23 ส.ค. เวลา 04:00 • หนังสือ

แกะไฟฟ้าในความฝันของแอนดรอยด์...

เอ่ยถึงแอนดรอยด์กับแกะไฟฟ้าแบบนี้คงไม่มีเรื่องไหนแล้วล่ะครับนอกจากเรื่องนี้
Do Android Dream of Electric Sheep?
นิยายเรื่องนี้ประพันธ์โดย Philip K. Dick มีแปลเป็นไทยอยู่หลายสำนวนและหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็นตามล่ามนุษย์หุ่นยนต์หรือหุ่นสังหารที่แปลโดยคุณ ฤดีดวง โดย สนพ.ซีเอ็ด หรือว่าจะล่าสุดในชื่อ หรือสักวันแอนดรอยด์จะฝันถึงแกะไฟฟ้า แปลโดยคุณ ก้อง พาหุรักษ์ โดย สนพ.บทจร อันเป็นการแปลล่าสุดที่ผมมีอยู่ในมือ
ฉบับแรกๆที่แปลเคยมีเก็บไว้ครับแต่เพื่อนยืมไปแล้วก็หายจ้อย เสียดายจริง
ก่อนจะเข้าเนื้อหาขอกางประวัติคร่าวๆของPhilip K. Dick(PKD) กันก่อนครับ
PKDเป็นนักเขียนนิยายไซไฟชาวอเมริกัน เขียนนิยายอยู่44เรื่อง เรื่องสั้น121เรื่อง ส่วนใหญ่ลงตีพิมพ์ในนิตยสารScience Fiction Magazine งานเขียนมีหลากหลาย เสียชีวิตเมื่อ1982
cr. Imdb PKDครับ
นิยายหลายเรื่องของPKDได้รับความนิยมมาก นอกจากมีแปลในหลายภาษาแล้วยังมีการดัดแปลงไปเป็นภาพยนตร์อยู่หลายเรื่องอย่างPaycheck(เบน แอฟเฟล็ค) Scanner Darkly(เรื่องนี้คีอานู รีฟกับRDJ) Minority Report(ทอม ครูซ)แล้วก็Blade Runner(แฮริสัน ฟอร์ด)
เดี๋ยวก่อน ไม่เห็นมีชื่อเรื่องไอ้ที่ว่าเลยนิ
อ๋อ Blade Runnerมันดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องที่ผมจั่วหัวไว้แต่แรกครับ มีแต่ชื่อเรื่องที่เปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าเดิม
ส่วนชื่อBlade Runnerนั้น ตัวผู้กำกับคือRidkey Scott แกไปได้ชื่อมาจากนิยายเรื่องThe Blade RunnerหรือThe Bladerunner ของ Alan E. Nourseครับ เป็นนิยายเกี่ยวกับการลักลอบผ่าตัดค้าอวัยวะผิดกฏหมายนี่ล่ะ แกชอบใจชื่อเลยซื้อลิขสิทธิ์มาใช้เป็นชื่อเรื่องแทนชื่อเดิมซึ่งผมก็ว่ามันเจ๋งมากจริงๆ
ตัวนิยายนี้ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในปี1982 มาในแนวดิสโทเปียนไซไฟ ปัจจุบันมักเรียกแนวนี้เป็นไซเบอร์พังค์มากกว่า โดยภาพยนตร์แนวนี้จะเน้นไปที่ความไฮเทคแต่สภาพสิ่งแวดล้อมหรือสังคมกลับเสื่อมโทรมลงไปมากและค่อนไปทางสิ้นหวัง
ตัวหนังมีความเป็นไซไฟกับฟิล์มนัวร์มากกว่าที่จะเป็นแอคชั่นธริลเลอร์ทั้งที่ตอนออกทีเซอร์ตัวอย่างนั้นแอคชั่นมาชัวร์ ผลคืองานนี้หนังเลยแป้กไปตามระเบียบเพราะคนคาดหวังไว้เยอะกับความเป็นแอคชั่น ถึงขั้นล้มเหลวในเรื่องรายได้บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศกันเลยล่ะ น่าเสียดายจริง
แต่พอนานวันเข้า ตัวหนังกลับได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นคัลท์คลาสสิค อีกทั้งผู้กำกับเองก็ตัดต่อหนังเรื่องนี้ออกมาอีกหลายเวอร์ชั่นให้ตามเก็บและตีความกันใหม่ ผมยังมีเก็บไว้เลยครับ มีของแถมมาให้ด้วยเป็นม้ายูนิคอร์นแบบออริงามิ สวยดี
