7 ต.ค. 2024 เวลา 12:07 • ประวัติศาสตร์

คลองมหานาค

...
ชื่อ 'คลองมหานาค' กรุงเทพมหานคร เป็นคลองซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้ขุดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๖ พร้อมกับ 'คลองรอบกรุง' ที่ปัจจุบันเรียกกันว่า 'คลองบางลำพู' หรือ 'คลองโอ่งอ่าง' ตามเส้นทางที่คลองตัดผ่านในพื้นที่นั้น
'ส. พลายน้อย' กล่าวไว้ในหนังสือ 'เล่าเรื่องบางกอก' ถึง 'คลองมหานาค' ว่า
"...นอกจากขุดคลองหลอดคลองรอบกรุงแล้ว ยังโปรดให้ขุดคลองใหญ่เหนือวัดสะแกซึ่งได้โปรดพระราชทานนามเปลี่ยนใหม่หลังจากขุดคลองนี้แล้วว่า วัดสระเกศ คลองที่ขุดใหม่นี้แยกจากคลองรอบกรุงตรงสะพานมหาดไทยอุทิศ ไปออกคลองผดุงกรุงเกษมซึ่งขุดใหม่ในรัชกาลที่ ๔ ตรงสะพานเจริญราษฎร์ ๓๒ พระราชทานนามว่า คลองมหานาค
โดยมีพระราชประสงค์สำหรับจะใช้เป็นที่ประชาชนชาวพระนครจะได้ลงเรือไปประชุมเล่นเพลง และสักรวาในเทศกาลฤดูน้ำ
คลองมหานาคนี้ปรากฏในนดหมายเหตุโหรกล่าวว่า 'ปีมะเส็ง จ.ศ. ๑๑๕๙ (พ.ศ. ๒๓๔๐) ขุดคลองมหานาค' กับมีจดหมายเหตุอีกแห่งหนึ่งกล่าวว่า ศักราช ๑๑๖๑ ปีมะแม (พ.ศ ๒๓๔๒) พระโองการรับสั่งให้ขุดคลองรอบเกาะให้บ่ายเรือพระที่นั่งได้เรียกว่า คลองมหานาค
จดหมายเหตุทั้งสองฉบับนี้ผิดกันถึง ๒ ปี จึงทำให้เข้าใจว่าในปีมะเส็งนั้นจะขุดคลองมหานาคทางตอนเหนือวัดสระเกศก่อน ต่อมาในปีมะแมจึงได้ขุดเพิ่มเติมรอบเกาะเพื่อให้บ่ายเรือพระที่นั่งได้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงวิจารณ์ไว้ในเรื่องจดหมายความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีมีความว่า
'...ขุดคลองมหานาคมีคำว่ารอบเกาะมาอีก เกาะในที่นี้จะเป็นอย่างไร บางทีก็จะเหมือนกันกับชั้นหลัง คือมีเกาะในระหว่างโรงเรือกับวัดด้านหนึ่ง เกาะด้านตะวันออกที่เรียกว่าเกาะยายชีด้านหนึ่ง แต่ในที่นี้เห็นจะหมายความว่าเกาะข้างเหนือวัด อยู่ตรงหน้าบ้านชายเสรฐวงศ์ คลองหลังเกาะตื้นกลายเป็นฝั่งไปเสียแล้ว...'
เกาะกลางคลองมหานาค ที่เห็นโรงโถงเป็นบ้านเรือนหมู่หนึ่ง คือโรงเรือในกรมกลาโหม
ฟังตามจดหมายเหตุนี้แล้วจะเห็นว่าคลองมหานาคในสมัยรัชกาลที่ ๑ นั้นกว้างมากทีเดียว อย่างไรก็ตาม คลองมหานาคที่ขุดขึ้นนั่นก็ใช่ว่าจะได้ประโยชน์เพียงจะให้ประชาชนชาวพระนครลงเรือเล่นเพลงและสักรวาเท่านั้น เพราะต่อมาปรากฏว่าได้ใช้คลองมหานาคนี้เป็นที่เก็บเรือพระที่นั่งมาช้านาน ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๒๖ มีจดหมายเหตุกล่าวไว้ว่าโรงเรือในกรมกลาโหมที่คลองมหานาคชำรุดหักลงมาทับเรือไชยเหินหาวไชยหลาวทอง หักสองลำ และในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ก็ยังเป็นคลองที่มีการต่อเรือต่างๆ อยู่..."
ในพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ซึ่งเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) เรียบเรียงขึ้นนั้น ได้กล่าวถึงการขุดคลองมหานาคไว้ว่า
"...ในจุลศักราช ๑๑๔๕ ปีเถาะ เบญจศก โปรดให้ตั้งกองสักเลกไพร่หลวงสมกำลัง และเลกหัวเมืองทั้งปวงแล้วให้เกณฑ์ทำอิฐขึ้นใหม่บ้าง ใหไปรื้ออิฐกำแพงเมืองกรุงเก่าลงมาบ้าง ลงมือก่อสร้างพระนครทั้งพระบรมมหาราชวัง และพระราชวังบวรสถานมงคลในปีนั้น
โปรดให้รื้อป้อมวิชเยนทร์และกำแพงเมืองธนบุรีข้างฟากตะวันออกเสีย ขยายพระนครให้กว้างออกไปกว่าเก่า เกณฑ์เขมร ๑๐,๐๐๐ เข้ามาขุดคูพระนครด้านตะวันออก ตั้งแต่บางลำพูตลอดมาออกแม่น้ำข้างใต้วัดสามปลื้มยาว ๘๕ เส้น ๑๖ วา รวมทางน้ำรอบพระนคร ๑๗๗ เส้น ๙ วา แล้วขุดคลองหลอดจากคลองคูเมืองเดิม ๒ คลอง ออกไปบรรจบคลองรอบกรุงที่ขุดใหม่
และขุดคลองใหญ่เหนือวัดสะแกอีกคลองหนึ่ง พระราชทานว่า คลองมหานาค เป็นที่สำหรับประชาชนชาวพระนครจะได้ลงเรือไปประชุมเล่นเพลงและสักวาในเทศกาลฤดูน้ำ เหมือนอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยาเก่า และวัดสะแกนั้น เมื่อขุดคลองมหานาคแล้ว พระราชทานนามเปลี่ยรใหม่ว่า วัดสระเกศ และขอแรงเขมรที่เข้ามาขุดคลองให้ช่วยขุดรากทำพระอุโบสถใหม่ด้วย
ครั้นขุดคลองและตระเตรียมอิฐปูนและตัวไม้สำหรับก่อสร้างพระนครพร้อมแล้ว จึงโปรดให้เกณฑ์ลาวเวียงจันทน์ ๕,๐๐๐ และมีตราให้หาผู้ว่าราชการหัวเมืองตลอดจนหัวเมืองลาวริมแม่น้ำโขงฟากตะวันตกเข้ามาพร้อมกันในกรุง แล้วให้ปักปันหน้าที่ทั้งข้าราชการในกรุงและหัวเมืองให้ช่วยคุมไพร่ช่วยกันขุดรากก่อกำแพงรอบพระนคร
และสร้างป้อมไว้เป็นระยะห่างกัน ๑๐ เส้นบ้าง ไม่ถึง ๑๐ เส้นบ้าง รอบพระนคร
ในเวลาเมื่อทำการสร้างกำแพงพระนครนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสด็จพระราชดำเนินตรวจการก่อสร้าง ทรงพระราชดำริจะให้สร้างสะพานช้างข้ามคลองรอบกรุงที่ใต้ปากคลองมหานาค
จึงพระพิมลธรรม วัดโพธาราม ไปถวายพระพรว่า ซึ่งจะทรงสร้างสะพานช้างข้ามคูพระนครนั้น อย่างธรรมเนียมแต่โบราณมาไม่เคยมี แม้มีการสงครามถึงพระนคร ข้าศึกก็จะข้ามมาถึงชานพระนครได้โดยง่าย อีกประการหนึ่งแม้นจะแห่กระบวนเรือรอบพระนคร สะพานนั้นก็เป็นที่ขัดขวางอยู่ ทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วย จึงโปรดให้งดสร้างสะพานช้างเสีย เป็นแต่ให้ทำท่าสำหรับช้างข้ามคลองรอบกรุงที่ตรงสนามกระบือแห่งหนึ่ง..."
สำหรับป้อมที่สร้างอยู่ตรงข้ามต้นคลองมหานาค คือ ป้อมมหากาฬ
และที่ว่า "...คลองมหานาค เป็นที่สำหรับประชาชนชาวพระนครจะได้ลงเรือไปประชุมเล่นเพลงและสักวาในเทศกาลฤดูน้ำเหมือนอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยาเก่า..." นั้น
'คลองมหานาค' ที่พระนครศรีอยุธยา ปรากฏความใน 'พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด)' ว่า
"...ศักราช ๙๐๕ ปีเถาะเบญจศก สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีทรงพระดำริว่า ครั้งก่อนเรายกทัพรุดไปพระนครศรีอยุธยาพลแต่สามหมื่น ตำบลลุมพลีหามีผู้ใดมาปะทะมือไม่ แต่หากทว่าพลน้อยจะทำการช้าวันมิถนัด ครั้งนี้จะยกไปให้มากสิบเท่าก็เห็นจะได้พระนครศรีอยุธยา...
ขณะนั้นมีหนังสือบอกเมืองกาญจนบุรีเข้ามาว่า ชาวด่านไปถีบด่านถึงตำบลจอยยะได้เนื้อความว่า สมเด็จพระเจ้าหงสาวดียกมาข้ามพลเมืองเมาะตะมะมาถึง ๗ วันจึงสิ้น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชตรัสให้เทครัวตรีจัตวาแลแขวงจังหวัดเข้าพระนคร แล้วมีพระราชกำหนดขึ้นไปถึงเมืองพิษณุโลกว่า ถ้าศึกหงสาวดีมาติดพระนครศรีอยุธยาเมื่อใดให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาเอาทัพเมืองเหนือทั้งปวงเปนทัพกระหนาบ แล้วตรัสสั่งให้พญาจักรีออกตั้งค่ายลุมพลีพลหมื่นห้าพันสวมใส่เสื้อแดงหมวกแดง
ฝ่ายพระมหานาคบวชอยู่วัดภูเขาทอง สึกออกรับตั้งค่ายกันทัพเรือ ตั้งค่ายแต่วัดภูเขาทอง วัดป่าพูล พรรคพวกสุมกำลังญาติโยมทาสชายหญิงของมหานาคช่วยกันขุดคูนอกค่ายกันทัพเรือ จึงเรียกว่าคลองมหานาค..."
คลองมหานาค 'ตลาดโบ๊เบ๊
ส่วนในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ (แพ) ว่า สมเด็จพระเจ้าหงสาวดียกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อศักราช ๙๑๐ หรือ พ.ศ. ๒๐๙๑
นั่นคือ คลองมหานาค กรุงเก่า พระนครศรีอยุธยา
กล่าวสำหรับ 'คลองมหานาค' กรุงเทพมหานคร เป็นที่ทราบว่า ต้นคลองอยู่ตรงข้ามป้อมมหากาฬ เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ในส่วนของปลายคลองนั้น ในหนังสือ 'จดหมายเหตุการอนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์' ของกรมศิลปากร พ.ศ. ๒๕๒๕ กล่าวถึง 'คลองมหานาค' ว่า
"...พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีศรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุดในพระพุทธศักราช ๒๓๒๖ ตั้งต้นจากคลองรอบกรุงที่ข้างพระบรมบรรพต ผ่านถนนบริพัตร ถนนจักรพรรดิพงศ์ ถนนกรุงเกษม ไปบรรจบกับคลองผดุงกรุงเกษม เรียกว่า 'สี่แยกมหานาค' ไปสุดเขตที่วัดบรมนิวาส..."
ศาลาท่าน้ำวัดบรมนิวาส ภาพจาก : เพจวัดบรมนิวาส (คุณชลทัต สุขสำราญ มอบถวายให้แก่วัดบรมนิวาส เป็นภาพถ่ายสมัยพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เป็นเจ้าอาวาส)
'เอนก นาวิกมูล' กล่าวถึง 'คลองมหานาค' ไว้ในนิตยสาร 'ศิลปวัฒนธรรม' เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๐ เรื่อง 'ต้นคลองปลายคลองของมหานาค-บางกะปิ-แสนแสบ อยู่ที่ไหน' ว่า
"...ขุดแยกจากคลองรอบกรุงที่หน้าวัดสระเกศ ตรงไปทางทิศตะวันออกสิ้นสุดที่ข้างวัดพระยายัง และวัดบรมนิวาส ต่อจากนั้นเป็นอีกคลองหนึ่งเรียกว่า คลองบางกะปิ ต่อคลองบางกะปิออกไปอีก เรียกว่าคลองแสนแสบ คลองบางขนาก..."
และยังได้กล่าวต่อว่า
"...ลองตรวจดูแผนที่ในอดีต ผู้เขียนเห็นว่า ปลายคลองมหานาคน่าจะไปบรรจบกับคลองเก่า ๒ สาย คือ คลองบางส้มป่อย กับคลองบางกะปิ
คลองบางส้มป่อยไม่ค่อยมีใครระบุชื่อในแผนที่ใดๆ คงพบบ้างในบางแห่ง เช่น แผนที่ พ.ศ. ๒๕๕๓ (ดูหนังสือ 'แผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๔๓๑-๒๔๓๔ ของกรมแผนที่ทหาร พ.ศ. ๒๕๒๗' เล่มใหญ่ ปกสี่น้ำตาลแผ่นที่ ๕) ท่านลองพิจารณาดูโดยเอาแผนที่ ร.ศ. ๑๒๐ พ.ศ. ๒๔๔๔ มาประกอบด้วย
จะเห็นว่าเป็นคลองที่ไหลในแนวตั้ง หรือแนวเหนือใต้ตรงวัดพระยายัง วัดบรมนิวาส (ทั้งสองวัดนี้สร้างหลังขุดคลองมหานาคแล้วทั้งสิ้น สมัยขุดคลองมหานาคแถวนั้นยังเป็นทุ่งโล่ง) ภายหลังถูกถนนและทางรถไฟตัดผ่านจนตื้นเขิน ตอนที่สร้างสนามม้าและสวนจิตรลดาก็ขาดหายไป
พิจารณาต่อไป ช่วงกลางด้านขวาของคลองบางส้มป่อยเป็นสามแยกต่อกับคลองเก่าอีกสายหนึ่ง คือคลองบางกะปิ ซึ่งไหลเป็นแนวนอน ส่วนปลายคลองบางส้มป่อยด้านล่าง ไปพบคลองบางนางหงส์หลังวัดสามง่าม (ชำนิหัตถการ)
ผู้เขียนเชื่อว่า เมื่อจะขุดคลองมหานาคนั้น บรรพบุรุษของเราคงกะให้ปลายคลองมหานาคไปเชื่อมกับสามแยกบางส้มป่อย-บางกะปิ เกิดเป็นสี่แยกไปมาได้มากขึ้น
เพราะเมื่อเอาเรือขึ้นไปตามคลองบางส้มป่อยด้านเหนือ ไม่ช้าก็จะพบกับคลองใหญ่ที่ชื่อคลองสามเสน
พอถึงคลองสามเสนเลี้ยวไปทางซ้าย ก็จะออกแม่น้ำเจ้าพระยาได้ (ตรงวังสุโขทัย)
เอาเรือไปตามคลองบางกะปิ ซึ่งไหลขนานกับคลองสามเสน เข้าทุ่งนาไปเรื่อยๆ ก็มีคลองเชื่อมกับคลองสามเสนข้างบนอยู่เป็นระยะๆ เช่นระยะวัดบางกระสัน (ดิสหงษาราม) วัดบางกะปิ (อุทัยธาราม) และคลองตัน เป็นต้น
เอาเรือไปทางใต้ ไปพบคลองเล็กๆ ชื่อบางนางหงส์ คลองนี้อาจเป็นสาขาของคลองบางกะปิที่อยู่ตอนบน และไหลลงมาบรรจบกับคลองบางส้มป่อยอีก
โดยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงเห็นว่า การขุดคลองมหานาค ปลายคลองมีเป้าหมายให้เชื่อมกับคลองบางส้มป่อยและคลองบางกะปิมาแต่เดิม มิใช่ขุดสนุกๆ ไม่มีจุดหมายปลายทาง..."
...
ภาพปก : ภาพนี้ถ่ายลงมาจากภูเขาทอง จะมองเห็นจุดบรรจบกันของคลองโอ่งอ่างและคลองมหานาค ซึ่งเป็นคลองที่ขุดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ จะเห็นป้องมหากาฬทางซ้ายมือ
และถัดไปไกลๆ จะเห็นป้อมมหาปราบ โดยมีถนนมหาไชยที่ทอดคู่ไปตามกำแพงเมืองพระนคร จะเห็นสะพานไม้เล็กๆ สำหรับเดินข้ามคลองซึ่งน่าจะเป็นจุดที่ภายหลังได้มีการสร้างถนนราชดำเนินและสะพานผ่านฟ้าตรงนั้น ชุมชนที่อยู่ริมคลองตรงป้อมมหากาฬนี้ ถือเป็นชุมชนเก่าแก่ที่ค้าไม้มาแต่โบราณ ซึ่งจะเห็นได้ในภาพนี้ ถ่ายภาพโดย วิลเลียม ลอฟทัส William K. Loftus
โฆษณา