14 ต.ค. 2024 เวลา 01:10 • ความคิดเห็น

มองโลกผ่าน “สี่แผ่นดิน” ตอนที่ 1 : “สี่แผ่นดิน” นวนิยายสะท้อนสังคมไทยอย่างไร ?

“ แด่ยอดนักประพันธ์แห่งบ้านซอยสวนพลู ” 9 ตุลาคม 2538 | 29 ปีแห่งการจากไป ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
- ธ.ปริทัศน์ -
รำลึก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
9 ตุลาคม เป็นวันครบรอบมรณกาลแห่งนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งใน “ปัญญาชนสยาม” ผู้หนึ่งตามความเห็นของ สายชล สัตยานุรักษ์ ซึ่งได้ตีแผ่ไว้ในหนังสือ “10 ปัญญาชนสยาม” ที่ได้ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2557 ซึ่งได้ให้นิยามหัวข้อในกาลกล่าวถึงท่านผู้นี้ว่า “การสืบทอดและการปรับเปลี่ยนความหมายของ "ชาติไทย และ "ความเป็นไทย" โดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช”
ในทรรศนะของผู้เขียนที่มีต่อ “คุณชายคึกฤทธิ์” หรือ “อาจารย์คึกฤทธิ์” ผ่านการได้สัมผัสงานเขียนที่ถือเป็นอมตะวรรณกรรมเรื่องหนึ่งของเมืองไทย คือ “4 แผ่นดิน” มองว่า คุณชายเองเป็นนักประพันธ์ที่เก่งกาจยิ่ง สมควรแก่สมสมัญญานามว่า “ปัญญาชนสยาม” เพราะได้สร้างงานเขียนที่ตราตรึงลงสู่หัวใจของผู้อ่านได้อย่างสนิทแน่น และทรงคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์ ซึ่งในปัจจุบันนี้ถือได้ว่าหาได้ยากยิ่งในหมู่ผู้ประพันธ์ทั้งหลาย
10 ปัญญาชนสยาม
ดังนั้นแล้วในวาระโอกาส 29 ปี แห่งมรณกาล ผู้เขียนจึงได้อยากนำเสนอแนวความคิด หรือทรรศนะของผู้เขียนที่มีต่อ "สี่แผ่นดิน” ซึ่งเป็นงานชิ้นเอกที่คนมักจะกล่าวถึงคุณชายคึกฤทธิ์ ในฐานะของนักเขียนผู้มากความสามารถซึ่งได้ฝากตำนานไว้กับวงการการประพันธ์ไทยตราบนิรันดร์
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
“สี่แผ่นดิน” | ประพันธ์โดย : ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ | แสดงทรรศนะโดย : ธ.ปริทัศน์
อารัมภบท
หากกล่าวถึงนวนิยายไทยที่เรียกได้ว่ามีความอิงประวัติศาสตร์ หรือที่นิยมเรียกกันอย่างศัพท์สมัยใหม่ว่า “นิยายพีเรียด” ซึ่งมอบกลิ่นอายของวิถีชีวิตชาวรั้วชาววัง หรือชาวกรุงรัตนโกสินทร์ในช่วงกลางจนถึงยุคเกือบจะปัจจุบัน โดยผู้เขียนเชื่อว่าหนึ่งในเรื่องที่ยังคงติดตราตรึงอยู่ในดวงใจของเหล่านักอ่าน หรือแม้แต่ติดอยู่ในใจของผู้เขียนเอง คงจะหนีไม้พ้นเรื่อง “สี่แผ่นดิน” จากปลายปากกาของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ซึ่งถูกนำมาผลิตซ้ำในรูปแบบต่าง ๆ
ผู้เขียนเองก็ได้มีโอกาสอ่านวรรณกรรมเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ และได้ทราบซึ้งถึงในความเป็นไปของตัวละครทั้งหลายที่โล่นแล่นแสดงบทบาทผ่านอักขระบนแผ่นกระดาษ ทั้งตัวละคร “แม่พลอย” ผู้เป็นต้นมูลแห่งความเป็น “สี่แผ่นดิน” เอง หรือตัวละครอื่น ๆ อย่างช้อย คุณเปรม อั้น อ๊อด อ้น ฯลฯ ซึ่งมีมากมายเหลือที่จะกล่าวได้หมด แต่ในโอกาสนี้ ผู้เขียนจะขออนุญาตยกประเด็นที่เป็นมุมมองของผู้เขียนซึ่งมีต่อ “สี่แผ่นดิน” โดยเป็นการให้ข้อสังเกตเท่านั้น
ซึ่งจะได้เสนอให้ท่านผู้อ่านได้อ่านตอนละ 1 บทความ เพื่อให้ท่านได้อ่านมุมมองที่มีการขยายความอย่างละเอียด และทำให้ท่านได้เห็นมุมมองของผู้เขียนอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นในประเด็นนั้น ๆ
  • ประเด็นที่ 1 : “สี่แผ่นดิน” นวนิยายสะท้อนสังคมไทยอย่างไร ?
นวนิยายสี่แผ่นดิน
ในประเด็นนี้หายท่านที่เคยอ่านสี่แผ่นดินอาจจะสงสัยว่า ทำไมนวนิยายเรื่องนี้จะไม่สะท้อนสังคมเล่า เพราะนวนิยายเรื่องนี้สะท้อนชีวิตของ “พลอย” ตัวละครหลักที่ดำเนินชีวิตอยู่ในช่วงรัชกาลที่ 5 – 8 ซึ่งอยู่มาทั้งในรั้วในวัง ซึ่งสะท้อนชีวิตของสาวชาววัง และอยู่ในบ้าน (บ้านที่คลองพ่อยม ซึ่งเป็นบ้านของคุณเปรม) มันย่อมสะท้อนชีวิตแน่นอน แต่สิ่งที่ผู้เขียนจะสื่อสารนั้นคือ คุณชายคึกฤทธิ์ต้องการสื่อสาร “สังคม” ในรูปแบบใด
หากเรามองในมุมมองของพลอย จริงอยู่ที่นวนิยายเรื่องนี้สะท้อนชีวิตของสาวชาววังอย่างพลอย ที่ได้ทำงานสนองพระเดชพระคุณ “เสด็จ” ซึ่งเป็นชนชั้นเจ้านายที่เป็นราชนารี โดยหากเรามองในแง่ของสังคม ย่อมทำให้รู้ความเป็นอยู่หรือข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของคนในราชสำนักช่วงรัชกาลที่ 5 ผ่านเรื่องราว เช่น การใช้ชีวิตของคุณข้าหลวงในสมัยนั้นที่แต่งกายนุ่งห่มตามสีประจำวันกันทุกคน บรรยากาศบริเวณแถวเต๊ง หรือแม้แต่ประเพณีการโกนจุกของพลอย และช้อย ที่จัดขึ้น ณ บ้านของช้อยนั้น ก็เป็นการสะท้อนสังคมอย่างเห็นได้อย่างเด่นชัด
แต่เราทั้งหลายก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สังคมที่สี่แผ่นดินถ่ายทอดออกมา คือสังคมของชนชั้นสูง เพราะพลอยเองก็เป็นลูกพระน้ำพระยา เป็นลูกของผู้มีอันจะกิน ทั้งยังมีมารดาซึ่งเป็นคนรับใช้ใกล้ชิดสนิทสนมกับ “เสด็จ” ซึ่งเป็นชนชั้นสูงระดับเจ้านาย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ชีวิตของพลอยจะถือได้ว่า ไม่ลำบากมากนัก แม้ชีวิตจะผกผันต้องย้ายที่อยู่จากบ้านที่เคยอยู่ไปอยู่ในวัง แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่สะดวกสบายไม่น้อย และเข้าไปอยู่ในสถานะ “ข้าหลวงของเสด็จ”
ซึ่งแม้ว่าคำว่า “ข้าหลวง” จะหมายถึง “คนรับใช้ของเจ้านาย” ก็จริง แต่ก็อยู่ในฐานะที่เป็น “คนรับใช้ที่มีศักดินาสูง” ไม่ใช่อย่าง “ผาด” ซึ่งเป็น “บ่าว” หรือ “คนรับใช้” โดยแท้
ผู้เขียนจึงมองว่า “สี่แผ่นดิน ถูกสร้างให้คนทั้งหลายมองว่า อดีตนั้นสวยงาม มีแต่ความรื่นรมย์ แต่อาจจะลืมไปว่า มันน่ารื่นรมย์เพราะตัวละครหลักอย่าง “พลอย” ซึ่งเป็นแกนการดำเนินเรื่องเป็นชนชั้นกลาง และต่อมาในช่วงตั้งแต่กลางแห่งชีวิต เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นสูงก็ได้ เพราะได้สามีเป็นขุนนางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ถวายการรับใช้พระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิด ซ้ำยังเป็นเศรษฐีมาแต่ต้นตระกูล จึงไม่แปลกที่ชีวิตของพลอยจะดี มีทั้งเงินทองใช้จ่ายอย่างสะดวกสบาย แม้ในช่วงวิกฤตก็ไม่ลำบากมากจนเกินไป
ซึ่งหากแม่พลอยเธอบังเอิญไปเกิดเป็นไพร่ทั่ว ๆ ไป หรือไปเป็นหญิงชาวบ้านในชนบท โดยไม่มีพ่อเป็นขุนนาง หรือไม่ได้มีแม่ที่รู้จักกับเจ้านายในราชสำนัก ก็คงจะยากที่จะมีความสุขสบายดังที่เราทั้งหลายได้สัมผัสจากในเรื่อง เธอคงไม่มีเวลาจะเย็บปักถักร้อย ทำงานฝีมือ หรือแม้แต่ได้เรียนหนังสือ
เพราะสังคมในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังอยู่ในยุคแรกของการปฏิวัติประเทศจากระบอบการปกครองแบบเก่าที่ใช้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา (เวียง วัง คลัง นา) สู่ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างแท้จริง รวมถึงการปฏิรูประบบการปกครองให้อยู่ในขั้นที่เรียกว่า รัฐชาติ (Nation states) คือการทำลายกำแพงความเป็นรัฐเล็ก ๆ ที่เคยเป็นประเทศราชมาก่อนตามแนวคิดแบบ จักรวรรดินิยมของประเทศในแถบนี้ (ในแถบ Southeast Asia) ซึ่งเป็นไปเพื่อการสร้างความเป็นอารยะตามอุดมคติของชาติอาณานิคม
ซึ่งเป็นยุคที่การพัฒนาแบบใหม่เพิ่งจะเริ่มต้น ทั้งระบบสาธารณูปโภค
การคมนาคม หรือการเมืองการปกครองที่เราเพิ่งจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ระบบมณฑลเทศาภิบาล เกิดการนำเข้าวิทยาการต่าง ๆ
ดังนั้นชนชั้นล่างยังไม่ค่อยจะเข้าถึงสิ่งที่เรียกกันว่า “ความเจริญ” และยังคงดำรงชีวิตตามคติเดิมที่ดำเนินกันมาแต่โบราณกาล คือยังคงเป็นสังคมโบราณที่เน้นการผลิตเพื่อการบริโภคเป็นหลัก และเป็นสังคมที่เน้นการดำรงชีวิตเป็นหลัก โดยปราศจากความคิดแบบทุนนิยม หรือ แนวความคิดที่มุ่งเน้นสู่การพัฒนาสถานะความเป็นอยู่ที่สูงขึ้นเป็นหลัก
แม้ในทรรศนะของชนชั้นล่างในขณะนั้นจะไม่ได้มองว่าตกระกำลำบาก แต่ก็คงไม่ได้สุขสบายชนิดที่ มีบ้านหลังโตหลังงาม มีเงินทองใช้ไม่ขาด หรืออื่น ๆ สุดที่จะบรรยายความไฮโซของแม่พลอย ดังนั้นแล้ว หากกล่าวทรรศนะของผู้เขียนโดยสรุปแล้วคือ สี่แผ่นดินมุ่งฉายมุมมองในอดีตของชนชั้นกลางค่อนไปถึงสูง เพื่อแต่งแต้มสีสันให้กับอดีตในกรอบมุมมองเดียว”
"สี่แผ่นดินมุ่งฉายมุมมองในอดีตของชนชั้นกลางค่อนไปถึงสูง เพื่อแต่งแต้มสีสันให้กับอดีตในกรอบมุมมองเดียว”
- ธ.ปริทัศน์ -
อ้างอิง
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
ภาพประกอบ 1 จาก Facebook โดยเพจ ส่วนวัฒนธรรม Culture Division (ภาพประกอบที่ 1) / (ค้นหาเมื่อวันที่ 11/10/67)
ภาพประกอบ 2 โดย ผู้เขียน
ภาพประกอบ 3 จาก Facebook โดยเพจ ห้องสมุด (ภาพประกอบที่ 3) / (ค้นหาเมื่อวันที่ 11/10/67)
ภาพประกอบ 4 จาก facebook โดจเพจ FM96.5 (ภาพประกอบที่ 4) / (ค้นหาเมื่อวันที่ 11 /10/67)
ภาพปกจาก Canva โดย ผู้เขียน
โฆษณา