11 พ.ย. 2024 เวลา 13:10 • หุ้น & เศรษฐกิจ

อนาคตของโรงหนังเมเจอร์ ความได้เปรียบเรื่อง Window การฉายหนังที่กำลังถูกทำลายด้วยตัวเอง

Fun Fact :
🎬 ตลาดใหญ่ที่สุดของโรงหนังในปัจจุบันคือหนังไทย โดยหนังทำเงินสูงสุด 5 อันดับแรกของปี 2023 คือ สัปเหร่อ, ธี่หยด, Fast X, 4 KIngs II, และ John Wick 4 ตามลำดับ ภาพรวม 2 ปีล่าสุดมีคนดูหนังไทยมากกว่าหนังฮอลลีวูดเสียอีก อันเนื่องมาจากสตูดิโอในไทยเริ่มกลับมาผลิตหนังกันมากขึ้น (ไตรมาส 2 ของปีนี้ หนังทำเงินสูงสุดคือ หลานม่า, อนงค์, Godzilla x Kong: The New Empire, เทอม 3, และ Inside Out 2 ตามลำดับ)
สัดส่วนรายได้รวมหนังไทย 53% หนังฮอลลีวูด 47%
📽️ เฉพาะในประเทศไทย เครือเมเจอร์มีจอสำหรับฉายหนังถึง 811 จอ แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีถึง 367 จอ ส่วนต่างจังหวัดมีรวมกัน 444 จอ
🍿 สัดส่วนรายได้ของเครือเมเจอร์ มาจากการฉายหนังประมาณ 50% / อาหารและเครื่องดื่มประมาณ 25% / โฆษณาประมาณ 10% / ส่วนที่เหลือเป็นธุรกิจโบว์ลิ่ง, ให้เช่าพื้นที่, และคอนเทนต์หนัง
จุดแข็งของโรงภาพยนตร์ในอดีตเกิดจาก Window การฉายหนังที่ให้ความสำคัญกับโรงหนังเป็นลำดับแรก ซึ่งโดยปกติเฉลี่ยหนังจะมีอายุการยืนฉายในโรงประมาณ 4 สัปดาห์ > พอหนังออกโรงก็จะเข้าสู่การฉายบนเครื่องบิน ซึ่งสาเหตุหลักคือถูกก็อปปี้ได้ยากและเพิ่มความพิเศษให้ลูกค้าสายการบิน > จากนั้นในอดีตหนังจะเข้าฉายในเคเบิ้ลที่เก็บค่าสมาชิก, ลงแผ่น DVD, หรือในยุคสตรีมมิ่งก็จะมีให้เช่าหรือซื้อดูหนังใหม่เพิ่งออกจากโรงเป็นเรื่อง ๆ
และประมาณ 1-2 ปีก็จะเข้าสู่ระดับแมสมากขึ้น เช่น สามารถดูได้บนสตรีมมิ่งที่จ่ายค่าสมาชิกรายเดือน > พีเรียดสุดท้ายคือหนังไปสู่ฟรีทีวี เช่น Big Cinema ช่อง 7
จุดแข็งในอดีตของโรงภาพยนตร์อีกอย่างคือ ที่ผ่านมาเทคโนโลยีจอต่าง ๆ ยังมีข้อจำกัดสูงมาก การดูโทรทัศน์จอตู้หรือในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเพิ่งจะพัฒนาเข้าสู่ทีวีจอแบน ซึ่งความคมชัดเทียบเท่าการดูในโรงหนังไม่ได้, จอมือถือสมัยก่อนมีขนาดเล็ก อีกทั้งในอดีตแต่ละบ้านจะมีจอส่วนกลางใช้ร่วมกัน ซึ่งจุดแข็งเรื่องจอฉายหนังค่อย ๆ ถูกทำลายลงตามการพัฒนาของเทคโนโลยี ในปัจจุบันทุกคนมีจอส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นจอสมาร์ทโฟน, จอแท็ปเล็ต, หรือกระทั่งทีวีส่วนตัวที่ราคาจับต้องได้กว่าในอดีต
เช่นเดียวกับ Window การฉายหนังที่สั่นสะเทือนจากการผลิต Content ของ Netflix จากสมัยก่อนที่ทุกสตูดิโอให้ความสำคัญกับการฉายหนังในโรงเป็นลำดับแรก มาสู่ยุคที่การฉายหนังบนสตรีมมิ่งเป็นที่แรกคือเรื่องปกติ
โดยส่วนตัวเราเชื่อใน On Demand ย่อมชนะ Schedule อยู่วันยันค่ำ ความสะดวกของการดูหนังเวลาไหนและที่ไหนก็ได้ มันสบายกว่าการเดินทางไปโรงหนังเพื่อเลือกรอบฉายหนังอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
สิ่งที่ทำให้โรงหนังยังได้เปรียบเหลือเพียงแค่ Window การฉายหนังจากสตูดิโอต่าง ๆ ที่ยังคงเลือกฉายหนังในโรงก่อนเป็นลำดับแรก แต่ขณะเดียวกันพีเรียดหลังจากหนังออกโรงก็ย่นระยะเข้ามาแคบมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเดิมที่คนดูสตรีมมิ่งต้องรอเป็นปีก็ค่อย ๆ ลดลงเหลือเพียงไม่ถึง 6 เดือน
และอาจจะรวมถึงประสบการณ์บางอย่างที่ต้องชมในโรงภาพยนตร์เท่านั้น เช่นเรื่องระบบเสียง, จอ IMAX, ระบบ 3D และ 4DX, หรืออาจหมายถึงประสบการณ์ร่วมในโรงหนัง (คุณจะหาประสบการณ์แบบ Avengers: Endgame บนสตรีมมิ่งได้อย่างไร)
-----------------------------------------
แล้วคนเข้าโรงหนังลดลงจริงไหม คำตอบคือ จริง
บริบทเสริมที่ต้องพิจารณาอีกประการคือในปี 2011 เครือเมเจอร์มีจอฉายเพียง 383 จอ, ในปี 2014 ขยายเพิ่มเป็น 520 จอ, ปีที่แล้วมีถึง 805 จอ, ส่วนในปัจจุบันมีมากถึง 811 จอ
ปี 2011 คนเข้าโรงหนัง 24.9 ล้านครั้ง
ปี 2012 คนเข้าโรงหนัง 24.1 ล้านครั้ง
ปี 2013 คนเข้าโรงหนัง 29.1 ล้านครั้ง
ปี 2014 คนเข้าโรงหนัง 30.6 ล้านครั้ง
ปี 2015 คนเข้าโรงหนัง 28.5 ล้านครั้ง
ปี 2016 คนเข้าโรงหนัง 29.7 ล้านครั้ง
ปี 2017 คนเข้าโรงหนัง 32.1 ล้านครั้ง
ปี 2018 คนเข้าโรงหนัง 37.8 ล้านครั้ง
ปี 2019 คนเข้าโรงหนัง 40.1 ล้านครั้ง
เว้นช่วงโควิด
ปี 2023 คนเข้าโรงหนัง 26.7 ล้านครั้ง
และ ปี 2024 เราประมาณการว่าคนเข้าโรงหนังจะอยู่ที่ประมาณ 22-25 ล้านครั้ง
โรงฉายหนังมากขึ้นแต่สัดส่วนคนเข้าโรงหนังโดยเฉลี่ยกลับลดลง
สตรีมมิ่งเป็นเพียงแค่หนึ่งในปัจจัยที่เข้ามาแย่งตลาดโรงหนัง
แต่จุดแข็งของโรงหนังยังมีเรื่อง Window การฉายที่หนังจากสตูดิโอต่าง ๆ ยังคงเลือกฉายโรงก่อนเป็นลำดับแรก
แล้วในปัจจุบันเมเจอร์ดูแลจุดแข็งตัวเองดีหรือไม่
สำหรับเราแล้ว คำตอบคือไม่
-----------------------------------------
สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาคือเครือเมเจอร์ขยายสาขาและเพิ่มจำนวนจอฉายหนังอย่างมีนัยยะสำคัญ จากเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีเพียง 520 จอ เพิ่มขึ้นมาอีก 300 จอในปัจจุบัน มองผิวเผินเหมือนเป็นเรื่องที่ดีที่คนสามารถเข้าถึงโรงหนังได้มากขึ้น และตัวแทนจัดจำหน่ายหนังในไทยก็นำเข้าหนังหลากหลายกว่าสมัยก่อน
แต่ภายใต้ระบบบริหาร 800 จอของเครือเมเจอร์ กลับไม่สามารถทำให้หนังมีความหลากหลายและไม่สามารถยืนระยะการฉายหนังได้ เชื่อหรือไม่ว่าในปัจจุบันหนังบางเรื่องได้ฉายจำกัดไม่กี่โรงแล้วยังได้ฉายเพียง 1 สัปดาห์ก็หายจากสารบบของเมเจอร์ในทันที เช่นล่าสุด Love in the Big City ได้ฉายในเครือเมเจอร์เพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น ทั้งที่มีคนสนใจดูเป็นจำนวนมากในเครืออื่น เช่น SF และ House สามย่าน
การบริหาร 800 จอของเมเจอร์คาดหวังอะไรกับกระแสภายใน 4 วันแรก โดยไม่ปล่อยให้กระแสของหนังได้ทำงาน หรือไม่สนใจที่จะให้โรงหนังมีหนังที่หลากหลาย แต่กลับเลือกที่จะมีหนังเรื่องเดิม ๆ ยืนระยะในโรงโดยคาดหวังว่าคนจะดูซ้ำแทนที่คนจะได้โอกาสดูหนังเรื่องอื่น
รวมไปถึงการออกนโยบายให้แต่ละสาขาสามารถเลือกหนังที่จะฉายได้เอง โดยไม่มีมาตรการหรือการออกแบบการเลือกหนังที่ดีจากส่วนกลาง ทำให้แต่ละโรงฉายมีหนังกระจุกอยู่ไม่กี่เรื่อง แทนที่จะเป็นการออกนโยบายบังคับให้เลือกหนังทุกเทียร์ และบังคับอายุการฉายในโรงหนัง
ยังไม่รวมถึงการออกแบบรอบฉายที่ตั้งใจให้รอบฉายชนกัน เพื่อให้เกิดภาพคนหน้าโรงหนังเยอะ ๆ แทนที่จะจัดรอบให้เหลื่อมเวลากันเพื่ออำนวยความสะดวกคนดู ซึ่งเมเจอร์ห่วงภาพลักษณ์คนร่อยหรอหน้าโรงมากกว่าจะสนใจความสะดวกของลูกค้า
ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่เราเชื่อว่าทำให้คนเบื่อหน่ายโรงหนังมากขึ้นเรื่อย ๆ
สุดท้ายนี้คงได้แต่ฝากไปยังผู้ถือหุ้น MAJOR จะได้ตั้งคำถามถึงยอดคนเข้าโรงหนังที่ลดลงเกิดจากการบริหารที่ผิดพลาด หรือได้แต่กล่าวโทษพฤติกรรมคนที่เปลี่ยนไปสู่สตรีมมิ่ง
การที่คนเข้าโรงหนังลดลง ไม่ใช่แค่ทำให้รายได้จากการขายตั๋วหนังโดยตรงลดลง
แต่ยังทำให้โอกาสการขายอาหารและเครื่องดื่มหน้าโรงหนังลดลง
รายได้จากการขายโฆษณาย่อมลดลงตามไปด้วย
การเพิ่มความหลากหลายให้หนังในโรงด้วยการอาศัยจุดแข็งเรื่อง Window การฉายน่าจะเป็นข้อเสนอที่ดีสำหรับการเพิ่มจำนวนคนเข้าโรงหนัง ซึ่งหมายถึงการให้หนังได้มีโอกาสยืนระยะการฉายที่เหมาะสมด้วย
การบริหารทรัพยากร 800 กว่าจอให้มีรอบฉายที่ลงตัว ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับภาพคนรอดูหนังคึกคักหน้าโรง เชื่อว่าไม่น่าเกินความสามารถของทีมบริหารเมเจอร์
อยู่ที่เมเจอร์จะลองเปลี่ยนแปลง หรือทำแบบเดิมเพื่อผลลัพธ์แบบเดิม
โฆษณา