3 พ.ย. 2024 เวลา 14:47 • ไลฟ์สไตล์

ชีวิตและความฝันของผู้คนในยุค 90’s

ทศวรรษปี 1990 (ค.ศ. 1990 - 1999) เป็นทศวรรษที่เริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2533 และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2542 เป็นที่รู้จักในนาม "ทศวรรษหลังสงครามเย็น"
เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตไม่นานนัก คนจำนวนไม่น้อยมองว่า ทศวรรษที่ 1990 อาจเป็นทศวรรษที่ ‘ดีที่สุด’ เท่าที่มนุษยชาติเคยมีก็เป็นได้ กล่าวกันว่า ยุคเก้าศูนย์ คือยุคที่เศรษฐกิจโลกน่าจะรุ่งเรืองเฟื่องฟูที่สุด เพราะมันคือการก่อร่างสร้างตัวหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ค่อย ๆ ฟูมฟักตัวเองยาวนานราว 30-40 ปี
New York Times เคยรายงานว่า ระหว่างปี 1990-1999 รายได้มัธยฐานของคนอเมริกันเติบโตปีละ 10% ทุกปี แต่พอถึงปี 2000 ตัวเลขเริ่มตกลงไปอยู่ที่ต่ำกว่า 9% เป็นครั้งแรก แถมยังเป็นยุคแห่งการแพร่ขยายของทุนนิยม (Era of Spreading Capitalism) ที่กว้างขวางที่สุดเท่าที่เคยมีมา
คำว่า Privatization ที่เราพบกับกิจการสาธารณูปโภคใหญ่ ๆ ในไทยหลายแห่ง ก็เกิดขึ้น (หรือเริ่มเกิดขึ้น) จำนวนมากในยุคเก้าศูนย์นี้เอง แม้แต่ในจีนและเวียดนาม ที่ก่อนหน้านี้เคยปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสม์ ก็ต้องหันมาปรับตัวรับกับระบอบทุนนิยมมากขึ้น และยังส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ยุคนี้เราจึงเห็นความหลากหลายของดนตรีในแบบที่แทบไม่เคยพบเห็นมาก่อนในยุคอื่น ๆ
เพราะในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงราวสิบปี เกิดดนตรีแบบ ‘ลูกกวาด’ ขึ้นจำนวนมาก ด้วยดนตรีง่าย ๆ ติดหู และเกิดวงดนตรีประเภท ‘บอยแบนด์’ ที่สมาชิกในวงเล่นดนตรีไม่เป็น หรือร้องเพลงไม่ได้เก่ง แต่ใช้เทคโนโลยีการอัดเสียงช่วย ส่วนในโลกของโทรทัศน์ มีผู้วิจารณ์ว่า ยุคเก้าศูนย์เป็นยุคที่มีรายการโทรทัศน์ดี ๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะรายการประเภทซีรีส์ทั้งหลาย เราได้เห็นปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ในด้านการแสดงมากมาย
หนังที่ได้รับรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมีตั้งแต่ Dances with Wolves, Silence of the Lambs, Schindler’s List, Forrest Gump, Titanic ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหนังที่ยังอยู่ในความทรงจำของผู้คนทั้งสิ้น ไม่นับหนังอีกบางเรื่องที่แม้ไม่ได้รับรางวัล แต่ก็กลายเป็นหนึ่งในหนังที่ผู้คนไม่มีวันลืมตลอดกาล อย่างเช่น Shawshank Redemption, Men in Black, Ghost, Home Alone, The Lion King และอื่น ๆ อีกมากมาย
