20 ส.ค. 2024 เวลา 15:23 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

หากการฝันซ้อนฝันเป็นจริง เราอาจจะสูญเสียทั้งตัวตนและความเป็นจริง

การฝันซ้อนฝัน หรือที่บางคนเรียกว่า "ฝันภายในฝัน" เป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างน่ากลัวสำหรับหลายคน เพราะมันทำให้เกิดความสับสนในระหว่างที่ฝัน และเมื่อตื่นขึ้นมาก็ยังไม่แน่ใจว่าได้ตื่นจริงหรือยังอยู่ในฝัน ทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงและหวาดกลัว เช่นเดียวกับภาพยนตร์อันเป็นตำนาน โดยผู้กำกับฝีมือขึ้นหิ้ง Christopher Nolan อย่าง "Inception"
เหตุใดการฝันซ้อนฝันจึงน่ากลัว?
1. ความสับสนของความเป็นจริง: ในขณะที่คุณฝันซ้อนฝัน คุณอาจรู้สึกว่าตื่นขึ้นมาแล้ว แต่จริงๆ แล้วคุณยังอยู่ในฝัน ความสับสนนี้ทำให้คุณไม่แน่ใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และสร้างความรู้สึกหวาดกลัวหรือกังวล
2. การรับรู้เวลาที่ผิดปกติ: ในฝัน เวลามักจะถูกบิดเบือน และคุณอาจรู้สึกว่าผ่านไปนานมากแล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริงอาจผ่านไปเพียงไม่กี่นาที ความรู้สึกว่าเวลายาวนานกว่าความเป็นจริงในฝันสามารถทำให้คุณรู้สึกถูกคุมคาม หรือรู้สึกถึงความไม่สมดุลของการรับรู้ระหว่างฝันและความเป็นจริง
3. ความกลัวที่ไม่สามารถควบคุมได้: การที่คุณไม่สามารถแยกแยะได้ว่าคุณอยู่ในฝันหรือในโลกแห่งความจริง ทำให้เกิดความรู้สึกว่าคุณไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความหวาดกลัวให้กับคนหลายๆ คน
ทฤษฎีเกี่ยวกับการฝันซ้อนฝันมีการอธิบายโดยนักจิตวิทยาและนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสมองว่าเป็นการประมวลผลข้อมูลของสมองที่เกิดขึ้นระหว่างการนอนหลับ ในขณะที่สมองกำลังประมวลผลข้อมูลต่างๆ เช่น ความทรงจำหรือความเครียด ฝันอาจเกิดขึ้นหลายชั้นได้จากการที่สมองพยายามจัดระเบียบข้อมูลเหล่านั้น ความรู้สึกของเวลาที่แตกต่างกันในฝันนั้น เกิดจากการทำงานของสมองที่แตกต่างจากขณะที่เราตื่นอยู่
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าระบบการรับรู้เวลาของสมองในขณะฝันนั้นทำงานแตกต่างจากตอนที่เราตื่น ทำให้เวลาในฝันยาวนานกว่าความเป็นจริง และนี่เองที่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การฝันซ้อนฝันดูน่ากลัวและผิดปกติ
"ธรรมชาติของเวลาและความจริง (Nature of Time and Reality)"
- ความคิดนี้ท้าทายความเข้าใจของเราต่อเวลาในโลกจริงและในความฝัน ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า "เวลา" คืออะไรจริงๆ เวลาในความฝันเป็นเพียงการสร้างของจิตใต้สำนึก หรือมันเป็นมิติที่มีอยู่จริง?
- หากเราใช้ชีวิตเป็นปีๆ ในความฝันชั้นลึก แต่ในโลกจริงผ่านไปเพียงไม่กี่นาที ความจริงใดที่มีความหมายมากกว่า? นี่นำไปสู่คำถามว่า "ความจริง" คือสิ่งที่รับรู้ได้เท่านั้นหรือไม่? หรือมีความจริงที่ลึกซึ้งกว่านั้นที่เราไม่เข้าใจ?
ภาพถ่ายโดย Engin Akyurt: https://www.pexels.com/th-th/photo/1463924/
"การมีอยู่ของตัวตน (Existence of the Self)"
- หากเราสามารถฝันซ้อนกันได้จนหลายชั้น สิ่งนี้จะกระทบต่อการรับรู้ตัวตนของเราอย่างไร? ตัวตนในชั้นที่ลึกที่สุดของความฝันยังเป็นเราอยู่หรือไม่? หรือมันเป็นสิ่งที่แยกออกจากตัวตนในโลกจริง?
- ความฝันที่มีหลายชั้นเช่นนี้ทำให้เราตั้งคำถามถึงความต่อเนื่องของตัวตนและการมีอยู่ของเราในสภาวะต่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่ความสงสัยเกี่ยวกับความหมายของ "ตัวตน" และ "การมีอยู่" ว่าเป็นสิ่งที่คงที่หรือเปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์
"อิสระและความเป็นทาสในความฝัน (Freedom and Captivity in Dreams)"
- การยืดระยะเวลาในความฝันเพื่อผจญภัยและใช้ชีวิตในโลกที่สร้างขึ้นนั้นเป็นการสร้างอิสระที่แท้จริงหรือไม่? หรือมันเป็นเพียงการหลบหนีจากความเป็นจริง? ความฝันนั้นแม้จะให้ความรู้สึกเป็นอิสระ แต่ก็ยังคงเป็นเพียงการสร้างของสมองซึ่งอาจถูกตีความว่าเป็นสภาวะของการถูกควบคุม.
- สิ่งนี้นำไปสู่คำถามที่ว่าความอิสระในความฝันนั้นมีค่าเทียบเท่ากับความอิสระในโลกจริงหรือไม่? หรือมันเป็นเพียงภาพลวงตาที่หลอกลวงเรา?
"สภาวะของความฝันและการมีสติ (Dream States and Consciousness)"
- หากเราอยู่ในความฝันที่ซ้อนกันหลายชั้น ความมีสติของเราจะยังคงอยู่หรือไม่? หรือมันจะถูกทำลายลงในชั้นที่ลึกที่สุด? ความฝันซ้อนกันสามารถนำไปสู่การหลงทางในสภาวะของจิตใจ ทำให้เราไม่สามารถแยกแยะระหว่างความฝันกับความจริงได้.
- การมีสติในความฝันหลายชั้นเช่นนี้จะเปิดประตูให้เราพูดถึงแนวคิดเกี่ยวกับการมีสติ (consciousness) และการรู้ตัว (awareness) ในสภาวะต่างๆ ว่ามันเป็นสิ่งที่คงที่หรือเปลี่ยนแปลงได้ตามประสบการณ์
"ความเป็นนิรันดร์และการวนเวียน (Eternity and Recursion)"
- หากเราอยู่ในความฝันชั้นลึกๆ เป็นเวลานานเป็นปีๆ แต่ในโลกจริงผ่านไปเพียงไม่กี่นาที ความฝันนั้นจะกลายเป็นสภาวะนิรันดร์หรือไม่? และถ้าเราสามารถฝันต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด ความฝันนั้นจะกลายเป็นการวนเวียน (recursion) หรือการหลงทางในมิติของจิตใจ?
- ความคิดนี้สามารถนำไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับความหมายของ "นิรันดร์" และ "เวลา" ว่ามันเป็นเพียงการสร้างของจิตใต้สำนึกหรือมันมีอยู่จริงในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
"การหลบหนีจากความเป็นจริง (Escape from Reality)"
- หากเราสามารถใช้ชีวิตอยู่ในความฝันชั้นลึกๆ ที่ดูเหมือนมีความสุขและอิสระ มันจะทำให้เราหลงลืมความเป็นจริงในโลกจริงหรือไม่? นี่อาจเป็นการหลบหนีจากความจริงที่ไม่พึงพอใจ แต่ก็ทำให้เราตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณค่าของการเผชิญหน้ากับความจริงและการดำเนินชีวิตในโลกจริง.
- แนวคิดนี้สามารถเปรียบเทียบได้กับสถานการณ์ในชีวิตจริงที่ผู้คนบางคนหลบหนีความเป็นจริงด้วยวิธีต่างๆ เช่น การใช้ยาเสพติดหรือการใช้เวลาอยู่ในโลกเสมือนจริง (virtual reality)
ท้ายที่สุดแล้วการฝันซ้อนฝันนั้นเกิดขึ้นได้จริง และเป็นปรากฏการณ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและการประมวลผลข้อมูลในขณะนอนหลับ ความสับสนและการรับรู้เวลาที่ผิดปกติเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การฝันซ้อนฝันน่ากลัวสำหรับหลายคน
โฆษณา