5 ต.ค. 2024 เวลา 11:00

ที่ดิน

“ที่ดิน” เป็นทรัพยากรที่มีทั้งคุณค่าและมูลค่า ทั้งยังเป็นต้นทุนของการทำงานทุก ๆ อย่าง และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนทุกคนบนผืนแผ่นดินเดียวกัน ดังนั้นการจัดสรร และถือครองที่ดินจึงเป็นเรื่องสำคัญ มีความหมาย และเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะ ใน “ที่ดินของรัฐ”
.
ด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง ทำให้ที่ผ่านมา ปัญหาเรื่อง “ที่ดินทับซ้อน” และการบุกรุก ครอบครองที่ดินของรัฐ ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างประชาชน กับหน่วยงานรัฐ หรือ ระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง กลายเป็นปัญหาระดับประเทศที่มีความซับซ้อน และแก้ไม่จบ ยกตัวอย่างเช่น ในหลายพื้นที่ที่มีการออกเอกสารสิทธิที่ดินทำกินให้กับชาวบ้าน แต่กลับกลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับเขตพื้นที่ป่า กลายเป็นปัญหาคดีความระหว่างประชาชนกับหน่วยงานรัฐ ซึ่งส่งผลผลกระทบในหลายมิติ ทั้งกับชีวิตผู้คน ธรรมชาติ และเศรษฐกิจ
.
หนึ่งปมปัญหาใหญ่ ของความขัดแย้งเรื่องการพิสูจน์สิทธิในที่ดิน เกิดจากการทับซ้อนกันของการกำหนดแนวเขตที่ดินของรัฐ ที่มีถึง 9 หน่วยงานที่ดูแล ขณะเดียวกัน ด้วยความขาดแคลนช่างแผนที่และภูมิสารสนเทศ รวมถึงแต่ละหน่วยงาน ก็มีกฎหมายของตัวเอง ทำให้การดำเนินงานต่าง ๆ ยิ่งยาก ล่าช้าและเป็นอุปสรรค
.
ประเทศไทยมีพื้นที่ 320 ล้านไร่ แต่การทับซ้อนของ 9 หน่วยงานที่ดูแล รวมตัวเลขกันแล้วมีถึง 465 ล้านไร่ มากกว่าพื้นที่จริงของประเทศถึง 1.7 เท่า เหตุก็เพราะมีกฎหมายกำหนดแนวเขตที่ดินของรัฐหลายฉบับ และใช้มาตราส่วนพื้นที่แนบท้ายต่างกัน ทำให้มีความทับซ้อน หรือมีช่องว่างต่อกันไม่สนิท
.
แต่เมื่อรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหารประเทศ ได้มองเห็นต้นทางของปัญหา และพยายามแก้ไข ด้วยการ “ปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ” เพื่อใช้แนวเขตที่ดินของรัฐแบบดิจิทัล มาตราส่วน 1 ต่อ 4000 หรือที่เรียกว่า “ONE MAP” เพื่อให้หน่วยงานของรัฐเข้ามาร่วมเข้ามาดำเนินการปรับปรุงที่ดินของรัฐให้ใช้แนวเขตเดียวกัน
.
เริ่มจากในปี 2558 ที่รัฐบาลตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ให้มีการบูรณาการกันเพื่อปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐ ให้มีการประสานการทำงานของหน่วยงานรัฐในทุกระดับให้ใช้เส้นแนวเขตเดียวกัน เป็น “ONE MAP” มาตราส่วน 1: 4000 ให้ทุกหน่วยราชการใช้ และยึดถือเป็นแนวทางเดียวกัน เป็น “หนึ่งพื้นที่ หนึ่งหน่วยงาน”
.
จากนั้น ได้มีการดำเนินการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 7 กลุ่ม กลุ่มละ 11 จังหวัด เพื่อจัดทำแนวเขตใหม่ในอัตราส่วน 1:4000 รูปแบบของ ONE MAP โดยเริ่มทำจากเขตพื้นที่ที่ปัญหาความทับซ้อนในแนวเขตพื้นที่ของรัฐน้อยก่อน เมื่อได้แนวเขตที่ชัดเจนแล้ว ก็จะนำกลับมาให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
.
ประโยชน์ที่เกิดจาก ONE MAP มีหลายด้าน ทั้งช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน และที่อยู่อาศัยของประชาชน ลดปัญหาการทับซ้อนกันของที่ดินของรัฐแต่ละ ประเทศลงได้
.
และการยึดกรอบแนวคิด "หนึ่งพื้นที่ หนึ่งหน่วยงานรับผิดชอบ" (One Land One Law) มีผลดี ทำให้การบริหารจัดการที่ดินของรัฐมีเอกภาพ มีหน่วยงานรับผิดชอบชัดเจน การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งทำให้ประชาชนทราบแนวเขตที่ดินของรัฐ และหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างชัดเจนขึ้น เป็นการลดปัญหาข้อพิพาท หรือความขัดแย้งเรื่องแนวเขตที่ดินระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชน ทำให้มีคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมที่ดีขึ้น
.
ขณะเดียวกัน สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้ว่า การดำเนินโครงการ One Map จะไม่มีการลิดรอนสิทธิ หรือกระทบสิทธิของประชาชนที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย และยึดหลักการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2565 เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนจากการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินฯ One Map
เช่นหากประชาชนได้รับผลกระทบจากการดำเนินการหน่วยงานที่มีที่ดินของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องบูรณาการแก้ไขปัญหาให้เป็นที่ยุติโดยเร็ว รวมถึงการเปิดให้ประชาชนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินที่มีข้อโต้แย้ง สามารถพิจารณาดำเนินพิสูจน์สิทธิตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ด้วย
.
#UTNToday
#UTNTodayอาสาสื่อสาร
#อาสาสื่อสาร
#สื่อออนไลน์ที่อาสามาสื่อสารด้วยใจ
#DNAลุงตู่
#ประยุทธ์จันทร์โอชา
#ที่ดิน
โฆษณา