ส่วนตัวเท่าที่เคยดู ชอบมาก โดยเฉพาะฉากต่างๆในเรื่อง งานโมเดลกับวิชวลเอฟเฟ็คเข้าขั้นเป็นเลิศ ไม่มีการใช้ซีจีแต่ประการใดนะครับ มีแต่ฉากทำมืออย่างเดียว
งานออกแบบในเรื่องเป็นฝีมือของSyd Meadครับ มีกลิ่นอายความเป็นเรโทรบวกอนาคตสูง งานของแกนี่ทางญี่ปุ่นชอบมากเพราะดีไซน์คล้ายกับเมืองในญี่ปุ่นจริงๆ แต่จำได้ว่าต้นแบบในเรื่องจะเป็นลูกผสมญี่ปุ่น-ฮ่องกงมากกว่า
อันนี้ผมแถมให้ครับ
ส่วนงานเพลงประกอบได้ยอดฝีมืออย่างVangelisมาทำให้ ชอบมากอีกเช่นเคย เพลงเป็นสไตล์Synth-Rockที่เส้นสายสวยงามคล้ายออเคสตร้ากลายๆ ฟังแล้วมันมาก โดยเฉพาะเพลงEnd Creditsนี่ผมล่ะช้อบ ชอบ
ตัวหนังได้รับการดัดแปลงเป็นเกมPCเมื่อปี1997ครับ เคยเล่น สนุกดี แต่เล่นจบไม่ครบทุกเอนดิ้งนะ เสียดายมาก หาตอนจบอีกแบบไม่เจอจริงๆ
แม้ในยุคนี้จะมีการเข็นภาคต่อออกมาแล้วในนามBlade Runner 2049 ซึ่งยังคงได้รับความนิยมในหมู่คนที่ชื่นชอบเรื่องนี้อยู่ แต่ก็เห็นว่ามันเงียบๆเหมือนกัน ไม่ได้ทำเงินเป็นกอบเป็นกำอะไร
แต่งานต่อไปของDenis Villeneuveผู้กำกับBlade Runner 2049นี่สิกลับเจ๋งมาก ได้ทั้งเงินทั้งกล่อง
Duneที่มาสร้างใหม่ล่าสุดไงล่ะครับ
มันเจ๋งจริงๆอ่ะ
เนื้อหาในนิยายจะพูดถึงเรื่องในอนาคตที่สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงถึงขั้นสาหัสจากสงคราม สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมไปมากแล้ว สัตว์ต่างๆแทบจะสูญพันธุ์ไปหมด
ส่วนมนุษย์นั้นมีทั้งที่ยังอาศัยอยู่บนโลกและบางส่วนที่อพยพไปอยู่นิคมบนดาวอังคารเพื่อหนีจากมลพิษหลังสงคราม
ในยุคนั้นมนุษย์ได้สร้างแอนดรอยด์ขึ้นมาเป็นผู้ใข้แรงงานแทน รวมทั้งยังมีการสร้างหุ่นยนต์สัตว์ต่างๆที่มีความซับซ้อนสูงมากเพื่อใช้แทนสัตว์จริงๆที่สูญพันธุ์หรือตายไปเนื่องจากโรคภัยหรืออายุขัยอีกด้วย
ปัญหามาเริ่มเมื่อมนุษย์และแอนดรอยด์เกิดความขัดแย้ง แอนดรอยด์บางส่วนถูกกดขี่จากมนุษย์จนถึงขั้นทำร้ายมนุษย์ที่ดาวอังคารและหนีมายังโลก ทางมนุษย์จึงออกตามล่าแอนดรอยด์เหล่านี้เพื่อทำการ'ปลดระวาง'พวกมัน
หน้าที่นี้เป็นของตำรวจ โดยมีหน่วยงานย่อยที่มีนักล่าค่าหัว(bounty hunter)หรือBlade Runnerทำหน้าที่ปลดระวางแอนดรอยด์
ทางตำรวจได้รับรายงานว่ามีแอนดรอยด์รุ่นล่าสุด Nexus-6รวม8ตัวหลบหนีมายังโลก ถูกปลดระวางไปได้2ตัว 5ตัวหลบหนีไปได้ ถูกจับได้1ตัวแต่กลับทำร้ายนักล่าค่าหัวแล้วหลบหนีไป ทางตำรวจจึงได้จัดให้ริค เดคคาร์ดที่เป็นนักล่าค่าหัวฝีมือดีอีกคนหนึ่งมาทำหน้าที่แทน
ก่อนเริ่มงาน ริค เดคคาร์ดถูกตามไปพบกับบริษัทผู้สร้างแอนดรอยด์รุ่นนี้เพื่อทดสอบว่าชุดตรวจสอบแอนดรอยด์ที่ใช้กันอยู่ในขณะนั้นสามารถตรวจจับแอนดรอยด์รุ่นนี้ได้หรือไม่ ริคได้พบกับเรเชล โรเซนและทำการทดสอบเธอ ตอนแรกเกือบไม่ได้ แต่สุดท้ายริคก็จับได้ว่าเรเชลคือแอนดรอยด์
เมื่อทุกอย่างพร้อม ริคจึงเริ่มแกะรอยตามแอนดรอยด์ที่เหลือเพื่อปลดระวางมันแลกค่าหัว และเขามีเวลาไม่เกิน24ชั่วโมงในการจัดการก่อนที่แอนดรอยด์ที่เหลือจะหนีไปได้สำเร็จ
ส่วนริคจะจัดการแอนดรอยด์ทั้งหมดได้หรือไม่นั้น กรุณาอ่านนะครับถ้าทำได้ สนุกดี
ในภาพรวมของนิยายจะพบว่ามันคือนิยายที่วิพากษ์สังคมมากกว่า พร้อมไปกับการตั้งคำถามเรื่องความเป็นมนุษย์กับความเป็นแอนดรอยด์เป็นแกนหลัก
ตามท้องเรื่องแอนดรอยด์ถูกสร้างขึ้นมาใช้เป็นแรงงานแทนมนุษย์บนดาวอังคารแต่เกิดการกดขี่แรงงานแอนดรอยด์จนกระทั่งเกิดเหตุแอนดรอยด์รุ่นใหม่ทำร้ายมนุษย์และหลบหนีมายังโลกเพื่อหาทางยืดอายุขัยของตัวเองเพราะแอนดรอยด์ถูกสร้างให้มีอายุใช้งานได้ไม่กี่ปีเท่านั้น
เมื่อมองในมุมนี้ มนุษย์ไม่ได้มองแอนดรอยด์เป็นผู้ช่วยในการทำงาน หากแต่มองว่าเป็นเครื่องมือที่ให้ความสะดวกสบายและลดทอนคุณค่าของแอนดรอยด์ไปจนหมดสิ้น ทั้งที่แอนดรอยด์ถูกสร้างมาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและเป็นเสมือนผู้ช่วยของมนุษย์ แถมในอีกหลายกรณี แอนดรอยด์ที่มีเพศสภาพเป็นหญิงก็ถูกนำมาเป็นเครื่องมือตอบสนองทางเพศของมนุษย์อีกด้วย ดังคำพูดของเรเชลที่บอกริคในตอนกลางเรื่อง
ถ้าเทียบกับปัจจุบันมันก็เหมือนคนงานต่างด้าวในเมืองไทยเรานี่เอง ที่ดีก็มี ที่ร้ายก็เยอะ มันจึงเกิดอะไรหลายอย่างที่เราเห็นๆตอนนี้นี่ล่ะ
จากนิยายพบว่าแอนดรอยด์พยายามที่จะเลียนแบบให้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด แต่ก็ยังถูกกีดกันด้วยการใช้วิธีหลอมรวมกันในทางจิตกับศาสนาเมอร์เซอร์ที่มนุษย์อ้างว่ามีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ทำได้ แอนดรอยด์ทำไม่ได้
แน่นอนว่าแอนดรอยด์รุ่นล่าสุดก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้เหมือนกัน แต่แอนดรอยด์รุ่นล่าสุดนั้นถูกสร้างให้เหมือนมนุษย์ได้เกือบ100% แทบจะจับไม่ได้ นั่นคือการคุกคามอย่างเป็นรูปธรรมที่สุดอีกอย่างในความคิดของมนุษย์
เมื่อเกิดปัญหา นักล่าค่าหัวจึงต้องเข้า'ปลดระวาง'แอนดรอยด์
การแยกมนุษย์จากแอนดรอยด์ในเรื่องนั้นมีอยู่2วิธี แต่ที่มีประสิทธิถาพที่สุดคือการใช้เครื่องวอยต์-แคมฟ์(Voight-Kampff)ซึ่งเป็นการดูปฏิกิริยาตอบสนองที่รูม่านตาเมื่อได้รับข้อความจากเครื่องมือที่ว่านี้ ระบบจะทำการจับเวลาในการตอบสนองต่อข้อความของผู้ถูกทดสอบ ค่าที่ได้มีค่าที่มีรวดเร็วมากนั่นคือมนุษย์ แต่ถ้าไม่ใช่ นั่นคือแอนดรอยด์
การทดสอบด้วยวิธีนี้จะมีขึ้นก่อนการปลดระวางแอนดรอยด์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการวินิจฉัยผิดพลาดในการแยกมนุษย์กับแอนดรอยด์
...
