Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บ
บันทึกปลายปากกา
•
ติดตาม
18 ต.ค. 2024 เวลา 07:01 • นิยาย เรื่องสั้น
มองโลกผ่าน “สี่แผ่นดิน” ตอนที่ 2 : “สี่แผ่นดิน” กับเกล็ดทางประวัติศาสตร์ (1 : ขนบในวัง)
“สี่แผ่นดิน” | ประพันธ์โดย : ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ | แสดงทรรศนะโดย : ธ.ปริทัศน์
ประเด็นที่ 2 : “สี่แผ่นดิน” กับเกล็ดทางประวัติศาสตร์ (1 : ขนบในวัง)
ในประเด็นนี้ผู้เขียนจะต้องขออนุญาตแยกออกเป็นประเด็นย่อย ๆ เนื่องจากเป็นหัวข้อที่น่าสนใจและมีขอบข่ายของเรื่องที่กว้าง ซึ่งหากจะเขียนให้จบลงในตอนเดียวก็เห็นจะยืดยาวเสียจนเกินไป และจะขออนุญาตแสดงความชื่นชม “คุณชายคึกฤทธิ์” ว่าท่านเป็นผู้ที่มีความสามารถในการเขียนชั้นบรมครูทีเดียว เพราะไม่ใช่นักเขียนทุกคนจะสามารถนำเอาสาระความรู้มาแทรกลงในนวนิยายได้อย่างแนบเนียนและน่าติดตามอย่างยิ่ง
สี่แผ่นดิน
ดังนั้น “สี่แผ่นดิน” จึงถือเป็นนวนิยายที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่ง ในฐานะที่บันทึก “เกล็ด” เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ไว้มากมาย และหนึ่งในเรื่องที่มีการบันทึกไว้อย่างแพร่หลายคือ “เรื่องราวขนบธรรมเนียมในวัง” หรือหากจะกล่าวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นคือ “ธรรมเนียมในราชสำนักฝ่ายใน” ซึ่งมีอยู่โดยตลอดทั้งเรื่องของสี่แผ่นดิน ดังเช่นเมื่อแรกที่ “พลอย” เข้าวังหลวงนั้นก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจคือ “การเดินข้ามธรณีประตูวัง” หรือ “ห้ามเหยียบธรณีประตูวัง” ซึ่งเป็นที่ยึดถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดของข้าราชสำนัก
โดยหากใครเผลอพลั้งทำไป ก็ต้องมากราบขอขมาที่ตรงธรณีประตูนั้น เนื่องจากคนไทยเองมีความเชื่อเรื่อง “ธรณีประตู” ซึ่งจะเป็นจุดที่มีเทพยดาหรือผีบ้านผีเรือนคอยปกปักษ์ดูแล และผู้เขียนอยากฝากมุมมองอีกทางหนึ่งไว้ว่า แนวความเชื่อเรื่องเทวดารักษาบ้านในบริเวณทางเข้าหรือธรณีประตูนั้น เป็นแนวความเชื่อที่มีอยู่อย่างแพร่หลายในแต่ละวัฒนธรรม เช่น “เซี่ยวกาง” ซึ่งเป็นเทพเจ้าทวารบาลตามความเชื่อของจีน หรือ “เยนุส : Janus”ตามความเชื่อของชาวโรมัน ว่าเป็นเทวดาผู้ชายเฝ้าอยู่บริเวณประตูเรือน
อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมคือ “ธรรมเนียมการนุ่งห่ม” ซึ่งจะปรากฏอยู่ในช่วงต้น ๆ ที่พลอยได้เข้าไปในวัง และได้พบกับธรรมเนียม หรือ ระเบียบการนุ่งห่มของชาววัง ซึ่งจะนุ่งห่มตามสีประจำวัน โดยเป็นธรรมเนียมที่ยึดถือปฏิบัติกันอย่างเป็นแบบแผนหลักของราชสำนักฝ่ายใน ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งตามหลักฐานที่สืบค้นได้ หรือที่มักจะนำมาอ้างอิงกันอย่างแพร่หลายคือ ตำราสวัสดิรักษา หรือ สวัสดิรักษาคำกลอน ของ พระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่)
สวัสดิรักษาคำกลอนของสุนทรภู่
ซึ่งประพันธ์ขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยฯ รัชกาลที่ 2 ที่มีจุดประสงค์ในการบันทึกสิ่งที่ถือว่าเป็นมงคล หรือถูกโฉลกตามความเชื่อแต่โบราณ ซึ่งธรรมเนียมการนุ่งห่มสีตามวันต่าง ๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้บรรจุไว้ในตำราสวัสดิรักษา ดังนี้
“ อนึ่งภูษาผ้าทรงณรงค์รบ ให้มีครบเครื่องเสร็จทั้งเจ็ดสี
วันอาทิตย์สิทธิโชคโฉลกดี เอาเครื่องสีแดงทรงเป็นมงคล
เครื่องวันจันทร์นั้นควรสีนวลขา จะยืนยาวชันษาสถาผล
อังคารม่วงช่วงงามสีครามปน เป็นมงคลขัตติยาเข้าราวี
เครื่องวันพุธสุดสีด้วยสีแสด กับเหลือบแปดปนประดับสลับสี
วันพฤหัสจัดเครื่องเขียวเหลืองดี วันศุกร์สีเมฆหมอกออกสงคราม
วันเสาร์ทรงดำจึงล้ำเลิศ แสนประเสริฐเสี้ยนศึกจะนึกขาม”
ทั้งนี้ ในสี่แผ่นดินได้บรรยายถึงลักษณะการนุ่งห่มของฝ่ายในไว้ในลักษณะที่อาจจะแตกต่างจาก ตำราสวัสดิรักษาบ้างบางประการ ซึ่งตามข้อสันนิษฐานของผู้เขียนมองไว้สองมุมมองคือ จากคำประพันธ์ของสวัสดิรักษาเป็นการแต่งกายสำหรับทหารซึ่งจะแต่งกายไปออกรบ จึงทำให้ลักษณะการแต่งกายของฝ่ายในซึ่งเป็นหญิงนั้น ต้องมีการดัดแปลงให้มีความเหมาะสมและเข้ากับบริบทมากขึ้น
อีกมุมมองหนึ่งคือ อาจจะมีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มความสวยงาม หรือตามความนิยมโดยยังคงยืนพื้นฐานบางประการของงตำราสวัสดิรักษา โดยในสี่แผ่นดินนั้นได้บรรยายไว้ดังนี้
“วันจันทร์ นุ่งเหลืองอ่อน ห่มน้ำเงินอ่อน หรือจะห่มบานเย็นก็ได้ หรือถ้านุ่งสีน้ำเงินนกพิราบต้อง ห่มจำปาแดง
วันอังคาร นุ่งสีปูนหรือม่วงเม็ดมะปรางแล้วห่มโศก หรือถ้านุ่งโศกหรือเขียวอ่อน ต้องห่มม่วงอ่อน
วันพุธ นุ่งสีถั่วก็ได้ สีเหล็กก็ได้แล้วห่มจำปา
วันพฤหัส นุ่งเขียวใบไม้ ห่มแดงเลือดนก หรือนุ่งแสดห่มเขียวอ่อน
วันศุกร์ นุ่งน้ำเงินแก่ ห่มเหลือง
วันเสาร์ นุ่งเม็ดมะปราง ห่มโศก หรือนุ่งผ้าลายพื้นม่วง ห่มโศก
วันอาทิตย์ นุ่งเขียว ห่มแดง หรือนุ่งผ้าลายพื้นสีลิ้นจี่ หรือสีเลือดหมู ห่มโศก”
โดยธรรมเนียมการนุ่งห่มดังกล่าวยังถือเป็นกฎเกณฑ์ที่สำคัญมากสำหรับฝ่ายใน เพราะท่านผู้มีอำนาจในเวลานั้นท่านถือเคร่งครัดมากในธรรมเนียมอย่างนี้ ซึ่งหากท่านทั้งหลายได้อ่านเอกสารในทางประวัติศาสตร์อาจจะพบได้ว่าอีกยุคสมัยหนึ่งที่ถือเป็นยุคที่เคร่งครัดในขนบธรรมเนียมอย่างโบราณในสมัยรัตนโกสินทร์นั้น ก็คงหนีไม่พ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งถือเป็นพระราชนิยมในการถือขนบโบราณ และสาเหตุที่ส่งอิทธิพลนี้มาสู่สมัยที่พลอยอยู่ คือ สมัยรัชกาลที่ 5 นั้น
โดยสามารถอธิบายได้ว่า เพราะในยุคต้นถึงค่อนมาทางกลางของรัชกาลนั้น เจ้านายผู้เป็นใหญ่ในวังคือเจ้านายที่ท่านทรงเติบโตมาในสมัยรัชกาลที่ 3 เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชฐ ที่ทรงรักษากุญแจพระราชฐานชั้นใน และ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดา ที่ทรงถวายพระอักษรเบื้องต้นแด่พระพุทธเจ้าหลวง ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 3
หรืออีกองค์หนึ่งคือ สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยิกาเธอ กรมพระยาสุดารัตน์ราชประยูร ซึ่งทรงถือเป็นดุจร่มโพธิ์ทองของชาวฝ่ายใน เนื่องจากทรงเป็น “เสด็จยาย” ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ที่ทรงชุบเลี้ยงมาตั้งแต่ยังทรงเป็นเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ ดังนั้นแล้ว หากจะกล่าวโดยลำลองคือ เมื่อผู้ทรงเป็นผู้ควบคุมนั้นท่านถือเอาธรรมเนียมที่เคร่งครัดอย่างรัชกาลที่ 3 ก็จึงถือเอาธรรมเนียมที่ท่านถือเป็นหลัก
โดยเมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้แล้ว ผู้เขียนก็ขออนุญาตหยิบยกเอาคำบันทึกของ หม่อมเจ้าหญิงจงจิตรถนอม ดิศกุล ที่ทรงบันทึกเล่าถึงหน้าที่หรือฝ่ายงานต่าง ๆ ของฝ่ายในในสมัยรัชกาลที่ 5 ไว้ ซึ่งจะสรุปให้ท่านทั้งหลายเข้าในมาพอสังเขป คือ
1. หน้าที่รักษากุญแจพระราชฐานชั้นใน ได้แก่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชฐ
2. หน้าที่ดูแลบาทบริจาริกกาหรือเจ้าจอมในพระมหากษัตริย์ ได้แก่ คุณท้าววรจันทร์ (เจ้าจอมมารดาวาด ในรัชการที่ 4)
3. หน้าที่ดูแลพระคลังใน (ดูแลคลังเก็บอุปกรณ์ เครื่องอุปโภคบริโภค หรือ พัสดุที่มีค่าสูง) ได้แก่ ท้าวทรงกันดาร (เจ้าจอมมารดาหุ่น ในรัชกาลที่ 4)
4. หน้าที่ดูแลพนักงานนมัสการ (ทำธูปเทียนหรือจัดดอกไม้บูชาพระ จัดพระแท่นทรงบูชาและนมัสการในงานพระราชพิธีต่าง ๆ) ได้แก่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดา (เมื่อสิ้นพระชนม์จึงเป็นหน้าที่ของสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าฯ สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี)
5. อธิบดีพระราชวังฝ่ายใน ได้แก่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี หรือที่เรียกกันโดยลำลอง ซึ่งปรากฏในเรื่องสี่แผ่นดินด้วยว่า “เสด็จอธิบดี”
6. หน้าที่เกณฑ์ดอกไม้เวลางานพระราชพิธี ได้แก่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชฐ
7. หน้าที่กำกับพนักงานเครื่องต้น ได้แก่ พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา
นอกจากนี้ เกล็ดเรื่องเครื่องแต่งกายนุ่งห่มในเรื่องสี่แผ่นดินยังไม่หมด ซึ่งอีกเรื่องที่ถือเป็นเกล็ดจากคำบอกเล่าของผู้มีชีวิตร่วมสมัยกับคุณชายคึกฤทธิ์ฯ ซึ่งท่านผู้นี้ถือได้ว่า เป็นคู่คิดคู่แค้นกันกับคุณชายอีกด้วย คือ คำบอกเล่าจาก “ส.ศิวรักษ์” ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับช่อง ธนดิศ ในหัวข้อคลิป “เจ้าหญิงที่เก่ง-กล้า-ดี : ม.จ.จงจิตรถนอม ดิศกุล” ซึ่งได้บันทึกและเผยแพร่ในปี พ.ศ.2564 ซึ่งอาจารย์สุลักษณ์ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
“เรื่อง สี่แผ่นดิน คุณคึกฤทธิ์มาได้ไปจากท่านแทบทั้งนั้น เพราะคุณคึกฤทธิ์เกิดไม่ทันรัชกาลที่ 5 เรื่องในวังเป็นอย่างไร คุณคึกฤทธิ์มาเฝ้าถามท่านหมดเลย”
ผู้เขียนเองต้องขอขอบคุณไปถึงช่อง ธนดิศ ด้วย ที่เป็นส่วนหนึ่งในการบันทึกเกล็ดของเรื่องราวทางงประวัติศาสตร์ แม้จะเป็นจากคำบอกเล่า ซึ่งยากที่จะยึดถือเอาได้ในทางวิชาการ แต่ก็ถือเป็นสีสันในทางเกล็ดเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งนี้ ผู้เขียนจึงได้นำมุมมองที่อาจจะแปลกใหม่มาเสนอให้ท่านทั้งหลายได้อ่าน เพื่อปรุงสติและประดับปัญญาให้เพิ่มพูนขึ้นตามลำดับ
คลิป เจ้าหญิงที่เก่ง-กล้า-ดี : ม.จ.จงจิตรถนอม ดิศกุล
ทั้งนี้
ผู้เขียนจึงได้นำมุมมองที่อาจจะแปลกใหม่มาเสนอให้ท่านทั้งหลายได้อ่าน
เพื่อปรุงสติและประดับปัญญาให้เพิ่มพูนขึ้นตามลำดับ
- ธ.ปริทัศน์ -
เรื่องเล่า
ความรู้
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย