รัฐ ศิลปินกลุ่มนี้จึงมองว่าการพ่นสีตามกำแพงเช่นนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายกฎหมาย จึงต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ตลอดเวลา
แต่ในปัจจุบันศิลปะที่ขีดเขียนตามกำแพงได้รับการยอมรับมากกว่าสมัยก่อนมาก โดยกลุ่มศิลปินหลายรายมาพ่นกราฟิตี้เพื่อการจัดประกวด การส่งเสริมการท่องเที่ยว การจัดกิจกรรมการพัฒนาแหล่งชุมชน เป็นต้น และยังรวมไปถึงการระบายความรู้สึกที่อัดอั้นมาจากใจ เนื่องมาจากปัญหาทางด้านสังคม
ดังนั้น โดยสรุปแล้ว กราฟิตี้เป็นวัฒนธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงการแสดงออกทางการเมืองในแง่ของความเหลื่อมล้ำทางสังคม ความรุนแรงและการก่ออาชญากรรม รวมไปถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยว และการประกวด ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เราจะยังคงเห็นภาพขีดขีดตามหัวเมืองต่างๆ อยู่เรื่อยๆ อย่างแน่นอน
แหล่งอ้างอิง
ผู้จัดการออนไลน์. (2566). เจาะวิถี “กราฟิตี้” ลึกว่ารอยขีดข้างถนน คืองานศิลป์ระบายความอัดอั้น-ปัญหาสังคม!!. สืบค้นจาก https://mgronline.com/live/detail/9660000048071
British Council. (n.d.). The history of graffiti. Retrieved from https://learnenglishteens.britishcouncil.org/skills/reading/b2-reading/history-graffiti
Journey ForEver. (n.d.). Graffiti: History, Purpose, Types. Retrieved from http://journeyforevermag.com/typesofgraffiti
Rock The Bells. (2023). Richard Goldstein believed in Graffiti when no one else did. Retrieved from https://rockthebells.com/articles/richard-goldstein-graffiti-new-york-magazine/
Short Recap. (ม.ป.ป.) รู้จัก “กราฟฟิตี้” (Graffiti) ศิลปะตีแผ่ความจริงบนกำแพง. สืบค้นจาก https://shortrecap.co/culture/กราฟฟิตี้-graffiti/
British Council. (n.d.). The history of graffiti. Retrieved from https://learnenglishteens.britishcouncil.org/skills/reading/b2-reading/history-graffiti
Urban Creature. (2018). Bangkok Street Art : “กราฟิตี้” หัวขบถ สู่ “สตรีทอาร์ท” สาด(เสียด)สีสังคม. สืบค้นจาก https://urbancreature.co/bangkok-street-art/
โฆษณา