มนุษย์บอกแอนดรอยด์ว่าไม่อาจเข้าถึงจิตใจของมนุษย์ได้เพราะแอนดรอยด์ไม่มีความรู้สึก เป็นเหตุให้ไม่สามารถหลอมรวมทางจิตได้
แต่แอนดรอยด์แย้งว่าที่ทำไม่ได้เป็นเพราะการหลอมหลอมทางจิตที่ว่ามันไม่มีจริงต่างหาก มนุษย์นั้นหลอกตัวเอง
แล้วใครฤาคือฝ่ายถูกกันแน่?
คน?
แอนดรอยด์?
มนุษย์ในยุคนั้นมีชีวิตอยู่ตามปกติโดยมีสิ่งบันเทิงใจต่างๆครบ แต่ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องปรับอารมณ์ ศาสนาเมอร์เซอร์ หรือไม่ก็รายการโทรทัศน์ที่ออกอากาศตลอด24ชั่วโมงเป็นหลัก
ทั้ง3อย่างที่ว่ามาในเรื่องเป็นผมมองว่าเป็นการมอมเมาประชาชนมากกว่าอย่างอื่น คล้ายกับการติดสารเสพติดทำให้ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรให้มาก แฟนตาซีไปวันๆ ซึ่งนิยายของPKD.มักจะมีเรื่องการใช้ยาเสพติดอยู่เป็นปกติเพราะในชีวิตจริงแกก็ติดยาจริงๆด้วย
นอกจากสิ่งบันเทิงที่ว่ามาแล้ว การเลี้ยงสัตว์จริงก็เป็นสิ่งบันเทิงและแสดงสถานะทางสังคมอีกด้วย
การมีสัตว์จริงในครอบครองตามท้องเรื่องนั้นถือว่าบุคคลนั้นมีฐานะเป็นเลิศเหมือนกับที่คนสมัยนี้มีของแบรนด์เนมหรือเครื่องประดับต่างๆเพื่อเป็นหน้าเป็นตากับตัวเอง อีกทั้งเมื่อมีลูกหลานของสัตว์จริงนั้นก็ถือว่าเป็นหน้าตาของเจ้าของได้อีกต่างหาก
ตัวเดคคาร์ดเองก็เคยมีแกะจริงเป็นสัตว์เลี้ยงแต่แกะตายไปแล้ว เดคคาร์ดจึงไปสั่งสร้างแกะเทียมขึ้นมาแทนซึ่งก็เหมือนมนุษย์สร้างแอนดรอยด์นั่นเอง
มนูษย์กับสัตว์จริง
แอนดรอยด์กับสัตว์เทียม
คงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
อะไรบอกถึงความเป็นมนุษย์?
คำตอบในเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องความความรู้สึกต่างๆของมนุษย์ที่ขาดหายไป ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อสิ่งมีชีวิตด้วยกันไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ หรือที่ไม่มีชีวิตอย่างแท้จริงอย่างแอนดรอยด์หรือสัตว์เทียม หรือว่าจะเป็นเรื่องมิตรจิตมิตรใจและน้ำใจกรุณาปราณี
มนุษย์หลอกตัวเองหรือเปล่าว่าตัวเองมีความเป็นมนุษย์มากกว่าแอนดรอยด์ และแอนดรอยด์จะมีความเป็นมนุษย์ได้เหมือนมนุษย์จริงๆแบบนั้นหรือไม่ล่ะ
พูดถึงเรื่องนี้ผมได้แต่นึกถึงเรื่องพิน็อคคิโอ หุ่นไม้ที่กลายเป็นคนได้ในตอนจบจากการ์ตูนดิสนีย์
หุ่นไม้ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นคน ทำให้เหมือนมนุษย์และเหนือไปกว่ามนุษย์เพื่อให้เกิดการยอมรับว่าเขาก็คือมนุษย์คนหนึ่ง
เช่นเดียวกันกับแอนดรอยด์ในเรื่องที่พยายามจะเป็นมนุษย์ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นอย่างมี่มนุษย์เป็น เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่
ส่วนมนุษย์เองก็ผยองว่าตัวเองคือสิ่งมีชีวิตขั้นสุด มีความรู้สึกนึกคิดแต่ก็ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจกับแอนดรอยด์ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือริคได้พบกับนักล่าค่าหัวคนอื่นแต่ริคไม่มั่นใจว่าเป็นมนุษย์หรือแอนดรอยด์เพราะนักล่าคนนี้ไม่ยี่หระต่อความเป็นความตายของทั้งคนหรือแอนดรอยด์แม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะผ่านทดสอบแต่ริคก็ยังคงคิดถึงเรื่องนี้ไปตลอดเรื่อง
ดังนั้นความเป็นมนุษย์ในเรื่องจึงมีข้อกังขาอยู่มากว่าต้องวัดกันที่ตรงไหนกันแน่
เรียกว่าอ่านไปก็ให้นึกสงสัยอยู่เหมือนกัน
ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้มนุษย์มีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายมากขึ้น ไม่ต้องลงมือทำอะไรเองมากเหมือนในยุคก่อน แต่มันก็คล้ายกับมีคำสาปตามหลังมาด้วย
คำสาปที่ว่าคือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลกับมนุษย์มากขึ้นจนแทบจะชี้นำเราได้นี่ล่ะ
ไม่ต้องขนาดแอนดรอยด์ เอาแค่เอไอในยุคปัจจุบันนี้ก็พอ มันเริ่มที่จะปั่นหัวเราได้แล้วจากข้อความต่างๆหรือเวลาแชทข้อความถามตอบ
แน่นอนเรายังมีสติครบถ้วนพอที่จะพิจารณาข้อเท็จจริงๆต่างๆได้ แต่หากทอดระยะเวลานานออกไปผมว่าก็ไม่แน่เหมือนกันเพราะมันสามารถทำดีพเฟคได้จนอาจถึงขั้นที่แยกความจริงกับความเท็จไม่ได้เลย
ความเป็นมนุษย์ที่คิดว่าเหนือกว่าเอไออาจกลายเป็นว่าเราถูกจูงจมูกไปแบบไม่รู้ตัวเสียด้วย
นี่แค่เอไอแบบแชทบอทนะ ถ้าเป็นแอนดรอยด์แบบในเรื่องที่แยกไม่ออกถ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจริงๆล่ะก็ มีหวัง
...
เขียนถึงตรงนี้ก็นึกถึงหัวข้อในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับอาชีพในอนาคตอันใกล้ที่น่าจะมาแรง กวาดตาแล้วก็ต้องสะดุดกับอาชีพ Human Verification Nurse กับ Doppelganger Curator
อันแรกคือนักตรวจสอบความเป็นมนุษย์ ทำหน้าที่ตรวจสอบและระบุตัวตนของมนุษย์จริงๆกับมนุษย์เอไอ
ส่วนอันที่2คือนักคัดกรองความเหมือน ทำหน้าที่คัดกรองและวิเคราะห์ความเหมือนด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะเมื่อคนหรือสัตว์มีลักษณะเหมือนกันมากๆแต่ไม่ใช่ฝาแฝด
cr.กรุงเทพธุรกิจ
อ่านเสร็จก็ เฮ้ย เรามาถึงจุดนี้แล้วเหรอวะเนี่ย เร็วชิบ
ใจน่ะคิดถึงนิยายเรื่องI, Robot ของIsaac Asimov ขึ้นมาทันทีเพราะในเรื่องมีการพูดถึงนักจิตวิทยาหุ่นยนต์ที่มีหน้าที่บำบัดทางจิตให้กับหุ่นยนต์ด้วย
เหวยๆ อะไรจะขนาดนั้น
...
ผมนั่งจิ้นต่อไปถึงเรื่องDuneที่มีการพูดถึงสงครามของมนุษย์กับเอไอในสงครามButlerian Jihad ที่ทำเอามนุษย์ขยาดเอไอไปจนถึงตัดมันออกจากชีวิตไปเลย แล้วก็เลยเถิดไปถึงเรื่องMatrixอีกด้วย
จิ้นมากเกินไปแล้วมั้งกู
แต่เรื่องแบบนี้มันก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันถ้าความเจริญก้าวหน้าในเรื่องนี้ยังล้ำไปเรื่อยๆ
ก้าวหน้ากันจนล้น หลงลืมความเป็นจริงของชีวิต
เรื่องแบบในBlade Runner, Dune, MatrixหรือI,Robotคงเป็นได้ไม่ยากถ้าเป็นอีแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
เผลอๆอาจจะเห็นกันได้อีกไม่นานต่อจากนี้นัก
ไม่อยากเจอแบบในนิยายที่ว่ามา
อยากเจอแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ไม่ใช่แบบสงครามห้ำหั่นฆ่าฟันเอาเป็นเอาตาย
มนุษย์สร้างสงครามมามากเกินพอแล้ว
ขอความสงบบ้างเถอะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา