25 ก.ย. 2024 เวลา 00:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

Sell in May: กลยุทธ์การลงทุนในช่วงฤดูกาลที่นักลงทุนควรรู้

“Sell in May and Go Away” เป็นวลีที่นักลงทุนรู้จักกันดีในตลาดหุ้นสากล หมายถึงกลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นในเดือนพฤษภาคมและหลีกเลี่ยงการลงทุนในช่วงครึ่งปีที่เหลือ เนื่องจากเชื่อว่าตลาดหุ้นมักจะทำผลงานได้ไม่ดีในช่วงฤดูร้อนและจนถึงปลายปี แล้วจึงกลับมาลงทุนใหม่ในเดือนพฤศจิกายนหรือช่วงปลายปี
แม้ว่ากลยุทธ์นี้จะดูเหมือนเป็นคำแนะนำง่าย ๆ แต่มันมีที่มาจากการสังเกตการณ์ตลาดในอดีตที่ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของผลตอบแทนในช่วงเวลาต่าง ๆ ของปี ซึ่งมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมของนักลงทุนและปัจจัยฤดูกาลต่าง ๆ
ต้นกำเนิดของ "Sell in May"
วลีนี้เกิดจากสุภาษิตการลงทุนของอังกฤษที่ว่า "Sell in May and Go Away, and come back on St. Leger’s Day" โดยมีที่มาจากยุคที่ชนชั้นสูงในลอนดอนมักจะหยุดพักจากการลงทุนในช่วงฤดูร้อนเพื่อไปร่วมกิจกรรมทางสังคมและกีฬา จนกว่าจะกลับมาลงทุนอีกครั้งในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
ปัจจุบันนักลงทุนยังคงสังเกตเห็นแนวโน้มที่คล้ายกันในหลาย ๆ ตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งสถิติแสดงให้เห็นว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมมีแนวโน้มที่จะน้อยกว่าช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน
เหตุผลเบื้องหลังกลยุทธ์ Sell in May
กลยุทธ์ Sell in May มาจากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ซึ่งอาจทำให้การลงทุนในช่วงนี้มีความผันผวนและผลตอบแทนน้อยกว่า ปัจจัยเหล่านี้อาจรวมถึง:
1.กิจกรรมที่ลดลงในตลาดการเงินช่วงฤดูร้อน: ในช่วงฤดูร้อน นักลงทุนจำนวนมากอาจหยุดพักหรือใช้เวลากับครอบครัว ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดลดลง ความผันผวนและความไม่แน่นอนจึงอาจสูงขึ้นในช่วงเวลานี้
2.ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ: ในบางปี ความไม่แน่นอนในเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง เช่น การเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อาจเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี ทำให้เกิดความกังวลต่อตลาดการเงิน
ผลกระทบจากการประกาศผลประกอบการ: ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมเป็นช่วงเวลาที่บริษัทต่าง ๆ มักจะรายงานผลประกอบการรายไตรมาส ซึ่งอาจสร้างความผันผวนในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลประกอบการไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
3.พฤติกรรมของนักลงทุนสถาบัน: นักลงทุนสถาบันบางรายอาจปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงกลางปีหรือออกจากตลาดชั่วคราวเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นมีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น
การวิเคราะห์สถิติ
หลายการศึกษาพบว่าตลาดหุ้นมักจะมีผลตอบแทนที่สูงขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน และมีแนวโน้มผลตอบแทนที่ต่ำหรือแย่ลงในช่วงพฤษภาคมถึงตุลาคม สถิติจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่น S&P 500 แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างนี้อย่างชัดเจน แม้ว่าผลตอบแทนในช่วงพฤษภาคมถึงตุลาคมจะไม่เลวร้ายเสมอไป แต่ก็มักจะต่ำกว่าครึ่งปีแรก
ตัวอย่างเช่น ผลการวิจัยที่ดำเนินการในช่วงเวลาหลายปีแสดงให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมในตลาด S&P 500 ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน
ข้อควรระวังและการประยุกต์ใช้
ถึงแม้ว่ากลยุทธ์ Sell in May จะมีสถิติสนับสนุน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะได้ผลในทุกปีหรือทุกตลาด นักลงทุนที่พิจารณาใช้กลยุทธ์นี้ควรระมัดระวังในด้านต่อไปนี้:
1.ไม่ควรใช้เป็นกลยุทธ์การลงทุนเดียว: Sell in May เป็นเพียงแนวทางการลงทุนที่ขึ้นอยู่กับสถิติและแนวโน้มในอดีต ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ นักลงทุนควรใช้กลยุทธ์นี้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ เช่น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงิน
2.ความผันผวนที่ไม่แน่นอน: แม้ว่าตลาดอาจมีแนวโน้มที่ผันผวนในช่วงฤดูร้อน แต่ก็ยังมีโอกาสในการลงทุนในระยะสั้นที่อาจสร้างผลตอบแทนได้ นักลงทุนที่มีประสบการณ์ในการทำกำไรจากความผันผวนอาจเลือกที่จะไม่ถอนตัวจากตลาดในช่วงนี้
3.การลงทุนระยะยาว: สำหรับนักลงทุนที่มีแผนการลงทุนระยะยาว การขายหุ้นในเดือนพฤษภาคมและเข้ามาในตลาดใหม่ในช่วงปลายปีอาจไม่จำเป็น ความผันผวนในช่วงสั้น ๆ อาจไม่มีผลกระทบอย่างมากต่อผลตอบแทนในระยะยาว
4.การเลือกตลาด: กลยุทธ์ Sell in May อาจไม่ได้ใช้ได้กับทุกตลาด ตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้นในบางประเทศหรือภูมิภาคอาจไม่ได้แสดงแนวโน้มเดียวกับตลาดสหรัฐฯ การทำวิจัยเกี่ยวกับตลาดที่คุณสนใจจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น
สรุป
กลยุทธ์ “Sell in May” เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนที่มีพื้นฐานมาจากการสังเกตแนวโน้มทางสถิติและฤดูกาลของตลาดหุ้น แม้ว่าผลการศึกษาจะแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ชัดเจนในบางช่วงเวลา แต่มันไม่ใช่กลยุทธ์ที่เหมาะกับทุกคน นักลงทุนที่พิจารณาใช้กลยุทธ์นี้ควรพิจารณาถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความเสี่ยงเฉพาะของตลาด ปัจจัยทางเศรษฐกิจ และเป้าหมายการลงทุนระยะยาวของตนเอง
โฆษณา