ยุค 90’s ดูจะเป็นทศวรรษที่หลายคนโหยหา ตามอารมณ์ที่ฝรั่งเรียกว่า “Nostalgia” เมื่อลองสอบถามคนที่เติบโตในยุค 90’s ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเจเนอเรชัน “เอ็กซ์” และ “วาย” ตอนต้น ๆ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกัน ว่าในห้วงเวลาดังกล่าวคือยุคสมัยที่เพลงเพราะ อาหารอร่อย อิสรภาพทางความคิดอย่างแท้จริง (เพราะไม่มีสื่อโซเชียลมีเดียมาชักนำ) และเหนืออื่นใดแม้จะมีอินเทอร์เน็ตบนโลกใบนี้เพื่อช่วยให้การสื่อสารสะดวกขึ้น แต่ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย เป็นช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตได้ง่ายกว่าในปัจจุบัน ที่สังคมเต็มไปด้วยความคิดเห็นและดราม่า
มาฟังความเห็นของผู้คนในยุคนั้น
90’s คือยุคแห่ง อนาล็อก+ดิจิทัล ความคลาสสิคที่ส่งผ่านมาจากยุค 80’s บวกกับ เสน่ห์ที่ต้องใช้ความพยายามในแทบทุกเรื่องแม้จะมีเทคโนโลยีแต่ไม่ได้ดีเท่าปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้สร้าง เรื่องราวมากมายในชีวิต สิ่งที่คนมีมากกว่าในปัจจุบันคือการปฏิสัมพันธ์พูดคุยสื่อสารกัน สิ่งแวดล้อมดีกว่าปัจจุบัน
มันทำให้ได้รับบรรยากาศและกลิ่นอายของธรรมชาติ บวกกับ ความสไลว์ไลฟ์ ไม่เหมือนในยุคนี้เมื่อโลกหมุนเข้าสู่ “ยุคดิจิทัล” นาฬิกาชีวิตคนเรา และทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ต่างหมุนในจังหวะเร็วขึ้น ก็ทำให้ทุกอย่างขยับ – ปรับเปลี่ยนรวดเร็ว ชนิดที่ว่าหากจะอยู่รอดได้ในยุคนี้
ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ หรือคนทั่วไป ต้องมีความพร้อมที่จะปรับตัวตลอดเวลา ความฝันของเรานั้นยิ่งใหญ่แต่แฝงไปด้วยความเรียบง่ายไม่ซับซ้อนเหมือนปัจจุบัน “ตัวผมเองที่เคยเป็นเด็กประถมในยุคนั้น”
ยุค 90' ไม่มีโซเชี่ยล ไม่มีดราม่า มีเขียนจดหมาย ความอดทนรอคือสิ่งที่มีค่า อากาศดี คนมีน้ำใจต่อกัน ไม่เร่งรีบเท่ายุคปัจจุบัน มีดีเจคลื่นวิทยุเป็นเพื่อน มีรายการเพลง,การ์ตูนดีๆให้ดูกัน.ไม่ได้เป็นยุคล้าสมัย เพราะเป็นยุคที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าฯลฯ บรรยายไม่หมด..รู้แต่มันคือยุคที่โคตรดี (สำหรับผมชอบยุค90')ที่สุด “บรรณาธิการที่เคยเป็นนักศึกษาในยุคนั้น กล่าว”
ทำไมหลายคนถึงมองว่ายุค 90 เป็น “ยุคทอง”?
มันเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่อินเทอร์เน็ตไม่ใช่ส่วนสำคัญในชีวิตของเรา เมื่อก่อนทุกอย่างดีขึ้นมากถ้าพูดตามตรง แต่มันยากที่จะอธิบาย คุณอาจเขียนหนังสือหลายเล่มโดยพยายามอ่านให้จบ วิธีที่ดีที่สุดที่ฉันสามารถอธิบายได้คือสิ่งต่าง ๆ ชัดเจนและเรียบง่ายยิ่งขึ้น คุณมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าคุณและมันก็เป็นเช่นนั้น ผู้คนในชีวิตของคุณคือคนที่คุณเห็นหรือคนที่คุณสามารถรับโทรศัพท์และโทรหาได้
ผู้คนถ่อมตัวลง ผู้คนไม่ได้คิดว่าพวกเขารู้ทุกอย่าง ตอนนี้ใครๆ ก็คิดว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและการเมือง และใช้ศัพท์เฉพาะทุกประเภทและโต้เถียงกัน นั่นไม่ได้เกิดขึ้นมากในตอนนั้น คุณไม่รู้สึกแย่กับการมีงานที่น่าเบื่อเป็นประจำ คุณสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ในร้านค้าปลีกและมีที่อยู่อาศัยและรู้สึกเหมือนมีชีวิต “คุณ Sean Quinn จากแคลิฟอเนีย กล่าว”
ที่มา:
โฆษณา