Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
นิยายของลักกี้ หยาง
•
ติดตาม
22 ต.ค. 2024 เวลา 01:43 • นิยาย เรื่องสั้น
บุกรังแวมไพร์
ข่าวการสังหารหมู่ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งแท้จริงแล้วมันคือฉากบังหน้า เพื่อที่จะปกปิดการทำพิธีบูชายัญตามความเชื่ออันวิปริต พวกมันคิดจะสังเวยชีวิตเหล่าเด็กนักเรียนนับร้อย เดชะบุญที่พวกมันไม่อาจทำสำเร็จ เพราะถูกขัดขวางเสียก่อนและโรงเรียนก็เกิดเพลิงไหม้ พร้อมกับการตายสยดสยองของบรรดาครูที่เกี่ยวข้อง เมื่อตำรวจทำการสืบสวนก็พบว่า ลัทธินี้เคยมีคนนับถือมาก่อนเมื่อราว ๆ หกสิบปีก่อน
แต่ปัจจุบันลัทธินี้ก็หายสาบสูญไร้ร่องรอย โดยสาวกเกือบร้อยกว่าชีวิตก็หายไปด้วย สถานที่ที่ประกอบพิธีกรรมก็มีแค่เศษฝุ่นถ่านสีดำ ตำรวจชุดสืบสวนที่รับผิดชอบ จึงลงความเห็นว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องกับลัทธินี้ กลายเป็นบุคคลที่หายสาบสูญไปแล้ว กาลเวลาผ่านพ้นไปผู้คนต่างก็เริ่มลืมเลือนว่า ครั้งหนึ่งเคยมีลัทธิที่มีชื่อ การชำระแห่งความเงียบ
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่โรงเรียนขึ้น มีการกลับมาพูดถึงลัทธินี้กันอีกครั้ง
"พวกนี้ตายยากฉิบหาย"
รณยศ พูดหลังจากที่ฟังเนื้อหาข่าวจาก รณจักร น้องชายของเขาในระหว่างที่กำลังรอเดินทางกลับค่าย เสียงเท้าเดินดังมาจากบันไดของบ้าน สองพี่น้องหันไปทางโถงทางเดิน ก็เห็น พันตรีรัชชศิร์ พ่อที่กำลังแบกกระเป๋าเป้สองใบ เดินออกนอกบ้านคาดว่าน่าจะเป็นของ รณเดช และ รณกร ซึ่งน้องชายสองแสบเดินลงตามหลังพ่อ
และคนสุดท้ายที่เดินลงมาก็คือ รณพีร์ ซึ่งสะพายกระเป๋าเป้ เดินมานั่งสมทบกับรณยศและรณจักร สีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนักเหตุเพราะเหตุการณ์ที่เป็นข่าว รณพีร์เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เข้ามาระงับเหตุไว้ได้
"พี่ยักษ์กับพี่พีพี คิดว่ายังมีสาวกหลงเหลืออยู่ไหม" รณจักรถามขึ้น
"ตราบใดที่ยังมีคนอ่อนแอไร้ที่พึ่ง พวกมันก็คงหาทางเพิ่มสาวกมากขึ้น"
"โคตรเกลียดพวกแม่ง" รณพีร์สบถอย่างลืมตัว
ตามนิสัยแล้วรณพีร์ไม่ใช่คนที่จะพูดคำหยาบออกมาง่าย ๆ ถ้าเทียบกับรณยศแล้ว ไม่นานพันตรีรัชชศิร์ก็เดินเข้ามา เพื่อตามลูกชายทั้งสามให้ออกมาด้านนอก เนื่องจากอีกสี่นาทีรถจากค่ายทหารก็ใกล้จะมาถึงแล้ว สามพี่น้องจึงพากันลุกออกมาและเดินออกมานอกบ้าน เพื่อรอรถมารับกลับค่าย
วันนี้ เชิญขวัญ ไม่ได้อยู่ส่งห้าพี่น้อง เพราะติดธุระทางฝั่งญาติ จึงต้องเดินทางข้ามเขตและอาจไม่ได้กลับมาบ้านสี่ถึงห้าวัน ในระหว่างที่กำลังรอรถ พันตรีรัชชศิร์ก็เดินมาหารณยศ
"ยักษ์ พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย"
รณยศเดินตามพ่อมายืนตรงลานกว้างของบ้าน ที่มีไว้ให้พวกเขาออกกำลังกาย เมื่อพ้นระยะที่พวกรณพีร์จะได้ พันตรีรัชชศิร์ก็หันมาทางลูกชายคนโต เขารู้ดีว่านิสัยของลูกชายคนนี้แม้จะใจร้อนโผผางไปบ้าง แต่ความเป็นพี่ชายที่พร้อมปกป้องน้อง ๆ รณยศก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน ซึ่งตัวรณยศก็คิดว่า เรื่องที่พ่อจะคุยด้วยก็คงเป็นเรื่องของรณพีร์
"พ่อจะคุยเรื่องไอ้พีพี ใช่ไหม" รณยศถาม
พันตรีรัชชศิร์พยักหน้า "ทั้งใช่และไม่ใช่"
"ยังไงครับ" ชายหนุ่มถามต่อ
"พ่อจะคุยเรื่องแกกับพีพีนี่แหละ เมื่อไม่กี่วันก่อนทางเบื้องบนติดต่อมา บอกว่ามีภารกิจให้พีพีมันทำ"
รณยศขมวดคิ้วเล็กน้อย "ภารกิจอะไรพ่อ"
"พ่อไม่รู้หรอก แต่ถ้าถามความเห็นของพ่อนะ" พันตรีรัชชศิร์หันไปทางรณพีร์ที่ยืนอยู่หน้าบ้าน "เจ้าพีพีมันยังไม่พร้อม ถ้าหากว่าภารกิจที่ทางโน้นให้ มันเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้"
รณยศคิดตามสิ่งที่พ่อบอกตัวเขาเองก็ห่วงรณพีร์ไม่น้อย และถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากอาสารับภารกิจแทนน้องชาย พันตรีรัชชศิร์รู้ความคิดของลูกชายคนโต ก็คิดอยู่ว่าตั้งใจจะไปคุยกับทหารยศสูงเพื่อคุยเรื่องภารกิจ ไม่นานรณกรก็ตะโกนบอกรณยศว่า
"พี่ยักษ์ รถมาแล้วครับ" รณกรบอก
รณยศแบกกระเป๋าเป้และเดินไปที่รถโดยสาร ด้านพันตรีรัชชศิร์ก็เดินมาตบไหล่ลูก ๆ ทั้งห้าโดยไม่พูดอะไร ห้าพี่น้องก็พากันเดินไปขึ้นรถ เพื่อเดินทางกลับค่ายและรณยศคิดไว้แล้วว่า ถ้าเบื้องบนมีภารกิจให้รณพีร์
เขาจะขออาสารับหน้าที่แทนเอง
.
👊🏻👊🏻🗡🗡🔫🔫
.
รณยศกำลังเช็ดความเรียบร้อยของกระบอกปืน พอดีกับที่ คิมชุนดง เพื่อนสนิทในกลุ่มก็เดินมาทักทาย เพราะต้องการทำความสะอาดปืนเช่นกัน ทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระตามประสาเพื่อนที่ได้เจอกัน หลังพักหยุดยาวมาหลายวัน ยิ่งหลังเหตุการณ์ที่พวกเขาพึ่งผ่านการเสี่ยงตายมาอีก ถึงแม้มันจะผ่านมานานกว่าสามปีแล้วก็ตาม
แถมกอปรกับข่าวล่าสุดที่คิมชุนดงพึ่งรู้มา มันก็ยิ่งทำให้เขาห่วงเพื่อนพอสมควร แต่พอได้สนทนากันแล้วก็คิดว่า รณยศไม่ค่อยห่วงมากเท่าไหร่ เพราะสหายคนนี้ใจเด็ด ใจกล้า และบ้าระห่ำมาก คิมชุนดงจึงคิดว่าตนเองคงกังวลมากเกินไป และคนที่น่าห่วงยิ่งกว่าก็คือรณพีร์ต่างหาก
"น้องมึงเป็นยังไงบ้าง" คิมชุนดงถามขึ้น
"แย่" รณยศตอบสั้น ๆ
"กูว่ามึงพาพีพีไปพบนักจิตบำบัดนะ" คิมชุนดงแนะนำ "กูเองก็พึ่งผ่านการบำบัดมาเหมือนกัน"
รณยศก็คิดแบบเดียวกับคิมชุนดง หากยังไม่มีภารกิจเร็ว ๆ นี้ก็อาจจะพารณพีร์ไปบำบัด เพราะหากปล่อยไว้นานย่อมไม่เกิดผลดีแน่ ขณะเดียวกันเขาก็ห่วงอาการเพื่อนข้าง ๆ เหมือนกันทั้งเหตุการณ์ในดงผีปอบ ภารกิจไล่ล่าลัทธิบูชาอสูรหุ่นไล่กา มันก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจคิมชุนดงไม่น้อยเหมือนกัน
"แล้วมึงล่ะ สบายดีนะ" เขาถามด้วยความเป็นห่วง
"อืม กูสบายดีเพื่อน อย่าห่วงเลย"
ไม่นานทั้งสองได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินตรงมาทางพวกเขา รณยศและคิมชุนดงหันไปพร้อมกันจึงพบว่า เจ้าของเสียงฝีเท้าก็คือ ฮิรุม่า นักรบสังกัดทีมจู่โจมพิเศษ ทีมเดวิลแบ๊ทส์ ผู้ทำหน้าที่เป็น "แกนกลาง" ของหน่วยรบอาร์ทิสส์ เช่นเดียวกับ อีคยองฮุน นักรบสังกัดทีมจู่โจมพิเศษ ทีมสปาร์ตัน
หน้าที่ของแกนกลางคือให้รายละเอียดภารกิจที่ได้รับมา ให้กับผู้ที่ได้รับมอบหมายและอาจทำหน้าที่สนับสนุนถ้าจำเป็น รณยศจะคุ้นเคยกับฮิรุม่ามากกว่าอีคยองฮุน เพราะเจอกันบ่อยมากกว่า และแน่นอนว่าการปรากฏตัวของฮิรุม่ามันก็หมายความว่า มีภารกิจที่ต้องไปทำ
แล้วใครล่ะที่จะได้ปฏิบัติภารกิจนี้.....
"พี่ยักษ์ ตามมาผมมา" ฮิรุม่าพูด "มีภารกิจมอบหมายให้พี่ครับ"
คิมชุนดงตบไหล่รณยศเบา ๆ
"โชคดีนะไอ้เกลอ" คิมชุนดงกล่าวอวยพร
"อืม"
.
👊🏻👊🏻🗡🗡🔫🔫
.
รณยศเดินตามฮิรุม่าเข้ามาด้านในห้องประชุมที่จัดเตรียมไว้ ชายหนุ่มก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เพราะในห้องมีอยู่สามถึงสี่คนนั่งอยู่ และไม่ค่อยคุ้นหน้านัก อาจเพราะเดิมทีตัวรณยศเอง ไม่เคยทำภารกิจร่วมกับคนหน่วยรบอื่น ส่วนมากเขาจะทำภารกิจเดี่ยวเสียมากกว่า ถ้าเป็นทีมก็มักจะอยู่แต่กับกลุ่มคิมชุนดง
นอกจากรณยศกับฮิรุม่าแล้ว ยังมีบุคคลอื่นที่มาจากหน่วยรบอื่นอยู่ด้วย และผู้ที่มาทำหน้าที่อธิบายภารกิจคือ เอไลจาห์ "แกนกลาง" ของหน่วยรบฟีนิกซ์ที่น้องชายสอง รณเดชกับรณกรสังกัดอยู่ ถัดจากเอไลจาห์ไปคือ โฮชินะ ซันชิโร่ สังกัดหน่วยรบฟีนิกซ์ ทีมเดมอน รณยศเคยเห็นฝีมือการใช้คาตานะคู่มาก่อน เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา
ชายหนุ่มหันไปทางขวามือเห็นเด็กหนุ่มที่อายุรุ่นเดียวกับรณพีร์ หยางเสี่ยวจุน "แกนกลาง" ของหน่วยรบ SAS ทีมดาร์คเนสส์วอริเออร์ และชายหนุ่มที่นั่งข้างก็คือ คังฮยอนมู ที่มีฝีมือไม่ธรรมดา รณยศคิดว่านี้อาจเป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานกับคนจากหน่วยรบอื่น และภารกิจที่ทั้งสามได้รับคือ พวกเขาต้องไปมิติคู่ขนานเพื่อจัดการกับกลุ่มแวมไพร์
เอไลจาห์อธิบายต่อว่าหน่วยงานที่ดูแลทางเหนือของฟรอนเทียร์ จากเขตเอ็กซ์ศูนย์หนึ่งได้รายงานมาว่าตอนนี้ มีบุคคลหายสาบสูญเป็นจำนวนมากยังหาตัวไม่พบ จนกระทั่งเมื่อสามวันก่อนมีคนพบตัวหนึ่งในผู้สูญหาย ซึ่งมีชื่อว่า โจ โดยตอนที่เจอกัน เขายังอยู่ในสภาพหวาดกลัวไม่มีสติ นักจิตวิทยาใช้เวลาพอสมควรถึงจะทำให้เขาสงบลง
หลังได้สติโจก็เล่ารายละเอียดให้ฟัง กอปรกับผลตรวจสภาพร่างกายของโจ เครื่องตรวจพบว่าเขาเสียเลือดไปพอสมควร ที่แขนข้างสองมีรอยเจาะของเข็มฉีคยา ทำให้เรื่องที่โจเล่าว่าเขากับใครอีกหลายคน ถูกแวมไพร์ต่างมิติลักพาตัวไปเพื่อดูดเลือดดำรงชีพ จากนั้นนักพลังจิตก็ได้เข้าไปดูในความทรงจำของโจ
และวาดรูปออกมาก็พบว่าหน้าของหัวหน้าแวมไพร์ มันตรงกับแวมไพร์ที่มีชื่อว่า อัลบาโร อดีตเคยเป็นมนุษย์มาก่อนและยังเป็นเพลเยอร์อีกด้วย แต่ก็อยู่ในระดับปานกลางไม่ได้เก่งมาก ภายหลังเขาได้ทำสิ่งต้องห้าม นั้นคือการดื่มเลือดของปีศาจเข้าไป อัลบาโรกลายสภาพมาเป็นอมนุษย์ พร้อมเข้าร่วมกับองค์กรใต้ดินที่มีชื่อว่า บลูมดรีม
แต่ภายหลังมันกับพรรคพวกถูกขับไล่จากองค์กร เหตุเพราะผิดพลาดหลายครั้ง โดยพวกมันถูกเนรเทศไปอยู่มิติคู่ขนาน เอไลจาห์จึงเชื่อว่าอัลบาโรอาจคิดสะสมกองทัพ เพื่อที่จะหาทางกลับไปอยู่องค์กรเดิม หรือก่อตั้งก๊กของตนขึ้นมาเสียเอง
"แล้วมันมีอะไรที่พวกกูต้องระวังไหม" รณยศถามขึ้น
"มี" เอไลจาห์ตอบ "พวกมันสามารถกลายร่างเป็นค้างคาวตัวใหญ่ เพื่อความได้เปรียบในการต่อสู้"
"ห๊ะ ! มันแปลงร่างได้ด้วยเรอะ" รณยศพูดเสียงหลง
ทุกคนในห้องประชุมหันมามองตาเดียวโดยเฉพาะฮิรุม่า
"มันเรื่องปกตินะพี่ยักษ์ แวมไพร์มันแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ทั้งนั้ร" ฮิรุม่าบอก
"ก็ไอ้พวกดูดเลือดที่กูเคยสู้ด้วย มันเคยแปลงเป็นค้างคาวที่ไหนล่ะ" รณยศพูด
"ออ ไอ้พวกนั่นมันเรียกว่า "ผีดูดเลือด" มันอ่อนแอกว่าแวมไพร์เยอะ" เอไลจาห์พูด
เขาฉายภาพใหม่ที่รอบนี้เป็นวีดีโอของชายคนหนึ่ง ที่กำลังดิ้นทุรนทุรายโดยเอไลจาห์อธิบายว่า ผู้ชายที่อยู่ในวีดีโอคือแวมไพร์ที่ทางฝั่งเหนือจับขังไว้ และอาการที่ทุกคนเห็นคือเขากำลังกระหายเลือดอย่างหนัก เวลาผ่านไปเพียงแค่ห้าวันร่างกายของชายคนนี้ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นค้างคาวน่าเกลียดน่ากลัว
สิ่งที่เกิดขึ้นในคลิปวีดีโอตรงกับข้อมูลของโจทุกประการ แวมไพร์กลุ่มของอัลบาโรหากขาดเลือดของมนุษย์เป็นเวลานาน ก็จะขาดสติและเกิดอาการคลุ้มคลั่ง จนสุดท้ายก็กลายสภาพเป็นค้างคาวตัวใหญ่น่าเกลียดน่ากลัว ที่สำคัญพวกนี้จะไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้
เอไลจาห์จึงสันนิฐานว่าที่พวกอัลบาโรต้องลักพาตัวผู้คน ก็เพราะต้องนำเลือดมาหล่อเลี้ยงตนเองกับพรรคพวก เนื่องจากหากผู้ติดตามกลายสภาพเป็นค้างคาวถาวร มันจะควบคุมได้ยากมาก
"งั้นคงเป็นหน้าที่ของกูสามคนสินะ ที่ต้องส่งพวกมันลงหลุม" คิมฮยอนมูพูดขึ้น
"ใช่" เอไลจาห์ตอบ
"แค่สามคนเองหรือ" ซันจิโร่ถามบ้าง
"ใช่ แค่สามคน" หยางเสี่ยวจุนเป็นผู้ตอบ "แต่พี่สามคนไม่ต้องกังวล พวกผมจะคอยคุ้มกันให้"
หลังประชุมเสร็จสามหนุ่มต่างก็ไปเตรียมตัว เพื่อที่จะไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ห้านาทีต่อมาพวกเขาก็มารวมตัวกันที่หน้าผนังเก่า ๆ ซึ่งแท้จริงแล้วมันคือทางเชื่อมสู่มิติคู่ขนาน เอไลจาห์ร่ายเวทย์เปิดประตูออก และสามหนุ่มคือกลุ่มแรกที่เดินเข้าไป
ภาพเบื้องหน้าของพวกเขาคือปราสาทขนาดใหญ่ ตั้งเด่นตระหง่านท่ามกลางความมืด ที่มีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์เท่านั้น ที่ทำให้พวกเขามองเห็นทาง ทั้งหมดตัดสินใจเดินลอบเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อดูลาดเลา ภายนอกปราสาทไม่มียามรักษาความปลอดภัย แต่อาจจะวางกับดักเอาไว้
"ดูโน่นสิ มีบางอย่างกำลังเดินเข้าปราสาท" ซันจิโร่และชี้ให้ดู
มันเป็นขบวนรถเกวียนที่กำลังขนบรรทุกคน แต่ละคนล้วนอยู่ในอาการหวาดกลัว ไม่ต้องหาคำตอบให้ยุ่งยากว่า ชะตากรรมต่อจากนี้คืออะไร รณยศจึงไม่รอช้ารีบคว้าปืนลูกซองแฝดออกมา แต่ถูกคังฮยอนมูห้ามเอาไว้ก่อน มันทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดพอสมควร แต่ไม่ทันที่รณยศจะถามอะไรต่อ เขาก็ถูกคิมฮยอนมูกับซันจิโร่ลากตัวไปอยู่ใต้เกวียนคันหนึ่ง
ซึ่งมันอยู่ท้ายขบวนทำให้ไม่มีใครสังเกต หลังจากที่เข้ามาด้านในแล้ว ทั้งสามพบว่าภายในปราสาทค่อนข้างกว้างพอสมควร แต่จำนวนเเวมไพร์ที่ยังครองสติได้กลับมีน้อย หากเทียบกับพวกกลายเป็นค้างคาวตัวใหญ่ที่มีมากกว่า ซันจิโร่เห็นพวกมันถูกคล้องโซ่ไว้ตรงคอ
[แล้วนี่เราต้องเกาะใต้ท้องเกวียนแบบนี้ไปนานแค่ไหน] รณยศถาม
[จนกว่าเราจะรู้ว่าพวกมันจะเอาคนเหล่านี้ไปไว้ที่ไหน] คังฮยอนมูตอบ
[กองกำลังอาจไม่เยอะ แต่ก็ไม่ควรประมาท] ซันจิโร่พูด
ระหว่างที่ทั้งสามยังคงเกาะใต้รถเกวียนอยู่ ซันจิโร่ไม่แน่ใจว่าเขาคิดมากไปหรือเปล่า ในนาทีหนึ่งเหมือนชายหนุ่ม สัมผัสได้ถึงเสียงกรีดร้องในความเงียบงันที่มากับสายลม ที่พัดมากระทบเขาแผ่วเบา ราวกับนี้คือเสียงความทุกข์ทรมานของผู้คน ที่ต้องสังเวยให้กับแวมไพร์เหล่านี้
สองชั่วโมงครึ่งต่อมาในที่สุดรถเกวียนจอดนิ่งสนิท คังฮยอนมูคิดว่าส่วนตรงนี้น่าจะอยู่ท้ายปราสาท ประตูตรงหน้าเป็นทางเข้าสู่คุกใต้ดิน เหยื่อที่ถูกลักพาตัวส่วนใหญ่ มักจะมีอาการสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว รณยศนับจำนวนคนที่โดนจับมามีทั้งหมดสี่สิบคน ซึ่งนับว่าเยอะมาก ๆ บรรดาแวมไพร์ก็พากันกวาดต้อนคน ให้เดินลงไปในคุกใต้ดิน
สามนาทีต่อมาคังฮยอนมู ซันจิโร่ และรณยศ ก็พากันลอดออกมาจากใต้ท้องรถเกวียน ที่นี้ดูจะไม่มีการดูแลความปลอดภัยเลย ซันจิโร่คิดว่ามันคงเกิดจากความซะล่าใจของอัลบาโร ที่คงเชื่อว่าไม่มีศัตรูคนไหนจะกล้าบุกมาในมิติคู่ขนานนี้ นับว่าเป็นความประมาทที่ไม่ควรมีในตัวผู้นำ
"จะลงไปจัดการเลยไหม" รณยศหันมาถามสหายรบทั้งสอง ก่อนจะคว้าปืนออกมาสองกระบอกคือ ปืนลูกโม่กับปืนลูกซองแฝด
"แบ่งหน้าที่กันง่ายกว่า" ซันจิโร่เสนอแนะ "ต้องมีคนดึงความสนใจพวกมัน"
"งั้นมาว่าเลย" คังฮยอนมูพูดและสวมถุงมือทหารสีดำ "รอฟังอยู่"
ซันจิโร่พยักหน้าและเริ่มแบ่งงานให้
"โอเค หน้าที่ตัวประกันปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมึงละกัน ฮยอนมู"
"ได้" คังฮยอนมูรับคำ
ซันจิโร่หันกลับมาทางรณยศ "กูกับมึงไปจัดการพวกที่อยู่ในปราสาท ล่อมาโดนตีนกันในระหว่างที่คังฮยอนมูช่วยคนอื่น"
รณยศยิ้มอย่างชอบใจ "แหม นึกว่าจะให้กูไปช่วยประกันเสียอีก"
"ไม่ล่ะ" ซันจิโร่ไม่เห็นด้วย "มันไม่ค่อยเหมาะกับมึง"
คังฮยอนมูวิ่งลงบันไดสู่คุกใต้เดิน และยังส่งโทรจิตให้สองหนุ่มว่า
[เหลือความสนุกให้กูบ้างนะเว้ย]
.
👊🏻👊🏻🗡🗡🔫🔫
.
คังฮยอนมูวิ่งลงมาเรื่อย ๆ จนมาถึงห้องกุมขัง ทว่าสิ่งที่เขาเห็นมันเป็นอะไรที่บัดซบกว่าที่คิดไว้ มันไม่ใช่แค่ห้องขังธรรมดา หากแต่ห้องขูดรีดเลือดจากบรรดาคนที่พวกมันลักพาตัวมา ชายหนุ่มเห็นร่างหลายสิบร่าง ที่ถูกพันด้วยผ้าขาวเหมือนมันมี่ ถูกขนย้ายออกไปซึ่งเขารู้ดีว่าร่างเหล่านั้นโดนกระทำอะไรมา
เขากำหมัดทั้งสองแน่นจนพลังไฟสองธาตุอย่างอัคคีและรัตติกาล ปรากฏลุกท่วมมือทั้งสองพร้อมกับดวงตาที่กลายเป็นสีดำสนิท แล้วก็พุ่งตรงเข้าไปจัดการกับแวมไพร์ที่อยู่ข้างหน้า ตนหนึ่งหัวระเบิดกระจุยทันทีที่สัมผัสโดนหมัดของคังฮยอนมู แวมไพร์อีกตนใช้กรงเล็บตะบปใส่ชายหนุ่ม แต่เขายกแขนขึ้นมาป้องกันไว้
แล้วก็สวนกลับด้วยหมัดอีกข้างอัดเข้ากลางอก พริบตาเดียวกลางอกแวมไพร์ตนนั้น ก็ระเบิดแตกออกเหลือแค่รูขนาดใหญ่ ประทับตราตรงหน้าอกเท่านั้น แวมไพร์อีกสี่ถึงห้าตนก็กรูเข้ารุมโจมตีคังฮยอนมู แต่เขาก็หันกลับมาโต้กลับได้ทันควัน บรรดาเหยื่อที่ถูกลักพาตัวต่างพากันยืนแข็งทื่อเป็นหินกันหมด
เมื่อจัดการพวกแวมไพร์ที่คุมห้องขังไว้ ก็เหลือแค่จัดการกับห้องที่พวกเรียกว่า "ห้องครัว" ซึ่งแท้จริงมันคือการนำเข็มหลายเข็ม เจาะตามร่างกายและรีดเลือดออกมา คังฮยอนมูทำการช่วยคนที่ยังมีลมหายใจและหมดลมหายใจออกมา หนึ่งในคนที่ยังรอดชีวิตอยู่ให้ข้อมูลกับชายหนุ่มว่า ด้านหลังปราสาทที่พวกมันใช้ทิ้งศพ แท้จริงมันคือทางเชื่อมไปอีกมิติหนึ่ง เคยมีคนหนีออกไปทางนั้นมาแล้วรอด
บึ้ม !
เสียงระเบิดและเเรงสั่นสะเทือนจนเพดานด้านบนถึงกับสั่นไหว คังฮยอนมูจึงหันไปทางกลุ่มพลเรือน พร้อมบอกให้ทุกคนหนีไปเส้นทางนั้น ส่วนที่เหลือเขากับเพื่อนจะจัดการเอง หลังกลุ่มผู้รอดชีวิตพากันวิ่งไปยังทางออก คังฮยอนมูก็หันมาจัดการทำลายทถกอย่างที่อยู่ในคุกใต้ดินทิ้ง
ทางฝั่งซันจิโร่และรณยศที่สามารถเรียกเจ้าบ้าน ออกมาต้อนรับทั้งสองอย่างอบอุ่น ต่างก็ต้องพากันชะงักเนื่องจากแรงสั่นสะเทือน ตามด้วยเสียงระเบิดทางด้านหลัง สองหนุ่มรู้ในทันทีว่าเป็นฝีมือของคังฮยอนมูไม่ผิดแน่ เหล่าแวมไพร์ก็ใช้เวทย์ที่สงวนเฉพาะเผ่าออกมา มันแต่ละตนกรีดผิวเนื้อซีด ๆ หยดเลือดไหลลงพื้นปรากฏเป็นตราวงแหวนเวท
"เหี้ยอะไรวะนั้น" รณยศร้องถามขึ้น
"ไสยเวทย์เลือด เป็นมนตราที่สงวนไว้แค่กับพวกแวมไพร์เท่านั้น" ซันจิโร่ตอบ
ไม่นานเสียงคำรามสุดกังวานก็ดังลั่นทั่วโถงปราสาท
"ใครบังอาจบุกรุกปราสาทของข้า !"
มาแค่เพียงเสียงก็ทำให้ร่างกายของสองหนุ่ม เกิดสั่นไหวหน่อย ๆ เพราะสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรง รวมทั้งขุมพลังที่มีมากกว่าแวมไพร์ตนอื่น ซันจิโร่รู้ในทันทีที่ว่าเป้าหมายได้ปรากฏตัวแล้ว ทันใดนั้นเองก็มีหลุมสีดำอยู่เหนือศีรษะ และในที่สุดอัลบาโรก็โผล่ออกมาจากหลุมดำ พร้อมพุ่งเข้าโจมตีใส่รณยศด้วยแส้โลหิต
ชายหนุ่มยกด้ามปืนขึ้นมาป้องกันไว้ แม้แส้โลหิตจะไม่สัมผัสโดนกาย แต่มันก็ส่งร่างของรณยศให้เซถอยไปกับพื้น ซันจิโร่ฟาดฟันใส่อัลบาโรด้วยคาตานะสองเล่ม อัลบาโรเปลี่ยนจากแส้โลหิตมาเป็นดาบขึ้นมาป้องกันตัว แรงปะทะของดาบจากสองฝ่าย ส่งผลให้ต่างคนต่างล่าถอย
"ยักษ์ ไหวไหม" ซันจิโร่ถาม
"เออ กูยังลุยไหว" รณยศตอบ
อัลบาโรแหวะยิ้มอย่างดูหมิ่นและปล่อยเวทย์โลหิต ตรงเข้าโจมตีใส่รณยศแต่ก็ถูกซันจิโร่ โผล่เข้ามาขัดขวางเอาไว้เปิดโอกาสให้รณยศยกปืนลูกซองขึ้น และเหนี่ยวไกอัดกระสุนเข้าที่หน้าท้องของอัลบาโร มันรู้สึกได้ถึงความแสบร้อนจากกระสุน ครู่ต่อมามันก็ส่งสัญญาณบางอย่างขึ้น เหล่าแวมไพร์ผู้ติดตามต่างก็พากันล่าถอย โดยมีตัวหนึ่งกดปุ่มสีแดงที่อยู่ตรงเสาต้นหนึ่ง
จากนั้นพวกมันก็พากันถอยร่นหลบหนี พอดีกับที่คังฮยอนมูตามมาสมทบ ทั้งสามตั้งใจจะตามล่าอัลบาโรกันต่อ ทว่ารณยศกลับได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น และหันปืนไปทางที่มาของเสียงดังกล่าว พริบตาเดียวฝูงปีศาจค้างคาวตัวใหญ่ก็พากันหลั่งไหลเข้ามาในห้องโถง แล้วกรูตรงเข้ามาทางสามหนุ่มทันที
รณยศจัดการยิงสู้กับปีศาจค้างคาวโดยไม่ต้องใช้ความคิด คังฮยอนมูตัดสินใจจัดการกับพวกที่บินรอบ ๆ เหนือศีรษะ ส่วนซันจิโร่ใช้ดาบคาตานะฟาดฟันเหล่าปีศาจค้างคาว โดยมีรณยศคอยช่วยสนับสนุนอยู่ไม่ห่าง เสียงปืนดังระงมแข่งกับเสียงคำรามเสียงกรีดร้องของพวกมัน คังฮยอนมูนับจำนวนฝ่ายศัตรูแล้ว
พวกมันมีจำนวนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสามสิบตน ในความคิดของเขาเชื่อว่าอัลบาโรตั้งใจเพาะเลี้ยงพวกนี้ เพื่อที่จะใช้งานบางอย่างแน่ ๆ หลังจากที่เขาพึ่งจัดการปีศาจค้างคาวตัวหนึ่งไป เขาก็เอาระเบิด C-4 ที่ติดตัวมาด้วย นำไปติดตั้งบนเพดานแล้วจึงใช้ฟีนิกซ์โทรจิต บอกกับสหายรบทั้งสองที่อยู่ด้านล่าง
[รีบออกจากปราสาท กูจะระเบิดที่นี้ซะ !]
ซันจิโร่กับรณยศรีบทำตามทันที ทั้งสามคนวิ่งตรงไปยังประตูทางออกของปราสาท คังฮยอนมูหันไปทางเพดานที่เขาติดระเบิดไว้ และเขาก็ปล่อยพลังหมัดไฟธาตุอัคคีรัตติกาล ตรงไปที่ระเบิดและเพียงไม่นาน ปราสาทสีดำที่เด่นตระหง่านท่ามกลางแสงจันทร์ ก็พังพินาศลงภายในพริบตา
ในขณะที่คังฮยอนมู ซันจิโร่ และรณยศถูกแรงระเบิดซัดทั้งสามปลิวออกมา ในช่วงจังหวะที่พวกเขาหนีพ้นประตูปราสาทมาได้
.
👊🏻👊🏻🗡🗡🔫🔫
.
"สรุปคือพี่สามคนทำลายปราสาท ฝังพวกปีศาจค้างคาวไว้ แต่อัลบาโรกับพรรคพวกหนีไปได้"
สามหนุ่มพยักหน้าตอบแทน หลังจากที่พวกเขาทำลายปราสาทเรียบร้อย ก็ถูกพาตัวกลับมาที่ศูนย์บัญชาการ ฯ เพื่อฟังรายงาน แต่ดูเหมือนภารกิจนี้จะล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะเป้าหมายคือกำจัดอัลบาโร ถึงกระนั้นมันก็ไม่ล้มเหลวซะทีเดียว เนื่องจากอัลบาโรพึ่งจะเสียที่หลบซ่อนแห่งเดียวของมันไป กว่าที่มันจะสร้างกองทัพคงใช้เวลา
"เอไลจาห์ ถามอะไรหน่อยสิ" ซันจิโร่ถาม
"อะไรเหรอครับ" เอไลจาห์มองหน้ารุ่นพี่ตัวเอง
"ใครจะเป็นคนล่าอัลบาโร"
"ออ เบื้องบนเขาส่งมอบให้กับนักรบทีมครูเซดเดอร์แล้ว คิดว่าพี่ยักษ์น่าจะรู้จัก"
รณยศขมวดคิ้วหันมาถามต่อ "ใครวะที่ว่ากูต้องรู้จัก"
"ใช่ หมอนั่นชื่อ อิเทอเนิล อยู่รุ่นที่สี่ร้อยสิบแปด" ฮิรุม่าเป็นคนตอบ
เกิดความเงียบปกคลุมชั่วขณะก่อนที่เอไลจาห์จะทำลายบรรยากาศเงียบงัน ด้วยการแนะนำให้ทั้งสามไปพักผ่อนดีกว่า เพราะอาจมีภารกิจมาอีกได้ทุกเมื่อ ซึ่งหลังจากที่กลุ่มเอไลจาห์ไม่อยู่แล้ว สามหนุ่มก็ยังไม่มีใครขยับตัวไปไหนจนกระทั่งรณยศเดินมากอดคอทั้งซันจิโร่กับคังฮยอนมู ราวกับสนิทสนมกันมาเนิ่นนาน
"เฮ้ย ไหน ๆ งานเราก็เสร็จสิ้นแล้ว.... ไปกินเหล้ากันไหม เดี๋ยวกูเลี้ยง" รณยศพูดเสียงร่าเริง
ซันจิโร่กับคังฮยอนมูหันมามองหน้ารณยศ
"กินเหล้าตั้งแต่หัววันเลยหรือ" ซันจิโร่ถาม
"ก็เออสิวะ ใครออกกฎเหรอว่าห้ามกินเหล้าเวลานี้" รณยศว่า "อีกอย่างกูอยากแนะนำมึงสองคนให้เพื่อนกูรู้จักด้วย"
คังฮยอนมูครุ่นคิดอยู่สองนาที "เออ เอาก็เอาถือว่าเป็นการดื่มเพื่อรู้จักมิตรสหายใหม่ด้วย"
"ถ้าไม่เสียหายอะไร กูไปได้ไม่มีปัญหา"
"เออ อย่าหนีกันก่อนล่ะ ไม่เมาไม่เลิกนะโว้ย"
แล้วทั้งสามก็พากันเดินกอดคอไปด้วยกัน
.
จบบริบูรณ์
👊🏻👊🏻🗡🗡🔫🔫
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รวมนิยายเรื่องสั้น By ลักกี้ หยาง
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย