29 ก.ย. 2024 เวลา 11:00 • ประวัติศาสตร์

ถ้ากล่าวถึงการแพทย์ และระบบสาธารณสุขของไทย พูดได้เต็มปากว่าไม่แพ้ชาติใดในโลก !

ปี 2566 กระทรวงสาธารณสุข เผยข้อมูลจาก "แอตแลนติก เคาน์ซิล" สถาบันคลังสมองในสหรัฐอเมริกาที่ตัดเกรดด้านสุขภาพ โดยไทยได้คะแนนสูงถึง 90.9 คะแนน สะท้อนถึงความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทยยังเป็นลำดับต้นๆ ของโลก
การแพทย์แผนปัจจุบัน และระบบการสาธารณสุขของไทย ที่วันนี้ถูกพัฒนาจนมีความเข้มแข็ง เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ มีจุดเริ่มต้นจากพระราชปณิธานอันแรงกล้าของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์ไทย ที่ทรงตั้งพระราชปณิธาน ทุ่มเทพระวรกาย และพระหฤทัยเพื่อพัฒนาการแพทย์ โดยยึดประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 69 ของในหลวงรัชกาลที่ 5 และองค์ที่ 7 ใน สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชชนก ของในหลวงรัชกาลที่ 8 และในหลวงรัชกาลที่ 9 และทรงเป็นต้นราชสกุล “มหิดล”
สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงสนพระทัยการแพทย์และการสาธารณสุข ตั้งแต่ครั้งยังดำรงตำแหน่งนายทหารแห่งกองทัพเรือสยาม ด้วยทรงเห็นว่าการแพทย์ และการสาธารณสุขของไทยยังล้าสมัยอยู่มาก แต่ขณะเดียวกันก็ทรงตระหนักว่าการสาธารณสุข มีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะได้ผลดี ต้องมีแพทย์ที่มีคุณภาพสูง และมีการศึกษาแพทย์ที่เหมาะสม
ในที่สุดจึงตกลงพระทัย ที่จะทรงช่วยปรับปรุงการแพทย์ของประเทศไทยอย่างจริงจัง โดยมีพระดำริว่าจะต้องมีความรู้ด้านการแพทย์เสียก่อน จึงตั้งมั่นเสด็จไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าศึกษาด้านการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในปี พ.ศ.2460
หลังจากทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตร์ เสด็จกลับมาเมืองไทยก็พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อทำนุบำรุงโรงเรียนราชแพทยาลัย โรงพยาบาลศิริราชให้ทันสมัยทัดเทียมกับอารยประเทศ และส่งแพทย์ พยาบาล ไปศึกษาต่อต่างประเทศในสาขาที่เกี่ยวกับการแพทย์ รวมถึงสร้างอาคารเรียนกับหอพักผู้ป่วยเพิ่มเติมขึ้นในบริเวณโรงพยาบาลศิริราช
ในห้วงเวลาเดียวกันนั้น พระองค์ยังทรงเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในการเจรจากับมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ให้มาช่วยเหลือการแพทย์ของไทย ซึ่งนับเป็นการวางรากฐานให้การแพทย์ของไทยเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมอารยประเทศจนถึงปัจจุบัน และในฐานะแพทย์ พระองค์มีความเอาพระทัยใส่ในการรักษาประชาชนอย่างมาก ด้วยทรงเปลี่ยนพระราชหฤทัยจากการทรงงานในโรงพยาบาลศิริราช ก่อนเสด็จไปทรงงานที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค จังหวัดเชียงใหม่ และด้วยความใส่พระทัยในการดูแลผู้ป่วยไข้ ทำให้ต่อมาชาวเมืองเชียงใหม่จึงขนานพระนามพระองค์ว่า “หมอเจ้าฟ้า”
ด้วยพระชนมายุได้เพียง 37 พรรษา ในวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 สมเด็จพระบรมราชชนก เสด็จสวรรคตด้วยพระโรคฝีบิดในพระยกนะ (ตับ) โดยมีโรคแทรกซ้อนคือพระปัปผาสะบวมน้ำและพระหทัยวาย
ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ทรงเกี่ยวข้องกับการแพทย์ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจไว้มากมาย ทรงอุทิศทั้งพระราชทรัพย์และพระวรกาย พระสติกำลังเพื่อการแพทย์และการสาธารณสุข รวมถึงพระราชทานทุนเพื่อการศึกษาและค้นคว้า และพระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อการก่อสร้างตึกต่าง ๆ และขยายพื้นที่โรงพยาบาลศิริราช จนกลายเป็นหัวใจและศูนย์กลางของโรงเรียนแพทย์มาถึงปัจจุบัน
ทำให้ในวันที่ 24 กันยายนของทุกปี บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนคนไทย ถือกำหนดให้เป็น "วันมหิดล" เพื่อน้อมถวายสักการะ และน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ "พระบิดาแห่งการแพทย์ไทย"
จนถึงวันนี้ ที่ลานหน้าตึกศิริราช ๑๐๐ ปี โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งมีพระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ประทับอยู่ จึงเปรียบเป็นศูนย์รวมจิตใจของบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนไทย ที่ไม่เพียงแค่ได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านเท่านั้น แต่ยังทำให้น้อมรำลึกถึงพระราชดำรัสสำคัญ ที่พระบิดาแห่งการแพทย์ไทยให้ไว้ คือ
“ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และ เกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งวิชาชีพไว้ให้บริสุทธิ์”
ซึ่งเปรียบเป็นหลักยึด ให้บุคลากรทางการแพทย์ และการสาธารณสุขของไทย ในการทำหน้าที่เพื่อมวลมนุษยชาติ ทำให้ระบบการแพทย์และการสาธารณสุขของไทยเป็นหนึ่งกลไกสำคัญในการสร้างชาติ และเป็นต้นแบบ เป็นที่ยอมรับ และเป็นที่เชื่อถือของคนทั้งโลก
โฆษณา