Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
กมลสันดาน
•
ติดตาม
22 ส.ค. 2024 เวลา 15:14 • นิยาย เรื่องสั้น
กมลสันดาน : ชีวิตปะหลาดเด็กอีสานบ้านนอก
-ทางแยกที่ต้องเลือก-
ผมไม่รู้ว่าการชกมวยคราวนั้นจะเป็นการชกครั้งสุดท้ายในชีวิต แน่นอนว่าผมไม่ใช่นักมวยอาชีพ แต่ก็ใช่ว่าโอกาสจะไม่ได้ยื่นให้ผม เพราะในระหว่างที่เป็นนักมวยสมัครเล่นในหมู่บ้านก็มีเสียงกระซิบกระซาบว่าถ้าผมอยากจะเลือกชีวิตนักมวยต่อโอกาสก็พอมีบ้าง
"โตสิไปอยู่ค่ายบ่" ครูท่านเดิมที่เคยถามผมตอนเรียนอยู่ ม.2 เอ่ยถามผม และผมเลือกที่จะปฏิเสธโอกาสนี้ ผมจำได้ว่าความฝันผมมันอาจจะมากกว่าการเป็นนักมวย อีกทั้งแม่ผมก็ไม่ได้สนับสนุนให้เป็นนักมวย แม้ครอบครัวเราจะมีเงินไม่มาก แต่ด้วยความฝันอันมีหมุดหมายปลายทางคือการยกระดับคุณภาพชีวิต พี่สาวคนที่ 6 ซึ่งทำงานโรงงานอยู่กรุงเทพฯก็เอ่ยปากว่าจะส่งผมเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย นั่นจึงทำให้ผมเลือกที่จะหาสถานที่เรียนต่อหลังจบ ม.6 แทนที่จะเป็นนักมวยที่อาจจะมีชื่อเสียง
นอกจากนั้นแรงขับอีกหลายอย่างในใจ ยังเป็นปมฝังลึกและคอยกระซิบหูผมตลอดเวลาว่า ผมต้องเดินไปข้างหน้า ไปให้ไกลกว่าอาชีพที่ต้องใช้แรงงานในการเลี้ยงชีพ เพราะอย่างที่รู้ว่าผมคือเด็กชายบ้านนอกที่ไม่มีทักษะดีพอที่จะออกมาเป็นเกษตรกร หรือทำอะไรก็ตามที่เป็นงานที่ต้องใช้แรงและฝีมือ และที่สำคัญผมไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนรุ่นเดียวกัน เหตุผลที่ผมต่อยมวยได้ดีเพราะกีฬามวยมันเป็นกีฬาที่วัดน้ำหนักเท่ากัน แต่ถ้าเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกันนั้น ผมยังตัวเล็กมาก
"มึงอย่ามาเล่นกับหมู่เถาะ มึงโตน้อยโพด มันบ่คือ" ประโยคเหล่านี้จากบรรดาเพื่อนๆที่แม้จะเป็นรุ่นพี่แต่มันมีอายุอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันยังดังก้องในหูผม แม้ว่าประโยคเหล่านี้มันจะเกิดช่วงผมเรียนมัธยมต้น แต่มันก็ยังดังพอที่จะทำให้ผมขมขื่นในใจว่า ผมมันเป็นแค่เด็กตัวเล็กที่กระจอก ไม่มีความเท่ห์เอาเสียเลยในบรรดาเพื่อนฝูง และอย่างมากก็ได้แค่จีบสาวรุ่นน้องที่เรียนอยู่แค่ชั้น ม.1
"กูสิเอาดีทางเฮียน กูสิชนะพวกมึง กูสิบ่ให้ซุมมึงว่ากูได้" นี่คือคำสั่งในสมองผมที่มันดังอยู่ตลอดเวลา ที่แม้ว่าผมในวันนี้อาจจะยังไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อน แต่สักวันผมจะต้องทำให้ได้ และจะทำให้ดีกว่าพวกมัน และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจเลือกเรียนต่อ แม้ว่าทางบ้านจะไม่ได้มีฐานะดี และการเรียนผมก็ใช่ว่าจะเก่ง ยิ่งเป็นนักเรียนมัธยมจากบ้านนอกก็ยิ่งทำให้ทักษะการแข่งขันในเชิงวิชาการด้อยกว่ามาก
จำได้ว่าช่วงที่เรียนชั้น ม.6 เทอมสอง ผมอ่านหนังสือค่อนข้างมาก ในทุกๆเช้าผมจะตื่นมาตั้งแต่ราวๆตี 2 กว่า เพื่อขยี้ตาแล้วตะบันอ่านหนังสือแบบไม่มีมวย ผมอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยไม่รู้หรอกว่าอนาคตผมจะเป็นเช่นไร คิดแต่เพียงว่าผมต้องเรียนหนังสือและทำให้ดีที่สุดสมกับที่พี่สาวผู้ที่ทำงานเป็นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมจะส่งเสียได้
"โตสิไปเรียนเฮ็ดหยังสาขาวัฒนธรรม" เสียงคุณครูที่ปรึกษาบอกผมในวันหนึ่งที่ผมเดินเข้าไปหาเพื่อให้คุณครู เพื่อบอกครูว่าผมชอบสาขาวิชาแนววัฒนธรรมหรือไม่ก็ออกแนวสังคม
"ผมมักครับ" ผมบอกคุณครูไปแบบไม่มีเหตุผลอื่น
"สาขาแบบนี่มันบ่มีงาน จบมาหางานยาก" คุณครูท่านเดิมให้คำแนะนำต่อ
"ถ้าซั่นผมต้องเรียนหยังครับ" ผมถามคุณครูเพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจนมากขึ้น
"เรียนเอกอังกฤษนั่น" คุณให้คำตอบ
"อิหยังนะครู ผมบ่เก่งอังกฤษ บ่มีพื้นฐานเลย สิเอาหยังไปเรียน"
ผมบอกคุณครูอย่างตรงๆ ว่าทักษะภาษาอังกฤษนั้นแทบเป็นศูนย์ ผมไม่รู้จักประโยคในภาษาอังกฤษ ผมไม่ค่อยรู้ศัพท์ ผมไม่รู้อะไรเลย เพราะตอนเรียนผมลอกเพื่อน และในขณะลอกผมก็ยังงงเลยว่ามันทำได้อย่างไร
"เรียนเอกนี่หละมันจั่งหางานง่าย หรืออนาคตอยากเป็นครูกะได้" คุณครูให้คำตอบซึ่งเป็นเหตุผลประกอบ
สุดท้ายผมก็เชื่อครูจริงๆ ผมได้เรียนต่อสถาบันราชภัฏในตัวจังหวัด แม้ว่าปีนั้นผมจะซุ่มอ่านหนังสือสอบเอนทรานซ์และเลือกสาขาพัฒนาสังคมและสาขาอื่นๆในลำดับรองลงมาเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แต่ผมก็สอบเอนทรานซ์ไม่ติด ทำได้ดีที่สุดคือส่งผลงานเพื่อคัดเลือกเข้าเรียนในฐานะนักเรียนบ้านนอกผู้มีผลการเรียนดี และผมก็ได้โควต้าเรียนดีเข้าเรียนต่อวิชาเอกภาษาอังกฤษ สถาบันราชภัฏอุบลราชธานี
และนี่คือเองฉากชีวิตใหม่ของผม พอจบมัธยมปลายจากโรงเรียนในตำบล ผมก็กลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยวิชาเอกภาษาอังกฤษ จากเด็กบ้านนอกคราวนี้ก็กลายมาเป็นนักศึกษาบ้านนอกที่ไปเรียนในเมือง โดยชื่อเดิมของโรงเรียนก็เป็นชื่อแปลกๆที่เพื่อนร่วมชั้นไม่ค่อยคุ้นหู แต่ก็เอาเถอะพอมาถึงจุดนี้ผมจะทำให้ดีที่สุดตามที่แรงขับจากหมู่บ้านมันบอกผม ซึ่งแน่อนผมไม่รู้ว่าอนาคตผมจะเป็นเช่นไร แต่วันนี้คือวันที่ผมต้องทำให้ดีที่สุด
และด้วยความที่เป็นนักเรียนบ้านนอก ผู้ไม่มีทุนภาษาอังกฤษเลยจึงทำให้ผมอึ้งไปตลอดระยะเวลา 2 ปีแรกที่เข้าเรียน ผมซุ่มอ่านหนังสือ ท่องบท จำคำศัพท์แบบไม่มีทฤษฎี แต่ก็ถือว่าโชคดีมากที่เพื่อนๆในราชภัฏฯนั้นให้โอกาสในการฝึกฝน ซึ่งจะว่าไปผมก็เหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่ในระดับอุดมศึกษา จำได้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เครียดพอควร"
"แม่ ข่อยบ่ไหวหรอก เฮียนยากหลาย" ผมเอ่ยปากบอกแม่ในเย็นของวันหนึ่งในขณะที่พวกเรากำลังล้อมวงกินอาหารมื้อเย็นด้วยกันที่บ้าน
"บ่ไหวกะออกมาเอ็ดนาส่อยอ้าย" นี่คือคำให้กำลังใจของแม่ผม ซึ่งผมมองว่ามันไม่ได้กำลังใจเลย เพราะแม่ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเรียนอะไร และแม่ก็คงมองไม่ออกว่าชีวิตผมในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แม่รู้แต่เพียงว่าเราพอมีผืนนาที่ถ้าเมื่อไหร่เรียนไม่ไหวก็ออกมาทำนาก็ได้
แต่แม่ไม่รู้หรือว่าผมทำอะไรในผืนนาไม่เป็นเลย ถ้าออกมาช่วยพี่ชายก็มีแต่จะโดนพี่ชายดุ ซึ่งนั่นผมว่ามันทรมานกว่าการเรียนในห้องที่แม้จะเครียดและอายเพื่อนอยู่บ้าง แต่มันก็คงดีกว่าการออกมาใช้ชีวิตแบบหนุ่มบ้านนอกผู้ไม่มีพรสวรรค์ในการดำรงชีวิตแบบเด็กบ้านนอกเลย
ช่วงชีวิตปี 1 และ ปี 2 ของผมในรั้วสถาบันอุดมศึกษา ผมใช้เวลากับเพื่อนๆซึ่งจะว่าไปก็เป็นเด็กนักเรียนที่มาจากโรงเรียนบ้านนอกทั้งที่อยู่ต่างอำเภอและต่างจังหวัด แต่ด้วยความโชคดีที่มีเพื่อนๆคอยสนับสนุน จึงทำให้พวกเขาช่วยผมติว พาผมเข้าโบสถ์คริสต์เพื่อไปแอบเอาวิชาจากบรรดานักสอนศาสนา แม้มันจะขัดแย้งอยู่บ้างกับการเข้าโบสถ์เพราะเพื่อนผมหลายคนพักในวัด ดังนั้นผมจึงมีโอกาสแวะเวียนไปหาพวกเขาและนัดกันช่วงเย็นเพื่อออกจากวัดและมาเข้าโบสถ์
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย