Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
aomMONEY
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
27 ส.ค. 2024 เวลา 13:00 • ไลฟ์สไตล์
เราเป็นคนให้ยืมเงินแต่ทำไมเราต้องเครียดในการทวงเงินมากกว่าคนยืม?
🤯 ชีวิตมีเรื่องน่าปวดหัวเสมอ โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ
ยิ่งถ้ามันดันไปเกี่ยวข้องกับการหยิบยืมเงินกับคนใกล้ตัวอย่างเพื่อนด้วยนี่ยิ่งปวดหัวเข้าไปอีก
กฎข้อแรกถ้าเราจะไปยืมเงินคนอื่น เราต้องแน่ใจก่อนว่าเรามีทางหาเงินก้อนนั้นมาคืนได้ เพราะถ้ากลับด้านกันถ้าเราเป็นคนให้คนอื่นยืมเงิน เราก็หวังว่าจะได้เงินก้อนนั้นคืนใช่ไหมละครับ?
📌 วันก่อนไปอ่านเจอประเด็นหนึ่งมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือคุณหน่อย บุษกร นักแสดงและผู้จัดละครออกมาให้สัมภาษณ์ว่าตัวเองให้คนอื่นยืมเงินไปหลายแสนแล้วก็เครียด ถึงขั้นจนเข้าโรงพยาบาลเพราะกว่าจะได้คืนนานเป็นปี
แน่นอนคุณหน่อยไม่ใช่คนแรกที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ และ...ไม่ใช่คนสุดท้าย เพราะมันเกิดขึ้นตลอด ประเด็นคือเราเป็นคนให้ยืมเงินแต่ทำไมเราต้องเครียดในการทวงเงินมากกว่าคนยืม?
มีการสำรวจแบบสอบถามในปี 2019 ในอเมริกาสมมุติเหตุการณ์ว่าถ้ามีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นสักก้อนหนึ่งที่เราจ่ายไม่ได้ จะไปหาเงินก้อนนี้มาจากไหน?
การยืมเงินจากเพื่อนและครอบครัวคือตัวเลือกอันดับสอง รองจากใช้บัตรเครดิตเท่านั้น
มาก่อนการเอาของไปขาย หรือ ไปยืมเงินจากสถาบันการเงินซะอีก เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกครับที่การยืมเงินจะเพื่อนหรือคนรู้จักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ
แต่เมื่อมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องในความสัมพันธ์เมื่อไหร่ ความสัมพันธ์แบบเพื่อน/คนรู้จัก/ครอบครัว มันจะเปลี่ยนไปทันที จากเพื่อน พี่น้อง กลายเป็นลูกหนี้เจ้าหนี้ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าน้ำหนักของความสัมพันธ์จะเปลี่ยน มีอารมณ์ที่ซับซ้อนมากขึ้นเข้ามาร่วมอย่าง ความอาย ความโกรธ กังวล เครียด และสับสนเข้ามาร่วม
เมื่อไหร่ก็ตามที่เข้าสู่สถานการณ์แบบนี้ การสื่อสารอย่างชัดเจนและตั้งความคาดหวังตามความเป็นจริง จะช่วยให้ความรู้สึกตะขิดตะขวงใจในความสัมพันธ์ลดลงได้
[[ 🥺 #ตั้งความหวังบนความเป็นจริง ]]
การพูดคุยเกี่ยวกับเงินยังคงเป็นหัวข้อที่มีความละเอียดอ่อนและหลายคนก็ไม่อยากจะพูดเกี่ยวกับมันสักเท่าไหร่นักโดยเฉพาะกับเพื่อนหรือคนรู้จัก ซึ่งการสื่อสารแบบไม่ตรงไปตรงนี้นี่แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของความซับซ้อนและความไม่แน่นอนในความสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการยืมเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าเราไม่มีทางรู้ว่าปัญหาการเงินหลังบ้านของแต่ละคนนั้นเป็นยังไงบ้าง เพราะไม่มีใครพูดเรื่องการเงินให้คนอื่นฟังแบบหมดเปลือก
ด้วยความสนิทและเชื่อใจคุณอาจจะให้คนรู้จักยืมเงินไป ทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าคนนั้นมีปัญหามากน้อยแค่ไหน พอให้ยืมก็เริ่มไม่สบายใจ สาเหตุเพราะมันไม่มีอะไรมาการันตีหรือสัญญาที่เป็นหลักฐานการยืมหรือแผนการจ่ายเงินคืนเลยนั่นเอง
💰 เจ ไมเคิล คอลลินส์ (J Michael Collins) ศาสตราจารย์และผู้อำนวยการศูนย์ความมั่นคงทางการเงินจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา อธิบายสาเหตุของความรู้สึกไม่สบายบอกว่า
“หากคุณไปขอกู้เงินจากธนาคาร ธนาคารจะตรวจสอบว่าคุณสามารถชำระคืนได้หรือไม่ จากนั้นก็จะทำสัญญากับคุณ โดยสัญญานั้นจะระบุว่า ถ้าคุณไม่ชำระเงินตามกำหนด ธนาคารจะสามารถยึดทรัพย์สินของคุณหรือหักเงินจากเงินเดือนของคุณได้ แต่เมื่อคุณยืมเงินจากญาติหรือเพื่อน คุณมักจะไม่มีการทำสัญญาที่ชัดเจนเช่นนั้น ซึ่งนั่นทำให้ข้อตกลงกลายเป็นเรื่องหลวม ๆ ไม่มีความสามารถในการติดตามหรือความรับผิดชอบที่ชัดเจน สิ่งนี้สร้างความไม่สบายใจให้ทั้งผู้ให้ยืมและผู้ยืมเงิน”
แบรด คลอนตซ์ (Brad Klontz) นักจิตวิทยาการเงินและรองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย Creighton ในเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา เสริมว่าการยืมเงินนี้สร้างความไม่มั่นคงให้กับผู้ให้ยืมอย่างมาก เพราะไม่ว่าคุณจะสนิทกับใครเพียงใด คุณอาจไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิธีการจัดการเงินของพวกเขาเลย ที่สำคัญที่สุดคือการยืมเงินในลักษณะนี้มักจะไม่ถูกชำระคืน
😅 ที่สำคัญจากสถิติแล้วชี้ว่า 9 ใน 10 ครั้งที่เพื่อนที่ยืมเงินไปมักจะไม่คืนเงินให้
คลอนตซ์แนะนำว่าหากคุณให้ยืมเงินคุณต้องยอมรับให้ได้เต็มที่ว่าคุณอาจไม่ได้เงินคืน
เพราะบ่อยครั้งคนที่ยืมเงินจากคุณไป พอมีเงินเข้ามาก็จะไปให้ความสำคัญกับบิลหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ก่อน และหากไม่มีการสื่อสารหรือทวงใด ๆ ผู้ยืมมักจะเข้าใจผิดว่าคุณมีความสามารถทางการเงินมากจนไม่สนใจว่าจะได้รับเงินคืนหรือไม่
ก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ผู้ยืมพยายามหลีกเลี่ยงคุณ ไทยไปก็ไม่รับ ไลน์ไปก็ไม่อ่าน ตอนนี้คุณก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจและรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ รู้สึกว่าคนที่ยืมไม่เคารพคำสัญญาที่ให้กันเอาไว้ก่อนหน้านี้เลย
[[ ❓#แล้วจะทำยังไงดี? ]]
สถานการณ์นี้มันช่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะหากมีเพื่อนสนิทมาขอยืมเงิน หากคุณไม่ให้ยืมมันก็ทำลายความสัมพันธ์ได้ เพื่อนอาจจะไม่พอใจว่าแค่นี้ทำไมช่วยไม่ได้ หรือหากให้ยืมมันก็ทำลายความสัมพันธ์ได้เช่นเดียวกัน เพราะเพื่อนอาจจะไม่คืน (ปวดหัวแท้)
การให้ยืมเงินสร้างความแตกแยกในความสัมพันธ์มานักต่อนักแล้ว
📖 คุณเบสต์-ลงทุนศาสตร์เขียนวิธีแก้เอาไว้ในหนังสืออยู่ 3 ข้อ
✅ 1. วัดใจ
วิธีนี้คือการตั้งตัวเลขไว้เลยว่านี่คือเงินที่คุณให้ได้มากที่สุดโดยที่ไม่เดือดร้อน คิดไว้ก่อนเลยว่ายังไงก็ไม่ได้คืน และเป็นเงินที่ “ถือเป็นค่าซื้อความสัมพันธ์” และอาจจะเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่จ่ายเสร็จแล้วแยกจากชีวิตหายกันไปเลย
ให้ยืมเสร็จก็รอดูผล ไม่คืนก็เลิกคบกันไป คล้ายกับการให้เงินไปเลยนั่นแหละครับ
เป็นเงินที่เอาให้ได้โดยที่เราสบายใจ ให้แค่นี้แหละพอแล้ว ถ้าได้คืนก็ดี ถ้าไม่ได้คืนก็ไม่เป็นไร เพราะเราไม่หวังได้คืนแต่แรกอยู่แล้ว
✅ 2. ทำสัญญา
อันนี้คุณเบสต์แนะนำว่าหากเป็นเงินก้อนที่มากกว่าแค่เงินที่ให้ไปเลยได้ ก็ต้องทำสัญญากันเลยเป็นลายลักษณ์อักษร ถูกต้องตามกฎหมาย ระบุดอกเบี้ย ลายเซ็นพยาน มีสำเนาบัตรประชาชนรับรอง ทำเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย
หนี้ก้อนใหญ่ ไม่ว่าสนิทแค่ไหน ทำสัญญาเสมอ เพราะเมื่อมีสัญญามาผูกมัด คนที่ยืมก็มีโอกาสจ่ายเงินคืนได้มากกว่า และอย่างน้อยก็เป็นลดความไม่สบายใจฝ่ายเราที่ให้ยืม มีวันเวลาแน่นอนที่จะได้เงิน แถมยังแสดงความบริสุทธิ์ใจของผู้ยืมด้วย
✅ 3. กล้าปฏิเสธไปเลย
เราต้องเข้าใจก่อนว่าเงินที่จะให้ยืมคือเงินของเรา เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ให้ยืม อีกฝั่งก็เอาไปไม่ได้
หากเราวิเคราะห์แล้วว่าเงินมันก้อนใหญ่เกินไปให้ไม่ได้ ไม่งั้นตัวเองก็จะลำบาก ทำสัญญาก็ไม่ได้ช่วยทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นเพราะเห็นแล้วว่าคนเหล่านี้น่าจะไม่คืนแน่ๆ
“สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณต้องรู้จักพูดคำว่า ‘ไม่’”
เราอาจจะอยู่ในวัฒนธรรมที่ขี้เกรงใจ ปฏิเสธคนไม่เป็น แต่ปัญหาเรื่องการยืมเงินจะไม่ลุกลามบานปลายเลยถ้าเราปฏิเสธตั้งแต่แรก
คุณเบสต์เขียนเอาไว้ว่า
“ความจริงปัญหาจะแก้ได้ตั้งแต่เริ่มต้นเลย ถ้าเราบอกว่าไม่ ผมทำบ่อยมากเวลามีคนมายืม ผมจะตอบไปง่าย ๆ ว่า ‘ไม่สะดวกให้ยืม’ เขาอาจถามกลับมาว่า ‘แต่ก็ดูมีเงินเยอะนี่ ทำไมให้ยืมไม่ได้’ ผมก็จะตอบกลับไปง่าย ๆ ว่า ‘ไม่อยากให้ยืม ไม่มีเหตุผลอะไรมากกว่านั้น’
ผมคิดว่าหากใครสักคนจะเลิกคบเรา เพราะว่าเราไม่ให้เขา ยืมเงินก็ปล่อยให้เขาเลิกคบไปเถอะ นั่นแปลว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเขาสามารถตีมูลค่าเป็นเงินได้อย่างง่ายดาย
ท่องไว้เสมอว่าเสียเพื่อนไปยังดีกว่าเสียทั้งเพื่อนและเสียทั้งเงิน เพราะการเสียแบบหลังนั้นต้องเจ็บใจมากกว่าแน่ๆ ดังนั้นเลือกทำสิ่งที่ตัวเองสบายใจเสมอ จะให้เงินไปเลยก็ได้ จะให้ยืมเงิน ก็ได้ แต่เผื่อใจไว้ด้วยว่าถ้าโดนโกง ถ้าไม่ได้เงินคืนแล้วจะรู้สึกอย่างไร ถ้ารับมือได้ อยากจะให้เท่าไหร่ก็ให้เลย”
[[ 🎯 #สรุป ]]
สุดท้ายครับ ทุกกรณีย่อมมีความแตกต่างกัน ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่าไม่มีวิธีการที่ตายตัวเพราะความสัมพันธ์ของแต่ละคนแตกต่างกัน และสถานการณ์ของแต่ละคนก็เช่นกัน ในบางกรณี การให้เงินอาจกลายเป็นของขวัญที่ช่วยชีวิตใครสักคนหนึ่งเลยก็ได้ เช่นในกรณีที่เพื่อนหรือครอบครัวต้องเผชิญกับเหตุการณ์วิกฤตเฉียบพลัน เช่น อุบัติเหตุร้ายแรง หรือบ้านเกิดไฟไหม้ การให้เงินโดยไม่คาดหวังว่าจะได้รับคืนอาจเป็นสิ่งที่เราพอช่วยเหลือได้ถ้าทำได้
สังคมและเครือข่ายของเรามักเป็นที่พึ่งพาเมื่อเราต้องเผชิญกับความยากลำบาก ดังนั้น การช่วยเหลือเพื่อนหรือครอบครัวในยามที่พวกเขาต้องการอาจเป็นสิ่งที่สมควรทำ อย่างไรก็ตาม ควรระวังไม่ให้การช่วยเหลือทางการเงินของคุณกลายเป็นการทำร้ายพวกเขา หากพวกเขามีปัญหาการจัดการเงินอย่างต่อเนื่อง การตั้งความคาดหวังที่ชัดเจนและการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้คงอยู่
นอกจากนั้นแล้วถ้าเราช่วยด้วยเงินไม่ได้จริงๆ ก็สามารถให้ข้อมูลหรือแหล่งการกู้ยืมเงินแบบถูกกฎหมายก็ได้เช่นเดียวกัน
🌟 แต่ถ้าใครมายืมเงินแล้วเราไม่รู้จะตอบยังไง น้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา เขียนคำแนะนำที่เราสามารถนำไปใช้ตอบคำถามที่เราลำบากใจจะตอบเอาไว้ในหนังสือ “โชคดีที่มึงได้อ่าน” ไว้แบบนี้
“ทำไมยังไม่มีแฟน.. อ๋อ ไม่สะดวกค่ะ
เมื่อไหร่จะแต่งงาน...ไม่สะดวกครับ
เมื่อไหร่จะมีลูก... ไม่สะดวกอะค่ะ
ใช้ได้แม้กระทั่งยืมตังค์เลยนะ
เวลามีคนมายืมตังค์ให้ตอบกลับไปได้เลยว่า "ไม่สะดวก" โอเคนะ
แรกๆอาจจะยังไม่คล่องปาก หมั่นซ้อมบ่อยๆเดี๋ยวจะเก่งขึ้นเองอย่าลืมล่ะ ใครถามอะไรแล้วลำบากใจให้ตอบออกไปว่า ‘ไม่สะดวก’”
- โสภณ ศุภมั่งมี (บรรณาธิการ #aomMONEY)
อ้างอิง : หนังสือ โชคดีที่มึงได้อ่าน และ ยอดคนเงินเหลือ
https://www.federalreserve.gov/.../2019-economic-well
...
https://www.bbc.com/.../20210907-why-does-lending-people
...
#MakeRichGeneration #การเงินส่วนบุคคล #PersonalFinance #MoneyIssue #MoneyMatter #ยืมเงิน #มีคนยืมเงินทำยังไงดี
3 บันทึก
5
4
3
5
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย