Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วินทร์ เลียววาริณ
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
3 ต.ค. 2024 เวลา 00:00 • หนังสือ
พุทธทาสภิกขุอธิบายเรื่อง "ภพ" กับ "ชาติ"
เขียนถึงปฏิจจสมุปบาทและ 'ภพ' กับ 'ชาติ' ทีไร มีคนงงทุกที เพราะมันไม่เหมือนกับที่เข้าใจมาตลอดชีวิต
ขอยกคำอธิบายของท่านพุทธทาสภิกขุมาให้อ่านดีกว่า (ย่อหน้าใหม่ให้อ่านง่ายขึ้น)
คำถาม : เรียนถามท่านอาจารย์สักนิดหนึ่ง คือมีผู้ทรงพระไตรปิฎกคนหนึ่งเขาถามว่า คำว่า 'ชาติ' นี้ ที่ท่านอาจารย์ตีความว่า เป็นความเกิดขึ้นครั้งหนึ่งของความสำคัญมั่นหมายว่า 'เรา' 'ของเรา' เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เรียกว่า 'ชาติ' เขาถามว่า ท่านอาจารย์ตีความเอาเอง หรือว่าข้อนี้จะถูกต้องหรือเปล่า? ขอให้ท่านช่วยขยายความ
พุทธทาสภิกขุตอบ : ทำไมจึงไม่ถามให้ชัดว่า อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าไหนเล่า? ผมจะได้บอกว่า มันมีอยู่ทุกหน้า และทุกบรรทัดเลย เหตุผลที่แสดงหรือหลักฐานที่แสดงให้เห็นอย่างนี้นั้น ก็คือพระไตรปิฎกนั่นแหละ!
ถ้าเราอ่านเป็น เราจะพบว่า มันแสดงอยู่ทุกบรรทัด และทุกหน้า ทุกเล่ม คือแสดงถึงข้อที่ว่า “ความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวทุกข์, ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็ไม่เป็นตัวทุกข์, แล้วความเกิดดับ-เกิดดับ ก็มีมากถึงกับว่า เกิดดับแห่งจิตนั้น ขณะจิตหนึ่งก็มีเกิด, ขณะจิตหนึ่งก็มีตั้งอยู่, ขณะจิตหนึ่งก็ดับไป
อย่างนี้ก็เรียกว่า “เกิด” เหมือนกัน แปลว่า มันมีการเกิดอยู่อย่างถี่ยิบ แต่เราไม่ได้เอาเกิดชนิดนี้ เอาเกิดชนิดที่ 'เป็นที่ตั้งของอุปทาน' ยึดมั่นว่า ตัวเรา ว่าของเรา ซึ่งเป็นความหมายที่ทำให้เกิดความทุกข์
ต้องไปเข้าใจให้ดี เรื่อง 'ปฏิจจสมุปบาท' ที่ในปฏิจจสมุปบาทนั้น ถ้ารอบหนึ่งจะมีคำว่า 'ชาติ' อยู่ด้วยชาติหนึ่งเสมอ
2
ถ้าเขาเข้าใจเรื่องนี้ เขาจะเห็นได้เองว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ มีได้ในหนึ่งรอบ ในขณะหนึ่งรอบ ในขณะหนึ่ง ในเรื่องหนึ่ง ในกรณีหนึ่งๆ ซึ่งอาจจะวินาทีหนึ่งก็ได้ สองวินาทีก็ได้
1
ในรอบของปฏิจจสมุปบาทนั้น “ทุกข์ขึ้นมาวาบหนึ่ง” แล้วก็เรียกว่าต้องมี 'ชาติ' หนึ่งอยู่ในนั้นเสมอไป ตามนัยยะแห่งปฏิจจสมุปบาท
1
ฉะนั้น ขอให้ไปศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท แล้วจะพบว่า มันต้องเป็น 'ชาติ' ชนิดนี้ แล้วปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นได้เสมอไป วันหนึ่งก็หลายๆ รอบ
แต่ถ้าตีความหมายปฏิจจสมุปบาท รอบหนึ่งรอบเดียวเท่านั้น ตั้งต้นอยู่ชาติที่แล้ว - มาตรงกลางอยู่ชาติปัจจุบันนี้ - ตอนปลายอยู่ชาติข้างหน้าโน้น อย่างนี้ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง
ผมถือว่านั่นเป็นความเข้าใจแบบหนึ่ง ซึ่งผมถือสำหรับผมเองว่า ไม่ถูกต้องตามพุทธประสงค์ ที่จะเอาปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่งแบ่งเป็น ๓ ส่วน : ส่วนหนึ่งอยู่ชาติที่แล้วมา - ส่วนตรงกลางอยู่ชาตินี้ แล้วส่วนหนึ่งอยู่ชาติหน้า ชาติที่ยังจะไปข้างหน้า จะตายแล้วเข้าโลงไป อย่างนี้พูดกันไม่รู้เรื่อง
1
'ชาติ' อย่างที่กล่าวมานั้น เขาก็มีพูดกันมาก ก็เช่นเดียวกับที่ว่า กว่าจะนิพพานก็เข้าโลงแล้วเข้าโลงเล่า, เข้าโลงแล้วเข้าโลงเล่า ก็ยกไว้ให้เขาแบบหนึ่ง เราไม่เอาอย่างนั้น เราจะเอานิพพานให้ทันแก่เวลาในชาตินี้
ฉะนั้นเราจะต้องตีความหมายชนิดที่เรียกว่าปฏิบัติได้ คือเป็น apply หรือว่าเป็น practical นั่นแหละ จึงจะไม่เสียทีที่ว่าได้รับพระพุทธศาสนามาสำหรับบำบัดกำจัดความทุกข์
เรื่องนี้ก็เคยพูดมาแล้วหลายครั้งว่า คำแต่ละคำมีความหมายเป็นสอง คืออย่างธรรมดาสามัญกับอย่างลึกซึ้ง ที่เรียกกันว่า ปรมัตถ์ แต่ถ้าเรียกให้ถูกต้องเรียกว่า ทิฏฐธัมมิกโวหาร
พูดอย่างชาวบ้านพูด คำว่า 'ชาติ' ก็คือ เกิดมาจากท้องแม่จนกว่าจะเข้าโลง
แต่ถ้าพูดอย่างสัมปรายิกโวหารที่ผู้รู้ธรรมะพูด คำว่าชาติหนึ่งก็หมายถึงเกิดขึ้นแห่ง 'ตัวกู' ครั้งหนึ่ง ซึ่งจะปรับกันได้ เข้ากันได้ กับคำสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาท
การเกิดมีขึ้นเมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง เป็นต้น แล้วอวิชชาเข้ามาครอบงำ จะต้องมี 'ชาติ' หนึ่งเสมอ เดี๋ยวตา เดี๋ยวหู เดี๋ยวจมูก ฯ วันหนึ่งจึงมีหลาย 'ชาติ'
ถ้าผมจะว่าเอาเอง มันจะมีประโยชน์อะไร มันก็ใช้เป็นประโยชน์ไม่ได้ แล้วก็ยิ่งตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส จึงถืออย่างนี้
จากบรรยายธรรมเรื่อง จุดหมายปลายทางของคนคืออะไร
๘ เมษายน ๒๕๑๘
ตีพิมพ์ในหนังสือธรรมโฆษณ์ เล่ม โมกขธรรมประยุกต์ พิมพ์ครั้งที่ ๒ หน้า ๑๖๙-๑๗๐
6 บันทึก
53
13
6
53
13
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย