Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Bigmama ชวนอ่าน
•
ติดตาม
17 ก.ย. 2024 เวลา 10:26 • ข่าว
“เงินสดคือหนี้” CK พาถกเถียงสนั่นโลกออนไลน์
ฟังความเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินกับแนวความคิด “เงินสดคือหนี้” จากทัศนะของซี เค เจิง ผู้บริหาร Fastwork
วันที่ 17 กันยายน 2567 สังคมออนไลน์พากันถกเถียงประเด็นเรื่องการเงินและหนี้สินกันอย่างแพร่หลาย
ที่มาของเรื่องนี้เกิดขึ้นจากเฟซบุ๊กเพจ CK Cheong, CPA ของ ซีเค เจิง ผู้บริหาร Fast work ได้โพสต์ข้อความกราฟิกคำพูดของตัวเองที่ระบุว่า “คนรวยจริงจะไม่ถือเงินสด เพราะเงินสดคือหนี้ ไม่ใช่ทรัพย์สิน”
ประเด็นนี้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลกออนไลน์ รวมถึงมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินออกมาแสดงความคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง
กรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงทัศนะว่า การถือเงินสดไม่ได้แปลว่าเราเป็นหนี้ มากที่สุดคงเป็นการสูญเสียโอกาส
“ผมไม่รู้เจตนาของผู้โพสต์ แต่ข้อดีของโพสต์ไวรัล “#เงินสดคือหนี้” คือการฉุดให้คนคิดเรื่องเงิน เรื่องหนี้ เรื่องเงินเฟ้อ เรื่องการลงทุน เรื่อง compound interest ฯลฯ ซึ่งจริง ๆ จะเรียกเงินสดเป็นหนี้มันไม่ถูกอยู่แล้ว อย่างเก่งคือ การถือเงินสดคือการสูญเสียโอกาส ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราเป็นหนี้ใคร
หากมีคน 100 คนเห็นโพสต์ไวรัลนี้ แล้วมี 80 คนงง ๆ แล้วก็ไถผ่านไป (พร้อมด่าอยู่ในใจ) แต่มี 20 คนที่หยุดคิด และจาก 20 คน มีสัก 2 คนที่มีคำตอบให้ตัวเองในเรื่องค่าของเงินที่จะลดลงจากสภาวะเงินเฟ้อ (ถ้าเราถือมันไว้เฉย ๆ) และความจำเป็นที่จะต้องแปลงเงินสดเป็นอย่างอื่นที่มีผลตอบแทน (เช่นเงินฝาก พันธบัตร หรือเงินลงทุน)..แค่นี้โพสต์นี้ผมถือว่าทำประโยชน์แล้ว!”
ความคิดเห็นของกรณ์ที่ระบุว่าความเสียหายมากที่สุดในการถือเงินสดคงเป็นการสูญเสียโอกาสนั้นสอดคล้องกับ ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ที่เคยพูดถึงภาวะเงินเฟ้อเมื่อปี 2565 ว่า “ถือเงินสด” เท่ากับ “เสียโอกาส”
อมรเทพบอกว่า การถือครองเงินสดไว้จะเป็นการเสียโอกาส เพราะปี 2566 ไม่เหมือนช่วงวิกฤตที่เงินเฟ้อติดลบ ราคาทรัพย์สินลดลงทำให้คนถือเงินสดกันมาก การเลือกลงทุนในกองทุน หรือหุ้น โดยกระจายความเสี่ยงความลงทุนไปหลายประเทศนั้นเป็นคำแนะนำที่ได้เปรียบกว่าการถือเงินสดไว้เฉย ๆ
สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการด้านการเงินและนักเขียนที่จบการศึกษาปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กว่า
“เพิ่งเห็นโพสไวรัลหลายเพจว่า “เงินสดคือหนี้สิน” อยากบอกว่า “สินทรัพย์” ของเรายังไงก็คือของของเราวันยังค่ำ ไม่มีพันธะต้องเอาไปคืนใคร ดังนั้นจึงไม่มีวันกลายเป็น “หนี้” ได้เลยนะคะ
ก็เข้าใจความพยายามที่จะทำให้คนตระหนักในคุณค่าของเงินและการลงทุน แต่ก็มีวิธีเยอะแยะที่จะอธิบายว่า ทำไมมูลค่าเงินวันนี้จะลดลงเรื่อย ๆ ในอนาคต โดยไม่ต้องบิดเบือนหลักการพื้นฐานแต่อย่างใด
#สนับสนุนการให้ความรู้ทางการเงินอย่างถูกต้อง”
ดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์ – นักวิชาการการเงิน-การคลัง University of Southampton,
รศ.ดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์ นักวิชาการด้านเศรษฐกิจ การเงินและการคลังและภาษี มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม เทรนต์ ประเทศอังกฤษ ออกมาให้ความรู้กับเรื่องนี้ว่า
“เงินสดคือหนี้ เงินกู้คือรายได้” …. จริงหรือไม่ ถูกหรือผิด
ต่อไปนี้จะเป็นคำอธิบายจากคนที่อยู่กับเศรษฐศาสตร์มาปีนี้ ปีที่ 30 เป็นนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ที่ทำทั้ง macroeconomic model, policy and research มา 20 ปี และทำงานที่เกี่ยวกับสายการเงินการธนาคารมาตั้งแต่ปี 1998 ทั้งสอน วิจัย และทำงานตั้งแต่ฝึกงานยันบริหารทีม
• เวลาสอนวิชาการเงิน (finance)
เงินสด (cash) คือ เงิน (money) และเงินกู้ (loan) คือ หนี้ (debt)
• เวลาสอน balance sheet ให้กับคนเรียน corporate finance
เงินสด (cash) อยู่ฝั่งสินทรัพย์ (assets) ส่วนเงินที่ยืมเค้ามาใช้ดำเนินกิจการหรือลงทุน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปเงินกู้ (loan) หรือตราสารหนี้ (debenture) เช่น หุ้นกู้ จะอยู่ฝั่งหนี้สิน (liabilities) ค่ะ
• เวลาสอน balance sheet ให้กับคนเรียนสายธนาคาร banking
เงินสด (cash) อยู่ฝั่งสินทรัพย์ (assets) เงินที่ธนาคารให้กู้ (loans) ก็อยู่ฝั่งสินทรัพย์ (assets) ค่ะ ส่วนเงินฝาก (deposits) หรือก็คือเงินที่ธนาคารยืมมาจากผู้ฝากเงินอยู่ฝั่งหนี้สิน (liabilities)
• เวลาสอนหรือทำวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ (economics)
เงินสด (cash: currency and notes) รวมเหรียญและธนบัตร คือ ส่วนหนึ่งของอุปทานเงิน (money supply)
เงินกู้ (loan) คือ เงินที่ผู้มีความต้องการใช้เงินกู้ยืมจากผู้มีเงินส่วนเกิน โดยมีกำหนดจ่ายคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยที่ถือเป็นการตอบแทนการให้ใช้เงิน จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของอุปสงค์ต่อเงิน (money demand)
เงินสดจึงไม่ใช่หนี้ เพราะผู้ถือเงินสดอยู่ในฝั่ง money supply ที่จะได้ดอกเบี้ยหากนำไปให้ผู้อื่นใช้ เช่น เอาเงินไปฝาก ก็ได้ดอกเบี้ยจากธนาคารค่ะ ผู้ฝากเงินถือเป็นเจ้าหนี้
ในขณะที่ผู้ที่ก่อหนี้ เป็นลูกหนี้ที่มีภาระจ่ายคืนหนี้พร้อมดอกเบี้ย ส่วนจะเอาหนี้ที่ก่อไปทำอะไร สร้างรายได้เพิ่มหรือผลาญเล่น มันก็อยู่ที่คนก่อหนี้ค่ะ … แต่ยังไงซะ หนี้ (debt) ไม่มีทางเป็นรายได้ (income) เป็นได้แค่ตัวที่อาจสามารถนำไปใช้เพื่อทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเท่านั้น
• โลกออนไลน์ว่าอย่างไร ?
ทางด้านโลกออนไลน์มีการแสดงความเห็นกันอย่างดุเดือด อาทิ
“ผมเห็นด้วยครับ และผมก็คิดแบบง่ายๆ หลังจากผมเริ่มทำบัญชีในครัวเรือนอย่างจริงจัง พบว่า เงินสดก็คือเงินสด (เป็น +)
หนี้ก็คือหนี้ (เป็น -) แยกกันชัดเจนครับ ทุกวันนี้ผมลงแรงในฐานะมนุษย์เงินเดือน เพื่อให้มีเงินสดไว้บริหารจัดการเดือนต่อเดือน
ถ้าต้องการลงทุนผลตอบแทน ก็ต้องไปบริหารเอาเอง ว่าจะเอาเงินสดในมือ (ที่เป็น +) หรือ ต้องยอมเป็นหนี้ (ที่เป็น -) เพื่อให้มีผลตอบแทน แล้วก็เอาเงินไปใช้หนี้ด้วย ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ผมหยุดแล้วครับ”
“ในฐานะผู้ประกอบการ sme ผมมองว่าถือเงินสดคือโอกาสครับ”
“นักลงทุนหรือคนรวยจะรู้อยู่แล้ว ว่าเวลาไหนควรถือเงินสด และเวลาไหนควรลงทุน โดยที่ไม่ต้องมีใครมาคอยบอก ยกเว้นพวกที่ไม่ได้อยู่ในวงการ ผ่านมาเจอ ก็จะเฉยๆ มันก็เป็นเรื่องปกติ”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ประชาชาติ ธุรกิจ
https://www.prachachat.net/finance/news-1654015#m16783o8fiqnjmm7ha
1 บันทึก
1
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย