31 ส.ค. 2024 เวลา 06:13 • การศึกษา

ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกกับอมยิมในวัยเด็กของเรา

ใครบ้างที่ไม่เคยตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงกระดาษห่อลูกอม? เสียงกรุบกรอบที่คุ้นเคยนี้มักจะพาเราไปสู่ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในวัยเด็ก ไม่เพียงแต่ลูกอมจะให้รสชาติหวานอร่อย แต่ยังซ่อนหลักการทางจิตวิทยาที่น่าสนใจไว้ด้วย
นั่นคือ "ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค"
ลูกอมเม็ดโปรด: กุญแจไขความลับของการเรียนรู้
ลองนึกภาพตอนเราเป็นเด็กน้อย เมื่อทำการบ้านเสร็จ หรือช่วยคุณแม่ทำงานบ้าน พ่อแม่มักจะให้รางวัลเป็นลูกอมเม็ดโปรดสักเม็ด ยิ่งได้กินลูกอมรสชาติที่ชอบ ยิ่งรู้สึกดีใจและอยากทำดีอีกเรื่อยๆ
รู้ไหมว่านี่คือตัวอย่างของ "การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค" นั่นเอง
ทฤษฎีนี้เกิดจากการสังเกตของนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียชื่อ อีวาน พาฟลอฟ ที่พบว่าสุนัขจะน้ำลายไหลเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง เพราะสุนัขเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงเสียงกระดิ่งเข้ากับอาหารที่ได้รับเสมอ
มีตัวแปรที่สำคัญคือ
สิ่งเร้าที่ไม่ต้องวางเงื่อนไข (Unconditioned Stimulus):
กลับมาที่ลูกอมของเรา
ในกรณีของลูกอม การทำความดีคือ "สิ่งเร้าที่เป็นกลาง" แต่เมื่อเราทำความดีแล้วได้รับลูกอมเป็นรางวัลบ่อยๆ "การทำความดี" ก็จะกลายเป็น "สิ่งเร้าที่ถูกวางเงื่อนไข" ที่ทำให้เรารู้สึกดี เพราะเราเชื่อมโยงการทำความดีเข้ากับความสุขที่ได้จากการกินลูกอมแล้ว
ตัวอย่างในชีวิตประจำวัน
• การโฆษณา: บริษัทมักใช้ดาราคนโปรดมาโฆษณาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคเชื่อมโยงภาพลักษณ์ที่ดีของดารากับผลิตภัณฑ์นั้น
• เพลงประกอบภาพยนตร์: เพลงประกอบภาพยนตร์บางเพลงสามารถทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น เศร้า หรือมีความสุขได้ เพราะเราเคยดูภาพยนตร์เรื่องนั้นและเชื่อมโยงเพลงกับอารมณ์ที่ได้รับ
• กลัวความมืด: เด็กบางคนกลัวความมืด เพราะเคยเจอเหตุการณ์ไม่ดีในที่มืด จึงเชื่อมโยงความมืดเข้ากับความกลัว
หลักการวางเงื่อนไขสามารถนำมาใช้ในการปรับพฤติกรรมได้ด้วย เช่น การลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคอธิบายได้ว่า ทำไมเราถึงเรียนรู้และสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งต่างๆ ได้ แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างลูกอมเม็ดโปรดก็ตาม การเข้าใจหลักการนี้จะช่วยให้เราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองและผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โฆษณา