Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
มินิซีรี่ย์
•
ติดตาม
30 ก.ย. 2024 เวลา 09:40 • นิยาย เรื่องสั้น
3.1 “กะเทย” ความหมายตามประวัติศาสตร์ในสังคมไทย
“กะเทย” เป็นค าไทยที่ได้บ่งบอกถึงอัตลักษณ์ทางเพศที่มิใช่ชายหรือหญิง อันเป็นสิ่งที่
สังคมไทยได้ใช้กันมาอย่างยาวนานจวบจนถึงปัจจุบัน โดยมีหลักฐานปรากฏครั้งแรกในพะไอยการ
ลักษณะพยานของกฎหมายตราสามดวง ซึ่งได้กล่าวถึงบุคคล 33 จ าพวก ที่ไม่สามารถให้การเป็น
พยานได้ (กรมศิลปากร, 2521) พร้อมกันนี้ในกฎหมายตราสามดวงยังได้แสดงให้เห็นถึงว ่าเหตุ
ของการเกิดเป็นกะเทย อันเป็นผลจากกรรมที ่ได้กระท าเมื่อครั้งอดีตชาติ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึง
ความเชื ่อเรื ่องกฎแห ่งกรรมในพระพุทธศาสนาน ามาเป็นตัวตั้งของการเกิดเพศต ่าง ๆ ในสังคม
และยังเป็นการท าให้บุคคลในสังคมได้ส านึกในการเกิดมาเป็นเพศนั้น ๆ ว ่าเป็นผลกรรมของตน
ที่ได้กระท ามาแต่อดีตชาติ ดังปรากฏถ้อยค าดังนี้
ชายใดสมเสพกาเมสุมิจฉา ล่วงประเวณีกิริยาผู้อื่นนั้นย่อมเกิดกามก าหนัศพร้อมเตม
บริบูรรณ จึ่งส าเรจ์เปนคุรุก าอุกกฤษโทษ ครั้นดับสังขารอะนาคต ไปตกอยู่ในโลหะกุมภี
นะรกหกหมื่นปี แล้วขึ้นมาทนทุกขเวทนาอยู่ในอุสุทนะรกสิมพลีไม้งิ้ว หนามยาวสิบหก
องคุลี นายนิริยบาลรุมกันทิ่มแทงแร้งการุมกันจิก ครั้นสิ้นก ามขึ้นมาเปนหญิงห้าร้อยชาติ
กะเทยห้าร้อยชาติ เปนสัตวเขาตอนเสียห้าร้อยชาติ” (กรมศิลปากร, 2521)
ในหนังสือ “พะจะนะพาสาไท” ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื ่อ พ.ศ. 2397 ยังได้ปรากฎค าว่า
“กเทย” โดยปาลเลอกัวร์ได้ให้ความหมายเป็นภาษาอังกฤษว่า “hermaphrodite”(กรมศิลปากร,
หน้า 51
2521) อีกทั้งในปี พ.ศ. 2398 ก็ได้มีพจนาน ุกรมภาษาสยาม (Dictionary of the Siamese
Language) ของ Rev. J. Caswell ที่ได้ให้ความหมายของกะเทย คือ เป็นบุคคลที่มีประเทษในที่ลับ
เป็นหญิงก็ใช ่ เป็นชายก็ใช ่ และในปี พ.ศ. 2416 ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ ของหมอบลัดเล
ได้ให้ความหมายของค าว่า “กะเทย” ว่าเป็น คนไม่เปนเภษชาย, ไม่เปนเภษหญิง, มีแต่ทางปัศสาวะ
(กรมศิลปากร, 2521)
จากเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าค าว่า “กะเทย” นั้น อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน
จากหลักฐานที่ปรากฏก็มีมาตั้งแต่ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
โดยการให้ความหมายของกะเทยนั้น ทั้งได้ให้มุ่งไปที่เป็นความก ากวมในอวัยวะเพศ หรือผู้ที่มีอวัยวะ
เพศไม ่เป็นชายและหญิง เนื ่องด้วยเป็นการให้ค าจ ากัดความด้วยชาวต ่างชาติ ซึ ่งได้รับอิทธิพล
ในต านานเทพปกรณัมกรีกเรื่อง hermaphroditos (สุด แสงวิเชียร, 2504) อันเป็นที่มาของศัพท์
หลาย ๆ ศัพท์ในภาษาอังกฤษอยู่แล้ว จึงท าให้การนิยามความหมายของค าไม่แตกต่างกัน
ในแบบเรียนภาษาบาลีนั้น ได้ปรากฏว ่ามีค าว ่า “ลิงค์” ซึ ่งเป็นการแบ ่งเพศของ
นามศัพท์ โดยแบ่งเป็น 3 ลิงค์ คือ ปุงลิงค์เพศชาย, อิตถีลิงค์ เพศหญิง และนปุงสกลิงค์ มิใช่เพศชาย
มิใช่เพศหญิง โดยวิธีการจัดแบ่งลิงค์นั้น มีอยู่ 2 ประเภทคือ จัดตามสมมติของภาษา และการจัดตาม
การก าเนิด (พระเทพปริยัติโมลี, 2560) ซึ่งก็ตรงกันกับคัมภีร์ปฐมมูลมูลี ซึ่งเป็นต านานแห่งการสร้าง
โลกของล้านนา โดยได้พยายามอธิบายตั้งแต ่การก ่อก าเนิดโลก มาจนถึงการก าเนิดของมนุษย์ว่า
มีอิตถีเกิดมาจากธาตุดิน ชื่อว่านางอิตถังไคยะสังกะสี และมีปุริสะเกิดมาจากธาตุไฟ ชื่อว่าปู่สังไคยะ
สังกะสี เมื่อทั้งคู่ได้สมสู่กัน จึงท าให้เกิดมนุษย์ 3 คนแรก คือ ผู้ชาย ผู้หญิง และนปุงสกะ (อนาโตล
โรเจอร์ เป็ลติเยร์, 2534) โดยนปุงสกะนี้เป็นผู้ที ่รวมเอาความเป็นหญิงและความเป็นชายไว้ในตัว
โดยมีอยู่ ๒ ลักษณะคือ มีร่างเป็นหญิงแต่จิตใจเป็นชาย และมีร่างเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง
ด้วยความหมายของนปุงสกะ ให้หมายถึงผู้ที ่ไม่ได้ปรากฎว ่าเป็นชาย หรือเป็นหญิง
อันเทียบเคียงได้กับกะเทย จากเบื้องต้นท าให้ได้ทราบถึงการยอมรับถึงการมีอยู่ของกะเทย อย่างไร
ก็ตามทั้งแบบเรียนภาษาบาลีและต านานปฐมมูลมูลีนั้น ได้เผยให้เห็นถึงอิทธิพลของพระพุทธศาสนาที่
ได้เข้ามาควบคุมระบบความคิดของประชาชนที ่อยู ่ภูมิภาคนี้ เนื ่องด้วยแบบเรียนภาษาบาลีนี้
อันเป็นภาษาหลักที่ใช้ศึกษาในเรื่องราวพระพุทธศาสนาอันครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่เอเชียใต้มาจนถึง
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนต านานปฐมมูลมูลีนั้น เป็นต านานที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกันกับการก าเนิด
โลกในอัคคัญญะสูตรในพระพุทธศาสนา ซึ่งท าให้เห็นว่าสังคมไทยนั้น ได้รับรู้เกี่ยวกับความเป็นเพศ
ที ่นอกเหนือจากชายหญิงมาตั้งแต ่อดีต จึงเป็นสิ ่งที ่มิอาจจะปฏิเสธได้ถึงการรับรู้และการยอมรับ
ของกะเทยทั้งในพระพุทธศาสนาและในสังคม
ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายของกะเทย หมายถึง
หน้า 52
“คนที่มีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง คนที่มีจิตใจและกิริยาอาการตรงข้ามเพศของตน และผลไม้ที่มี
เมล็ดลีบ”(ราชบัณฑิตยสถาน, 2542) โดยมีการเทียบภาษาอะหม* ได้ใช้ค าว่า “เทย” และส าหรับ
ภาษาเขมรนั้น ก็ได้ใช้ค าว ่า “เขฺทิย” อ ่านว ่า กะเตย อันมีความหมายเฉกเช ่นเดียวกันกับกะเทย
(กาญจนา นาคสกุล, 2502)
เป็นที่น่าสังเกตได้ว่าค าว่า “กะเทย” นอกจากจะใช้กับคน ก็ยังได้ใช้ไปผลไม้อีกด้วย
ประกอบกับการแสดงให้เห็นถึงค าพ้องเสียงที่มีความหมายอย่างเดียวกัน อาจจะเนื่องด้วยมุมมอง
และระบบวิธีคิดเรื่องเพศแบบดั้งเดิมในภูมิภาคนี้ ที่เน้นเรื่องของการสืบทอดเผ่าพันธุ์ หากสิ่งไหน
ไม่สามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้ตามปกติ ก็จะถือได้ว่าเป็นกะเทยก็เป็นได้
จากเบื้องต้นได้แสดงให้เห็นว่า ค าว ่า “กะเทย” เป็นค าที ่ถูกน ามาใช้เรียกสิ ่งที ่มิได้
ปรากฏเพศ มีความก ากวมทางเพศ หรือลักษณะที่ไม่สามารถระบุเพศใดเพศหนึ่งได้ ซึ่งแตกต่างไปจาก
การรับรู้ในสังคมปัจจุบัน ที่ใช้ในการนิยามชายผู้ที่มีอัตลักษณ์ทางเพศนอกเหนือจากความเป็นชาย
ที่สังคมก าหนดแต่เพียงเท่านั้น อีกทั้งในพระพุทธศาสนาก็ยังได้ใช้ค าว่า “บัณเฑาะก์” มาผนวกรวม
ด้วย อันจะเป็นสาเหตุที่จะท าให้คุณสมบัติของการบวชของกะเทยนั้นได้ตกไป กลับกลายเป็นบุคคล
ที่ห้ามอุปสมบทโดยเด็ดขาด (มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2539) ดังจะได้กล่าวถึง
ในล าดับถัดไป
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย