15 พ.ย. 2024 เวลา 08:48 • ประวัติศาสตร์

มาดูรูปพิธีกรรมสำเร็จโทษเจ้านายในพม่ากัน ตอน 5

สนธิสัญญายันดาโบกระทำขึ้นระหว่าง HONORABLE EAST INDIA COMPANY แปลอย่างตรงตัวว่า บริษัทอินเดียตะวันออกอันทรงเกียรติ ฝ่ายหนึ่ง และพระเจ้ากรุงรัตนะบุระอังวะ HIS MAJESTY the KING of AVA อีกฝ่ายหนึ่ง
เห็นไหมครับว่าอังกฤษใช้การค้านำการเมือง พูดแบบไม่อ้อมค้อมก็คือ กลุ่มพ่อค้ารวมตัวกันจิ้มก้องกษัตริย์และรัฐบาลเพื่อจัดตั้งบริษัทเส้นใหญ่ แล้วว่าจ้างให้ทหารคุ้มครองการค้าแบบเสี่ยงๆของตน
ความตามสนธิสัญญายันดาโบ สะท้อนให้เห็นว่าอังกฤษไม่ต้องการยึดครองพม่าเลย เพียงแต่ล้วงคอเอาเมืองขึ้นที่พม่ากลืนลงไปถึงกระเพาะแล้ว ออกมาให้เข้าไปหาผลประโยชน์ได้ง่ายๆเท่านั้น อังกฤษไม่ต้องการยุ่งเรื่องอื่น กำไรเป็นสิ่งเดียวที่พ่อค้าอังกฤษปรารถนา คนแถวนี้เล่นยาก พูดกันไม่รู้เรื่อง ให้เจ้านายแต่ละรัฐเขาเล่นการเมืองท้องถิ่นกันเอง แล้วเอาทรัพยากรมาขายให้อังกฤษแบบผูกขาดน่าจะดีกว่า
อังกฤษอยากจะจูงมือพม่ากันเดินต้อยๆกับเหมือนในภาพ แต่ก็ประดักประเดิดใจยิ่งนัก ก็เกรงท่านผู้ชมทางบ้านจะเข้าใจผิดว่าชายชาญทั้งสองชาตินั้นเปลี่ยนรสนิยมไปหมดแล้ว
และมันไม่ง่ายอย่างที่คิด ที่ยะไข่ อังกฤษติดอาวุธให้เจ้านายองค์หนึ่ง ขับไล่กองทัพพม่าที่ยังวางก้ามอยู่กลับบ้านไป แต่พอไล่พม่าเสร็จ ก็ชักจะอยากขับไล่อังกฤษเข้าให้ด้วย กำลังจะคิดตั้งเจ้านายมอญสักองค์นีงขึ้นเป็นกษัตริย์ พวกที่เกลียดพม่าก็หนีไปอยู่เมืองไทยหมดแล้ว ที่เหลือเป็นสายพม่าทั้งนั้น ไม่นานมอญพวกนั้นก็ก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมือง อังกฤษก็ต้องเสียเลือดเสียเหงื่อออกปราบ
เรื่องนี้พม่าแอบยิ้มที่มุมปากอยู่นิดๆ
ความคิดเห็นที่ 1
แต่ที่ยิ้มไม่ออกเลยคือค่าปฎิกรรมสงคราม ตั้ง1,000,000ปอนด์ แม้จะต่อรองขอผ่อนได้เป็น4งวดได้ แต่แค่งวดแรกก็บักโกรกแล้ว พอถึงงวดที่2 พระราชินีถึงกับต้องออกมาเป็นผู้นำทอดผ้าป่ากู้ชาติ โดยพระนางได้ทรงบริจาคแก้วแหวนเงินทองเครื่องประดับส่วนพระองค์เป็นตัวอย่าง พวกข้าราชการพ่อค้าก็เลยต้องร่วมบริจาคด้วย ทั้งเต็มใจและไม่ค่อยจะเต็มใจ สมัยนั้นข้าวยากหมากแพงไปหมด ราษฎรเดินดินทุกข์ยากแสนสาหัส
ในภาพแสคงความร่ำรวยของกษัตริย์พม่าในอดีตจากการผูกขาดการค้าพลอย
ความคิดเห็นที่ 2
ถึงตรงนี้ต้องย้ำถึงเหตุการณ์ในร.ศ.112 ฝรั่งเศสเอาเรือปืนฝ่าด่านป้อมพระจุลฯมาจ่อคอหอย เรียกค่าปรับที่ไปยิงเรือมันจมไปหนึ่งลำถึง4ล้านฟรังซ์ เงินในท้องพระคลังตอนนั้นมีไม่ถึงดอก แต่ได้เหรียญทองคำแมกซิโกที่รัชกาลสมเด็จพระนั่งเกล้าฯท่านแต่งสำเภาไปค้าขายได้กำไรมาเก็บใส่ถุงแดง สะสมไว้ข้างพระที่ รับสั่งว่าเผื่อลูกหลานจะได้ใช้ไถ่บ้านไถ่เมืองยามจำเป็น
ญาณทัศนะยาวไกลของพระองค์ท่านได้ช่วยให้สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงแก้วิกฤตครั้งนั้นได้ด้วยการเอาเงินถุงแดงนี้แหละ จ่ายค่าปรับให้ฝรั่งเศส
ค่าของเงินตอนนั้นเป็นอย่างไรไม่ทราบ ทราบแต่ว่าถ้าไม่มี ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เรือรบลำนี้ชื่อลูแตงครับ สองคำจำไว้
ความคิดเห็นที่ 3
รูปข้างล่างเป็นตอนที่ลูกเรือฝรั่งเศสขนทองทั้งที่อยู่ในถุง และอยู่ในถัง ลงเรือรบของตน
ความคิดเห็นที่ 4
หนังสือพิมพ์ในฝรั่งเศสลงข่าว คนสรรเสริญรัฐบาลที่คราวนี้ลงทุนน้อย แต่ได้กำไรคุ้มค่ากว่าทำสงคราม
ความคิดเห็นที่ 5
อังกฤษต้องการตั้งสำนักงานผู้แทนข้าหลวงใหญ่(ของรัฐบาลอังกฤษในอินเดีย) ให้เรียบร้อยโดยเร็วตามสนธิสัญญายันดาโบ จึงได้ส่งนายจอห์น ครอเฟิด John Crawfurdมาเป็นทูตในเมืองหลวงเพื่อหาลู่ทาง ในระหว่างนั้นให้เจรจาข้อตกลงทางการค้าที่เป็นเรื่องเร่งด่วนไปด้วย
นักข่าวอังกฤษก็ตามมาเก็บภาพในอมรปุระไปเสนอท่านผู้ชมทางบ้านในประเทศอังกฤษ
นายคนนี้เคยมาเจรจาหาข้อตกลงทางการค้ากับสยามในปลายรัชกาลที่2 คนไทยเรียกนายกาละฝัด กระทำการไม่สำเร็จและกลับไปรายงานว่าคนไทยงี่เง่าไม่รู้จักภาษา(อังกฤษ) ต้องใช้ล่ามกันหลายชั้น แปลจากไทยเป็นมลายูคนหนึ่ง มลายูเป็นปอร์ตุเกตคนหนึ่ง และปอร์ตุเกตเป็นอังกฤษอีกคนหนึ่งทำให้ล่าช้าและใจความเพี้ยน
ไปหมด คนไทยก็บันทึกว่าเจ้าหมอนี้ถ่อยสถุล ชอบยกตนข่มท่าน เอาแต่ได้ ซึ่งตรงกับที่พม่าบันทึกว่านายคนนี้ได้รับหนังสือแต่งตั้งให้เป็นทูต แต่ไปทำตนเสมือนนายเหนือหัวจะจิกเอาโน่นเอานี่ เช่นจะบังคับซื้อข้าวทั้งหมดเท่าที่มี ไม่ยอมรับรู้ว่าตอนนั้นพม่าผลิตข้าวไม่พอกินในประเทศเพราะสงคราม
ความคิดเห็นที่ 6
อย่างไรก็ดี หลังการต่อรองที่คร่ำเครียด อังกฤษกับพม่าก็ทำสนธิสัญญาการค้าขึ้นฉบับแรกมีความสังเขปดังนี้
1- พม่ายอมให้อังกฤษเดินทางไปไหนมาไหนเพื่อค้าขายได้โดยเสรี
2- พม่าต้องกำหนดอัตราภาษีอย่างมีมาตรฐานชัดเจน โดยเรียกเก็บน้ำหนักเรือ
3- ในกรณีย์ฉุกเฉินที่อังกฤษเรียกร้อง พม่าจะต้องเข้าช่วยเหลือ โดยอังกฤษจะจ่ายค่าป่วยการให้
ผลของสัญญานี้ ทำให้นักเขียนคนนี้ เดินทางไปเก็บภาพได้อย่างอิสระ ในภาพเป็นทะเทสาปเมืองย่างกุ้ง
ความคิดเห็นที่ 7
พระเกษธาตุ ชเวดากอง ที่เชื่อว่าพระเกษาของพระพุทธเจ้า ประดิษฐาน ในพระเจดีย์นี้
ความคิดเห็นที่ 8
ทหารอังกฤษยังคงเดินลาดตระเวนรักษาความปลอดภัย
ความคิดเห็นที่ 9
1 เมืองพะโค หรือ หงสาวดีเก่า ที่มีพระธาตุมุเตาอันศักดิ์สิทธิ์
ความคิดเห็นที่ 10
เมืองพะสิม
ความคิดเห็นที่ 11
เมืองท่าเมาะลำเลิงของมอญ ที่อังกฤษไปตั้งฐานอยู่
ความคิดเห็นที่ 12
แก้เครียดกันเล็กน้อย
ฝรั่งที่เกี่ยวข้องกับพม่าในเรื่องของผม ส่วนใหญ่คนไทยในสมัยนั้นก็รู้จัก แต่บันทึกชื่อตามสำเนียงแบบไทยๆ ลองมาดูนะครับว่าฮาขนาดไหน คนคิดนี่ น่านับถือจริงๆ
โรเบิร์ต ฮันเตอร์ Robert Hunter ไทยเรียก "นายหันแตร" เป็นคนอังกฤษคนแรกที่มาค้าขายอยู่ในกรุงเทพฯฬในปลายรัชกาลที่๒ ภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงวิเศษ
มาร์ควิส เฮสติงส์ Marquis Hastingไทยเรียก"มารเกศ หัสติ่ง" ผู้สำเร็จราชการอินเดียของอังกฤษผู้ส่งนายครอเฟิดมาเป็นทูต
จอห์น ครอเฟิดJohn Crawfurd คือนาย"การะฝัด"มาจากกัลกัตตา ไทยเรียกเมืองกาละวาตา
ลอร์ดแอมเฮิสต์Lord Amherst ข้าหลวงใหญ่อังกฤษในอินเดียคนต่อมาไทยเรียก"ลอดอำแหด"หรือ"ลอดอำหัตสิบา"
ร้อยเอก เฮนรี่เบอร์นี่ Captain Henry Burney ไทยเรียก"กะปิตันหันตรีบารนี"
เซอร์เจมส์บรุ๊ค Sir James Brook ทูตอังกฤษ ที่เข้ามาขอแก้หนังสือสัญญาที่นายร้อยเฮนรี่ เบอร์นี่ทำไว้ ไทยเรียก"เยสัปปุรุด"
เอ็ดมัน รอเบิร์ต Edmund Robert ทูตอีกคนหนึ่งไทยเรียก"เอมิน ราบัด"
ริดซัน Ritzon ทูตการค้าที่เข้ามาซื้อช้าง ไทยเรียก"ฤทธิ์สชอน"
หมอสอนศาสนาคริสต์ลัทธิโปรเตสแตนต์ ในเมืองไทย
นายแพทย์คาร์ล ออกัสตัส เฟเดอริค กุตสลาฟท์ Carl Augustus Friedrich Gutzlaff ชาวเยอร์มัน ไทยเรียก"หมอกีสลับ"
ศาสตราจารย์นายแพทย์จาคอป ทอมลิน Jacob Tomlin ชาวอังกฤษ ไทยเรียก "หมอตอมลิ้น"
นายแพทย์ซานดเลอร์ Chandler บรรณาธิการหนังสือพิมพ์บางกอก คาเลนเดอร์ ออกเมื่อใน รัชกาลที่3 คนไทยเรียกลากเสียงเข้าหาชื่อจัน และเมืองมัณฑเลย์ ว่า"หมอจันดเล"
นายแพทย์แซมมวล เรย์โนลด์ เฮาส์ Dr.Samuel Reynolds House เรียก"หมอเหา"
อิงแลนด์England เรียก"อีรลัน" "เองเคลนต์"
คอมปานีCompany ไทยเรียก"กุมปันนี" อันเป็นชื่อที่เรียกกันมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว
วามคิดเห็นที่ 13
อีกหน้าที่หนึ่งของนายกาละฝัดคือ ให้มาตกลงกับพม่าเรื่องการแลกเปลี่ยนผู้แทนประจำชาติ พม่ายังงงอยู่ว่าผู้แทนคืออะไร ขอบเขตอำนาจหน้าที่แค่ไหน เท่ากันทั้งสองฝ่ายหรือไม่ ถามไปถามมานายกาละฝัดก็ส่งรายงานไปฟ้องนายว่าพม่าไม่ให้ความร่วมมือ พวกพ่อค้าอังกฤษก็ร่วมผสมโรง สาดโคลนพม่ากันยกใหญ่ว่าไม่จริงใจที่จะปฏิบัติตามข้อตกลง
พอดีข้าหลวงใหญ่อังกฤษในอินเดียเปลี่ยนตัว เป็นลอร์ดวิลเลี่ยม เบนทิงส์ Lord William Bentinck (ในภาพ) ผู้มีใจเป็นธรรม แนะนำนายกาละฝัดให้พยายามลบล้างความรู้สึกเจ็บแค้นของศัตรู และจริงใจที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์แบบฉันท์มิตรกับพม่า ซึ่งหมอนั่นก็ไม่เข้าใจ
ความคิดเห็นที่ 14
กุศโลบายเช่นนี้ สหรัฐอเมริกาได้นำไปใช้กับญี่ปุนเมื่อชนะสงคราม และใช้กับไทย มหามิตรของญี่ปุ่นในตอนนั้นด้วย หากไม่มีแข้งอันใหญ่โตของอเมริกันขวางไว้ อังกฤษกับฝรั่งเศสคงเล่นงานเราแย่แล้ว นี่ทำไมคนไทยรุ่นสงครามจึงรักคนอเมริกันอย่างออกนอกหน้า
ลอร์ด เบนทิงส์ ส่งนายหันตรีบารนี Henry Burney ผุ้ที่มาชวนให้สยามส่งทหารไปร่วมรบในพม่าสำเร็จมาเป็นผู้แทนข้าหลวงใหญ่คนแรกในอมรปุระ บุคคลิกของพ่อคนนี้พม่ายอมรับได้ และคิดว่าเขาเป็นคนดีเพราะพยายามโอนอ่อนผ่อนตามพม่า
เช่นในเรื่องการปักเขตแดน แต่พอหันตรีบารนีได้รับคำสั่งให้เร่งรัดพม่าจัดตั้งสำนักงานข้าหลวงใหญ่บ้างตามที่ตกลงกันไว้ พม่าก็ดึงดันจะไปตั้งที่ลอนดอนในขณะที่อังกฤษกำหนดให้ไปอยู่ที่กัลกัตตา พม่ากับอังกฤษก็เริ่มหงุดหงิด เมื่อพม่าทำท่าจะเบี้ยวค่างวดผ่อนส่งปฏิกรรมสงครามงวดสุดท้าย หันตรีบารนีก็ขู่พม่าว่าจะยกตะนาวศรีให้ไทย จนพม่าต้องรีดเงินทองสมบัติทุกอย่างประดามีมาจ่ายให้โดย
หวังว่าจะได้ตะนาวศรีคืนเพราะอังกฤษจะยกให้ไทยแล้ว แต่ไม่ได้ให้เพราะพม่าสามารถจ่ายค่าปรับได้ กลับกลายเป็นว่าอังกฤษไม่ได้จริงจังกับเริองที่ยกเมฆขึ้นมาขู่เลย เรื่องอะไรอังกฤษจะไปยกมณฑลตะนาวศรี ที่มีทั้งทวายและมะริดให้ใครง่ายๆ พระเจ้าจักกายแมงทรงเครียดเรื่องนี้มาก ด้วยไทยยังรู้ทันกลอุบายของอังกฤษนี้ แต่นี่พระองค์ไม่ทรงระแวงสักนิดเดียว ทรงคิดมากจนสัญญาวิปลาสไป ศัพท์นี้เขามีไว้ให้ใช้กับคนบ้าให้ดูน่าฟังหน่อย
บรรยากาศในเมืองหลวงของพม่าสมัยนั้น เจ้านายยังเดินกันขวักไขว่ มีมหาดเล็กนำหน้าตามหลัง เจ้าคนแบกหมวกนั่นน่าสงสารหน่อยคงเมื่อยแย่ ส่วนเจ้านายก็น่าสงสารเหมือนกัน พอแดดร้อนเหงื่อจักแร้ออก คงประชวรพระวาโยเป็นพิษ
ความคิดเห็นที่ 15
พระราชินีพระเชษฐาของพระนางก็ปรึกษากันที่จะแก้ไขสถานการณ์บ้านเมือง โดยจะตั้งพระราชโอรสผู้อ่อนเยาว์ให้ขึ้นครองราชย์แทน เรื่องนี้มีข้อมูลพอจะเชื่อถือได้ว่าหันตรีบารนี ได้รับรู้เรื่องและเห็นด้วย แต่คนที่ไม่เห็นด้วยคือพระอนุชาของพระเจ้าจักกายแมงผู้เป็นนายทหารใหญ่ อดีตรองแม่ทัพออกศึกร่วมกับมหาพันธุละมาแล้ว
ได้ลงมือทำการรัฐประหาร จับพระราชินี พระราชโอรสและพระเชษฐาไปทุบเสีย และเอาพระราชาผู้วิปลาสไปกักบริเวณแต่ให้พระองค์อยู่อย่างดี มีมหาดเล็กรับใช้เหมือนเดิม แล้วขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่าพระเจ้าสราวดีแสรกแมง ต่อมามีผู้คิดจะกอบกู้พระราชบัลลังก์พระราชาองค์ที่แล้ว พระเจ้าสราวดีทรงทราบก็จับมาประหารเสียชุดใหญ่ ตัวแกนนำซ่าๆก็เอามาให้ช้างเหยียบถวายทอดพระเนตรหน้าพระที่นั่ง เหตุการณ์จึงสงบแต่หันตรีบารนีชักเดือดร้อนเพราะพระราชาไม่ชอบหน้าเสียแล้ว
ในภาพเป็นกระบวนพยุหะยาตราโดยสถลมารคในพระราชพิธีราชาภิเษก ไม่ระบุว่าเป็นพระองค์ใด เศวตฉัตรของพม่าก็ไม่เหมือนของไทยแม้น้อย
ความคิดเห็นที่ 16
พระเจ้าสราวดีเป็นทหาร พอมีสตุ้งสตังค์เหลือเพราะหมดหนี้แล้ว การที่อังกฤษบังคับให้ปลูกข้าวเพื่อการส่งออกก็ทำให้มีฐานะการเงินดีขึ้นอย่างนึกไม่ถึงมาก่อน จึงอยากจะหาของเล่นมาสะสมบ้าง อยากมีกองทัพสมัยใหม่ติดจรวดอย่างอังกฤษที่
พระองค์เคยเห็นดังภาพ พวกพ่อค้าอังกฤษนั่นแหละตัวดี เอาแคตตาล็อกอาวุธรุ่นใหม่ๆมาเสนอแล้วจัดส่งให้ชุดใหญ่ ขนกันหลายลำเรือ ไม่รู้ว่าอิจฉากันเองหรือเปล่าเพราะมีคนไปฟ้องหันตรีบารนี แต่แทนที่จะเรียกพ่อค้าอังกฤษไปเขกกระโหลก กลับไปขู่พระเจ้าสราวดีว่าไม่ให้ซื้ออีกต่อไป หาว่าจะตระเตรียมรบกับอังกฤษ ฝ่ายพม่าก็
แก้ตัวว่าไม่ช๋าย จะเอาไว้รบกับไทยซี้เก่าที่บุกมาตีทางเมืองเชียงตุงตะหาก หันตรีบารนียืนยันว่าพม่ากำลังละเมิดสนธิสัญญายันดาโบ พระเจ้าสราวดีก็บอกว่าอังกฤษนั่นแหละเป็นตัวละเมิดเพราะไม่ห้ามไทย ต่อไปนี้พระองค์จะไม่เคารพสัญญาอะไรทั้งนั้น หันตรีบารนีโกรธมาก ประท้วงด้วยการเดินทางกลับไปอินเดีย เข้าทางพระเจ้าสราวดีที่รำคาญอังกฤษเต็มทีอยู่แล้ว แหย่ๆอีกสักพัก เจ้าหน้าที่ทูตที่เหลืออยู่ในอมรปุระทั้งหมดก็ปิดสำนักงาน ถอนตัวเองกลับบ้าน
พระเจ้าสราวดีดีพระทัย เสด็จอย่างเป็นพระราชพิธี พร้อมพระราชโอรสคู่พระทัยสองพระองค์ นำกองทัพลงไปนมัสการพระเกษธาตุ ชเวดากอง อย่างยิ่งใหญ่ โปรดให้จัดงานเฉลิมฉลองรื่นเริงอย่างมโหฬาร
ความคิดเห็นที่ 17
ต้องขอกล่าวถึงสงครามตีเมืองเชียงตุงของไทยสักเล็กน้อย
ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงโปรดให้เจ้าพระยาจักรีไปตีพม่าที่มาครอบครองเชียงใหม่นานมาแล้ว เอามาขึ้นกับไทย ต่อมาพระเจ้าปดุงเกณฑ์ทัพใหญ่มารบในสงครามเก้าทัพเพื่อแก้แค้น ก็พ่ายแพ้แก่ไทยในสมรภูมิเชียงใหม่อีก พม่าปราชัยครั้งนี้ หัวเมืองไทยใหญ่ที่เคยขึ้นกับเชียงใหม่ของพม่าก็กระด้างกระเดื่องประกาศตัวเป็นอิสระกันหมด
ครั้นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ขึ้นครองราชย์ ทรงโปรดให้เจ้ากาวิละยกทัพล้านนาไปตีเมืองที่เคยขึ้นกับเชียงใหม่เหล่านั้นคืน ก็มันเป็นธรรมเนียมที่ใครๆก็ทำกัน ดูพม่าตอนได้ยะไข่แล้ว ยังเข้าไปตีมณีปุระเลย ในกรณีย์นี้ทัพเชียงใหม่ภายใต้ธงไทยตีได้เมืองเชียงตุง เรื่อยไปถึงเชียงรุ้ง ที่ตอนนี้อยู่ในมณฑลยูนนานของจีน กวาดต้อนครัวเรือนลงมาไว้ที่หลายหัวเมืองทางเหนือ โบราณเรียกวิธีการเช่นนี้ว่า"เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง"
เมืองเหล่านั้นขึ้นกับไทยอยู่สักยี่สิบปี พม่าก็มาชิงเอาคืนไป ตอนนั้นมีศึกเจ้าอนุเวียงจันทน์และเกิดกบฏในมลายู ที่กลันตัน และไทรบุรีซึ่งไทยไปตีเอาเขามา จึงไม่ว่างจะขึ้นไปเอาคืนทางเหนือ
ในสมัยรัชกาลที่ 3 ไทยเห็นว่ามีโอกาส ก็จัดกองทัพไปตีเมืองเชียงตุง ซึ่งเป็นด่านแรกที่จะลึกเข้าไปตีเชียงรุ้ง ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่พระเจ้าสราวดีอ้างว่าพม่าจำเป็นต้องมีอาวุธสมัยใหม่ไว้ป้องกันการรุกรานของไทย อย่างไรก็ดี การไปตีครั้งนี้ไม่สำเร็จ เชียงตุงมีกำแพงเมืองสูงหนาสามารถป้องกันตนเองได้ ประตูเมืองเก่ายังคงเหลือมาถึงปัจจุบัน
ความคิดเห็นที่ 18
แต่การที่พม่าถูกอังกฤษอัดซะเสียศูนย์ไปแล้ว ทำให้ดุลย์อำนาจทางการเมืองในรัฐไทยใหญ่เปลี่ยนแปร พอยักษ์ใหญ่ป่วย ยักษ์เล็กก็ออกมาควงกระบอง หัวเมืองไทยใหญ่ก็แย่งชิงกันเป็นว่าเล่น อุปราชเมืองเชียงรุ้งองค์หนึ่งเลยต้องหนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่4
ฝ่ายทหารและการเมืองแลเห็นว่าน่าที่ไทยจะเข้าไปเป็นยักษ์ใหญ่แถวนั้นแทนพม่าได้ ก็เลยจัดทัพ มียุทโธปกรณ์ทันสมัยไปตีเชียงตุงอีก แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด โน่นแน่ะครับต้องขึ้นไปถึงแม่สาย เดินไปนะครับรถทัวร์ยังไม่มี แค่นั้นทหารกรุงเทพก็กรอบแล้ว แถมยังต้องปีนภูเขาลึกเข้าไปอีกมาก ไปถึงก็จริงแต่ก็อิดโรย สดสู้เจ้าถิ่นไม่ได้ต้องถอนกลับ
ไปใหม่ครั้งที่สอง เกณฑ์ทัพใหญ่กว่าครั้งแรก ล้อมเมืองยิงกันอยู่7วัน ปืนใหญ่คล้ายๆกับในรูปที่อุตส่าห์ขนไปกำลังส่งกระสุนไม่พอที่ข้ามกำแพงเมืองของเขา ส่วนปืนของเขาถึงจะโบราณกว่า แต่ได้อาศัยแรงดึงดูดของโลก ยิงลงมาทีใดตกใส่คนข้างล่างทุกที อย่างนี้ไม่ไหวแน่ แม่ทัพสยามจึงสั่งถอย
เลิกความคิดที่อยากได้เชียงตุงเป็นฐานไปแผ่อิทธิพลในรัฐฉานแทนพม่าไปเลย
ความคิดเห็นที่ 19
การที่พระเจ้าสราวดียกกองทัพใหญ่โตไปถึงย่างกุ้ง ถือเป็นการยั่วยุอังกฤษสุดๆ ทหารหัวเมืองของพม่าก็ฮึกเหิม ทำให้เกิดการปะทะเล็กๆขึ้นในหลายหัวแห่ง อย่างไรก็ตามอังกฤษก็ยังไม่พร้อมที่จะทำสงครามใหญ่เพราะกำลังมีปัญหากับรัสเซียที่เริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามาสู่อินเดียทางด้านอาฟกานิสถาน และกำลังติดพันใน
สงครามฝิ่นที่จีน พระเจ้าสราวดีจึงครองราชย์อยู่ได้โดยไม่มีศึกภายนอก ก็ดีๆอยู่ไม่กี่ปี โอรสองค์รองที่เป็นเจ้าเมืองแปรถูกพระราชบิดากล่าวหาว่าคบคิดกับนางมยากาเลพระสนมเอก เพื่อก่อการกบฏ ทั้งสองถูกสั่งประหาร องค์ที่เป็นเจ้าก็ถูกทุบสำเร็จโทษไป นางสนมมิใช่เจ้าต้องถูกตัดศรีษะ ขณะที่เพชฌฆาตจับผมของนางดึงขึ้นเพื่อลงดาบให้ไม่พลาด นางยังตวาดแว็ดให้ปล่อย มีแต่กษัตริย์เท่านั้นที่จะจับผมของนางได้ จะเอายังไงก็ขอให้บอก นางพร้อมจะตายอยู่แล้ว
พอประหารทั้งสองไปแล้ว พระเจ้าสราวดีโศกเศร้าเสียพระทัยหนักด้วยทั้งรักทั้งแค้น ที่คุ้มดีคุ้มร้ายอยู่แล้วก็สัญญาวิปลาสไปอีกองค์หนึ่ง อันนี้เป็นทั้งกรรมพันธุ์ทั้งกรรมตามทัน โอรสพระองค์โตที่เป็นเจ้าเมืองพุกาม ก็รัฐประหาร กักบริเวณพระราชบิดาไว้ แล้วขึ้นครองราชสมบัติแทน ทรงพระนามว่าพระเจ้าพุกามแมง หรือปะกันแมง
ราชสำนักพม่าที่อมรรัตนะปุระองวะนั้น อังกฤษเวลาเข้าเฝ้ายังต้องนั่งกับพื้นอยู่
ความคิดเห็นที่ 20
พระเจ้าพุกามแมงขยันขันแข็งที่จะเป็นพระราชาที่ดีไปได้ไม่กี่ขวบปี ก็ทรงเพี้ยนไปเฉยๆ หันไปเสพย์สุรายาเหล้าเคล้าน้ำจัณฑ์ การพนันก็ทรงเล่นทุกเย็นเช้า
ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไปสิเอ้า
เวลานั้นย่างกุ้งของพม่าได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่าเป็นทำเลที่ดีที่สุด มีเรือเทียบท่าขนสินค้าออกมากมาย ข้าราชการพม่ารับเงินทั้งบนโต๊ะและใต้โต๊ะ เมื่อพ่อค้าจ่ายค่าเก๊าเจี๊ยะแล้วก็ต้องเอาคืนโดยขนของหนีภาษีเพิ่มจากที่ตกลงกันไว้ พม่าก็ไล่จับ เอามาทั้งปรับทั้งจำ พวกพ่อค้าอังกฤษก็ร้องทุกข์ไปที่กัลกัตตาเป็นจำนวนมาก ปลาย
ปี1851กัปตันเรือบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษสองคน ถูกจับได้ว่าโกงภาษี นายด่านสั่งปรับ100ปอนด์ แต่สงสัยตอนตรวจจับไม่รู้ว่าพวกกรมท่าไปจิ๊กอะไรเข้ากระเป๋าเป็นของแถม กัปตันเอาเรื่องไปฟ้องนาย บริษัทจึงทำเรื่องร้องเรียนข้าหลวงใหญ่ ให้เรียกค่าเสียหายชดเชยจากรัฐบาลพม่ากลับเป็นเงิน1920ปอนด์
ความคิดเห็นที่ 21
ขณะนั้น ข้าหลวงใหญ่คนใหม่ได้เปลี่ยนไป ลอร์ดดาลฮูซี คนนี้เป็นนักจักรวรรดินิยมเต็มที่ การหย่อนๆเหยะๆให้พม่าตามนโยบายเมตตามหานิยมของข้าหลวงใหญ่คนเก่าทำให้นายหันตรี ต้องหันรีหันขวางเปิดกลับจากพม่ามาแล้ว ขณะนั้นทัพอังกฤษพร้อมที่จะปะฉะดะกับพม่าอีก ดังนั้นเขาจึงแต่งตั้งนายพลทหารเรือคนหนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าบ้าดีเดือดเป็นหัวหน้าคณะผุ้แทนไปเรียกร้องค่าเสียหาย ที่ถูกปรับลดลงมาเหลือ1000ปอนด์เพื่อไม่ให้ดูเว่อจนเกินไป
ความคิดเห็นที่ 22
พลเรือตรีแลมเบิต เมื่อไปถึงเมืองหลวงของพม่าก็ได้กระทำการเรียกร้องอย่างยะโสโอห้งที่สุดตามบทที่ผู้กำกับการแสดงกำชับ ไม่ยอมให้กางเกงเปื้อนฝุ่นด้วยการยืนค้ำพระเศียร หาได้นั่งลงกับพึ้นเพื่อถวายพระเกียรติไม่ แต่แปลกที่พระเจ้าพุกามแมงทรงทนได้แม้จะต้องกัดพระทนต์จนเมื่อยก็ตาม ทรงยอมที่จะเรียกข้าหลวงที่ย่างกุ้งกลับ และตกลงจะชดใช้ค่าเสียหายให้ตามที่เรียกร้อง โดยจะให้ข้าหลวงคนใหม่ที่จะส่งไปเป็นผู้ดำเนินการชำระให้
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ปู้โธ่เอ๋ย อุตส่าห์ยกกองเรือข้ามน้ำข้ามทะเลมาขอปรับแต่1000ปอนด์ เท่าค่านั่งสามล้อกลับบ้านเท่านั้น พม่ารูดการ์ดแขว๊บเดียวก็จบ แต่ก็ไม่รูดเสียให้สิ้นปัญหาไป
ความคิดเห็นที่ 23
เมื่อข้าหลวงใหม่ของพม่าไปถึงย่างกุ้ง แลมเปิตก็ให้ลูกน้องเป็นตัวแทนคณะของตนไปนัดหมาย คณะผู้แทนกลุ่มนี้จงใจเหยียดหยามพม่าด้วยการขี่ม้าแหกยามรักษาการณ์เข้าไปถึงจวน เรียกให้ข้าหลวงออกมาพบ ตามธรรมเนียมชาติใดก็ตาม ทูตและข้าหลวงถือเป็นตัวแทนของพระราชาหรือประธานาธิบดี ต้องให้เกียรติ
ในพม่านั้น แม้เจ้าฟ้าขี่ม้ายืดอกมาดังในภาพ ก็ยังต้องลงจากหลังม้าเพื่อเสด็จด้วยพระบาทเมื่อเข้าจวนข้าหลวง จึงเป็นธรรมดาที่ข้าหลวงจะไม่ต้อนรับคณะผู้แทนชุดนี้ แลมเปิตก็เรียกร้องให้ข้าหลวงขอโทษที่ดูถูกผู้แทนรัฐบาลอังกฤษที่ปฏิเสธมิให้เข้าพบ
ความคิดเห็นที่ 24
เมื่อไม่ได้ผล แลมเปิตจึงสั่งทหารเข้ายึดเอาเรือลำหนึ่งของพระราชาพม่าที่มาพายยั่วประสาทอยู่หลายวันแล้ว ลากออกไปจากท่าด้วย พม่าบอกว่านี่เป็นการกระทำเยี่ยงโจรสลัดตามกฏหมายระหว่างประเทศที่อังกฤษมีส่วนในการบัญญัติขึ้นเอง ดังนั้นพอจะแล่นผ่านปากอ่าว ป้อมปืนชายฝั่งของพม่าก็ยิงกองเรืออังกฤษ
ความคิดเห็นที่ 25
อังกฤษก็ตอบโต้ด้วยอำนาจปืนที่เหนือกว่า กระจุยไปทั้งป้อม ทั้งเรือแพต่างๆของพม่าที่จอดอยู่ และวิถีกระสุนเลยไปถึงบ้านเรือนราษฎรลุกเป็นไฟวอดวายไปทั้งบาง
ความคิดเห็นที่ 26
เมื่อกลับถึงกัลกัตตาฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เพราะเสียดายเงินลงทุนกับค่าใช้จ่ายทางการทหารในการทำสงคราม คราวที่แล้วถือว่าขาดทุนยับเยิน ก็ได้อภิปรายโจมตีการกระทำของแลมเบิตในสภากรรมการบริษัทอินเดียตะวันออกว่าเกินกว่าเหตุ แต่ลอร์ด
ดาลฮูซีก็ปกป้อง สภาพ่อค้าลงมติให้ส่งญัตติให้สภาบริหารในลอนดอนเป็นผู้อนุม้ติ โดยมีนายริชาร์ด คอปเดน สมาชิกคนสำคัญในสภารับลูกเป็นแกนนำคัดค้านไม่ให้อังกฤษรบ แต่เพื่อไม่ให้เสียโอกาสก็ยอมให้ลอร์ดดาลฮูซีกระทำการที่ตระเตรียมไว้แล้วที่จะไปตั้งที่มั่นในพม่าตามแผนก่อนฤดูมรสุมจะมาถึง
ฉะนั้นอังกฤษจึงมีหนังสือคำขาดส่งไปให้พระเจ้าพุกามแมงดังนี้
1-ให้ปลดข้าหลวงย่างกุ้งออกจากตำแหน่งทันที
2-ให้พระราชาขอโทษบริษัทอินเดียตะวันออกอย่างเป็นทางการ
3-ให้จ่ายค่าปรับ10,000ปอนด์เสตอริงให้กัปตันเรือ2คน และให้ชดใช้ทรัพย์สินของคนอังกฤษที่เสียหายจากปืนเรือรบ และค่าใช้จ่ายในการเตรียมทำสงครามที่อังกฤษจ่ายไปแล้ว(ตรงนี้น่ากลัวเพราะยังไม่ได้เชคบิลว่าเป็นเท่าไร)
4-ให้ปฏิบัติตามสนธิสัญญายันดาโบ
เมื่อหนังสือมาถึงอมรปุระ พระเจ้าพุกามแมงทรงสิ้นหวัง ไม่ว่าพระองค์จะผ่อนปรนอย่างไร อังกฤษก็คงหาเรื่องอีกจนได้ ทรงรู้พระองค์ว่าพม่าเป็นเพียงลูกแกะที่เผชิญกับหมาป่า แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากสั่งเหล่าลูกแกะทั้งหลายให้สู้จนตัวตาย
ความคิดเห็นที่ 28
.วันที่1เมษายน1852 กองทัพอังกฤษเดินทางมาถึงพม่าแล้วแยกเป็นสองทัพ ทัพบกนายพลกอดวินเป็นแม่ทัพไปรวมพลที่เมาะลำเลิง พอวันที่5เมษายน เสียงปีนนัดแรกของสงครามครั้งที่2ก็ได้ฤกษ์ระเบิดขึ้นเมื่ออังกฤษข้ามฟากปากน้ำสาละวินไปยึดเมาะตะมะ เมืองท่าสำคัญที่พม่าถือครองอยู่ หลังจากตีโต้กันไปมาสักพักหนึ่ง พม่าเป็นฝ่ายเสียหายหนัก แตกกระสานซ่านเซ็น ทัพบกอังกฤษจึงมุ่งหน่าสู่ย่างกุ้ง
นายพลเรือแลมเปิตคุมทัพเรืออยู่ปากอ่าวย่างกุ้ง แต่ก็ไม่ได้ขึ้นบก ผ่ายพม่าคุยว่าขึ้นบกไม่ได้เพราะเห็นว่าพม่าตั้งรับเข้มแข็ง รอจนในวันที่12เมษายนเมื่อทัพบกมาถึงแล้ว จึงรุกคืบเข้ายึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของย่างกุ้งได้ ทหารพม่าก็สู้รบอย่างทรหดในฐานชเวดากอง ที่ตั้งเดิมของอังกฤษในสงครามครั้งที่แล้ว แต่หลังจากโดนลูกหนักเข้าไปหลายชุด พม่าก็ต้องล่าถอย ปล่อยให้อังกฤษยึดครองย่างกุ้งทั้งหมดได้ในวันที่14เมษายน1852
นายพลกอดวินให้ทหารตามล่าข้าหลวงพม่าอย่างบ้าคลั่ง จะเอามาแขวนคอให้ได้ แต่ใครจะรออยู่ให้ถูกประนามว่าไม่ฉลาดเล่าครับ
ความคิดเห็นที่ 29
วันที่19พฤษภาคม อังกฤษเดินหน้าต่อไปยึดพะสิม Basseinเมืองท่าแห่งสุดท้ายของพม่าที่จะเป็นทางออกสู่ทะเลได้
ความคิดเห็นที่ 30
ภาพชุดนี้มี 3 รูป และเป็นรูปถ่ายชุดเดียวที่ผมหาได้ในช่วงสงครามครั้งที่2นี้
ความคิดเห็นที่ 31
ต่อจากนั้นก็ได้เมืองพะโค(หงสาวดี)ในวันที่3มิถุนายน หลังการสู้รบอย่างดุเดือดรอบๆพระธาตุมุเตา Shwemawdaw paya จบสิ้นตามแผนที่วางไว้ว่าจะต้องดำเนินการยึดพื้นที่เหล่านี้ให้ได้ก่อนที่ฤดูมรสุมจะมาถึง
ความคิดเห็นที่ 32
กองกำลังส่วนหน้าของอังกฤษที่รุกไปถึงแปร เมืองหน้าด่านที่จะเข้าสู่เมืองหลวง ปะทะกับพม่าได้ไม่กี่ยกก็ได้รับคำสั่งให้ถอยลงมาก่อน พม่าดีใจว่าสามารถขับไล่อังกฤษไปได้ ก็ตีกลองยาวเพลงพม่ารำขวานออกไปเซิ้งโสร่งกันใหญ่
กรกฎาคม ลอร์ดดาลฮูซีเดินทางมาย่างกุ้งด้วยตนเองเพื่อประเมินสถานะการณ์และประชุมร่วมกับบรรดานายทหารข้าราชการ และพ่อค้าที่หากินอยู่ที่นั่น และเมื่อหนังสือยืนยันว่าสภากรรมการของบริษัทอินเดียตะวันออกและรัฐบาลอังกฤษที่ลอนดอนอนุมัติแผนการณ์ผนวกที่ราบลุ่มอิระวดีตอนใต้มาถึงมือแล้ว จึงตัดสินใจที่
ยกกองทัพขึ้นเหนือไปอีก เพราะกองเชียร์เห็นว่าเมืองต่างๆที่ยึดมาได้แล้วนั้น ยังถือว่ากระจอกงอกง่อยไม่คุ้มทุนไม่ว่าจะคิดแบบพ่อค้าหรือแบบทหาร อังกฤษก็ควรจะได้กำไรมากกว่านี้ แต่การที่จะให้กษัตริย์พม่ายินยอมให้เชือดเฉือนเอาแผ่นดินไปก็มีทางเดียว คือต้องใช้กำลังบังคับ
ความคิดเห็นที่ 33
ครั้นสิ้นหน้าฝน นายพลกอดวิน General Godwin แม้จะงอนนิดๆที่ถูกสั่งให้อยู่ใต้บังคับบัญชาของแลมเปิต ก็ยกกองทัพอังกฤษขึ้นไปตีเมืองแปรได้ในวันที่9ตุลาคม การรบที่นั่นแม่ทัพพม่าที่ถูกส่งให้มารักษาเมืองคือบุตรชายของมหาพันธุละผู้ยิ่งใหญ่ แต่คุณลูกก็ไม่ได้สร้างความประทับใจให้แก่ท่านผู้ชมแม้น้อย
หลังปฎิบัติการของทหารพม่าพึ่งไม่ได้ สภาลุดดอผู้บริหารราชการแผ่นดินพม่าก้ปลุกระดมมวลชนให้ช่วยกันต่อต้านอังกฤษจนวาระสุดท้าย
ความคิดเห็นที่ 34
เจอไม้นี้เข้า อังกฤษจึงเคลื่อนพลไปได้อย่างช้าๆตามเส้นทางสู่อมรปุระ ฆ่าแกงคนพม่าที่ถืออาวุธออกมาขัดขวางไปตลอดทาง จนถึงเดือนธันวาคม ก็เกิดเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้น เจ้าชายมินดงพระอนุชาของกษัตริย์ ภายใต้การสนับสนุนของสภาลุดดอก็ทำการยึดอำนาจ เชิญพระเจ้าพุกามแมงไปกักบริเวณไว้ตามที่เคยปฏิบัติในรัชกาลก่อนๆ แล้วตั้งพระองค์เองขึ้นเป็นกษัตริย์ ขอเจรจาสงบศึกกับอังกฤษ
ลอร์ดดาลฮูซีก็งงเป็นเหมือนกัน ข่าวกรองรายงานมานานแล้วว่า พระเจ้ามินดงเป็นสายพิลาปที่คิดว่า จะรักษาเอกราชของพม่าไว้ได้ก็ด้วยการเจรจาอย่างอดทนอย่างเดียว ไม่ใช่อาวุธ การทำรุนแรงกับกษัตริย์ใหม่พระองค์นี้ ตนอาจจะตกที่นั่งลำบาก สายตานักการเมืองฝ่ายค้านของรัฐสภาอังกฤษกำลังจ้องจับการศึกครั้งนี้อยู่ และสิ่ง
ที่ได้รับการอนุมัติให้กระทำการในคราวนี้ก็มีเพียง ให้ยึดดินแดนทางภาคใต้ของพม่า ซึ่ง ณ บัดนั้นก็ได้เกินเป้ามากมาย อังกฤษได้พื้นที่ผลิตข้าวอันอุดมสมบูรณ์ และได้เมืองท่าทั้งหมดของพม่าแล้ว การรุกฆาตไปขยี้พม่ามากกว่านั้นอาจจะโดนข้อหาว่ากระทำการเกินกว่าเหตุ
ความคิดเห็นที่ 35
อย่างไรก็ดี ก็เห็นว่าการเจรจากับพม่าเพื่อที่ทำสนธิสัญญาใดๆแบบยันดาโบอีกนั้นเป็นเรื่องเสียเวลา ลอร์ดดาลฮูซีจึงเพียงแต่ออกประกาศในนามของรัฐบาลอังกฤษ ผนวกเอามณฑลพะโค จังหวัดพุกาม และชายฝั่งทะเลทั้งหมด เป็นแคว้นที่สามในการปกครองของอังกฤษ และขู่ว่า ถ้าพม่าไม่เคารพเชื่อฟัง อังกฤษจะจำเป็นต้องก้าวไปสู่การผนวกพม่าทั้งประเทศ และล้มล้างราชวงศ์พม่าทั้งหมด ซึ่งจะทำความเสียหายมาสู่พม่าอย่างยิ่งยวด
ครั้นแล้วก็สั่งเลิกทัพ สงครามครั้งที่2จึงถือว่าจบลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 1853
ความคิดเห็นที่ 36
ดังที่กล่าวแล้ว อังกฤษจะทำอะไรทุกอย่างก็เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ระบบการค้าผูกขาดของพระราชาในเอเซียทุกประเทศในเวลานั้น ใช้การบังคับซื้อของจากราษฎรเอาเข้าพระคลังหลวงเพื่อเอาไว้ค้าขายเอง ถ้ามีเรือสินค้าจากต่างชาติเข้ามา
ก็เรียกเก็บภาษีตามอำเภอใจ เรื่องนี้เป็นอุปสรรคสำคัญของอังกฤษ ตอนนั้นนอกจากพม่าแล้ว สยามยังโดนขึ้นบัญชีดำไว้ด้วย รายงานของเซอร์เจมส์ บรู๊ค ผู้ซึ่งเข้ามาครั้งสุดท้ายในรัชกาลที่ 3 มีว่า “...พระเจ้าแผ่นดินกำลังบรรทมอยู่บนพระแท่นสวรรคต และพระองค์ที่จะทรงเสวยราชย์ใหม่ก็มีหวังจะพูดกันได้เรียบร้อย ฉะนั้น จึงขอรอการใช้กำลังบังคับไว้ก่อน...”
การใช้กำลังหักหาญเอากับพม่าจนสำเร็จในครั้งนี้ อุปสรรคในการแสวงหากำไรในอัตราสูงสุดของอังกฤษก็หมดไป เพราะสามารถเข้าถึงแหล่งผลิตได้โดยตรง และตนจะเป็นผู้ผูกขาดคนใหม่เสียเอง เท่านี้ก็พอใจแล้ว
ภาพก่อนหน้านี้คือตรา บริษัทอินเดียตะวันออกอันทรงเกียรติ และภาพนี้คือเหรียญเงิน1รูปีที่บริษัทผลิตขึ้นเป็นเงินตราที่ใช้กันในอินเดียและพม่า
แต่ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่และทรงเกียรติแค่ไหนก็ไม่เที่ยง อีกเพียง20ปีต่อมา บริษัทที่เป็นเจ้าของประเทศชาติ2ประเทศก็ถึงวิบัติกาลขาดทุนย่อยยับ ต้องปิดลงในปี 1873
ความคิดเห็นที่ 38
ขอบคุณครับที่เล่าภาพอดีตสงครามพม่าแบบไตรสงครามให้ทราบ ทั้งนี้เป็นเพราะการค้าและผลประโยชน์เพื่อกอบโกยเอากลับประเทศบ้านเกิดของตน ทำให้ภูมิภาคสั่นคลอนไปหมด
เมื่อรัชกาลใหม่ของสยามได้เริ่มต้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปิดประเทศ เจรจาความค้าขายกันอย่างเท่าเทียม ก่อนหน้านี้ทรงฝึกภาษาต่างชาติ ไม่ให้ดูถูกดูแคลน ไม่ให้เป็นประเทศป่าเถื่อนในสังคมยุโรป เหล่านี้ล้วนค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้สยามหลุดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้น ดังนั้นในช่วงรัชสมัย รัชกาลที่ ๓-๕ จึงเป็นช่วงที่บ้านเมืองผ่านวิกฤตการณ์มาได้
หากลองคิดว่า หากสยามเอง มีชายแดนติดกับอินเดียเหมือนพม่าแล้ว น่ากลัวไม่น้อย ล้านนาไทยอาจเป็น Buffer State เหมือนยะไข่ น่ากลัวไม่น้อย
ความคิดเห็นที่ 47
และแล้ว ... มหาอาณานิคมก็จบสมบริบูรณ์
ความคิดเห็นที่ 51
"หนังสือที่รัชกาลที่6เขียน บอกว่าคนไทยสมัยก่อนเรียกเซอร์เจมส์บรุค ว่า ซีจำปลุ๊ก"
เหรอครับ ผมจำไม่ได้แล้ว
มีต่ออีกหน่อย
ปอร์ตุเกต คนไทยเรียก เมืองพุทธเกต
เยอรมัน เรียก เยียระมัน
ฮ่องกง เรียก ห้องกง
เทเลกราฟ Telegraph เรียก ตะแลบแกรพ
ฟอสฟอรัส phosphorus เรียก ฝาสุภเรศ
คนในบังคับของต่างชาติ ที่ใช้คำว่า Subject คนไทยเรียก สัพเยก
ในหนังสือประวัติการทหารเรือไทย เขียนชื่อฝรั่ง เช่น
อิวันชี่ Ivancich หัวหน้าแผนกอู่หลวง ยศนาวาตรี ไทยเรียก "อเวจี"
คเยลดาล Kjeldahl ต้นเรือพระที่นั่งมหาจักรีลำแรก ยศนายเรือโทไทยเรียก"เขย่งดัน"
เบรม Brehm หัวหน้าเอนจิเนียร์กองเรือรบ ไทยเรียก"อินชิเนียเปรม" ชื่อหลังนี้ดีกว่าสองชื่อแรกมาก อยางน้อยก็ได้เป็นสามีแม่พลอย
ความคิดเห็นที่ 52
มีเรื่องแถมอีก
ทำไมเมืองหลวงพม่าจึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองแก้ว แต่ก่อนผมก็นึกว่ารัตนอังวะแปลว่าเมืองที่รุ่มรวยด้วยเพชรนิลจินดา พอมาค้นๆเรื่องพม่าที่นำมาเสนอถึง5ตอนนี่ พบว่าหมายเมืองที่ผลิตแก้วมีค่า เป็นที่ต้องการของใครต่อใครชนิดหนึ่ง ที่นับว่าเป็นรัตนะเหมือนกัน
แก้วอังวะ เป็นแก้วที่หุงด้วยกรรมวิธียุ่งยากพิศดาร แล้วดาด(เท)ลงบนแผ่นดีบุกอย่างบางเฉียบเป็นกระจก มีสีต่างๆ เช่น สีใส สีเขียว สีฟ้า สีขาว สีแดง ใช้สำหรับประดับตกแต่งส่วนประกอบของอาคาร เช่นช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ เกล็ดพญานาค ฯลฯ และเครื่องเรือนเครื่องใช้ที่ต้องการความหรูเลิศเช่น บัลลังก์ ธรรมาสน์ ตู้ตั่ง มงกุฏ ฝักพระแสงดาบเป็นต้น
กระจกชนิดนี้ ไทยทำไม่ได้ อยากใช้ก็ต้องสั่งจากจีน เรียกว่า "กระจกเกรียบ" เป็นกระจกที่มีคุณสมบัติสามารถงอพับและตัดด้วยกรรไกรได้ ไม่เหมือนแก้วสีที่หล่ออย่างหนา นั่นเรียกว่า กระจกแก้ว
แก้วอังวะจัดอยู่ในประเภทกระจกจีนหรือกระจกเกรียบ พม่าคิดค้นทำมานานแล้วด้วยสูตรเฉพาะของตนเอง มีสีสดใส ดาดลงบนแผ่นดีบุกชิ้นใหญ่ๆ ดีกว่าของจีนตรงที่ว่าสามารถตอกตรึงติดกับโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมได้โดยง่าย พม่าจึงภาคภูมิใจมาก เมืองอังวะที่เป็นแหล่งผลิตแก้วนี้ พม่าจึงเรียกว่า รัตนปุระอังวะ ต่อมาสร้างอมรปุระใกล้ๆกัน คล้ายกรุงเทพกับธนบุรี ก็ใช้ชื่ออย่างยาวว่า อมรรัตนปุระอังวะ
ความคิดเห็นที่ 56
การปักปันเขตแดนตามสนธิสัญญาไทย-อังกฤษตามพรมแดนไทย-พม่า กระทำในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ ลงนามกันในวันที่ 8กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2411 (1868) แต่มีบันทึกไว้ในแผนที่ต่อท้าย สนธิสัญญาว่า
แผนที่ฉะบับนี้ พณฯ เจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินฝ่ายสยาม และ พณฯ เจ้าพระยาภูธราภัย ที่สมุหนายกผู้เป็นข้าหลวงฝ่ายสยาม สำรับปฤกษาการปักปันเขตรแดน กับทั้งเลฟเตเนนท์ อาเธ่อ เฮอเบิต แบค ข้าหลวงฝ่ายสมเด็จพระนางเจ้าอังกฤษ ได้ตรวจดูแล้ว แลตกลงเห็นชอบพร้อมกันว่า เป็นแผนที่สำแดงเขตรแดน
ในรหว่างกรุงสยามกับเมืองพม่าของอังกฤษ ตั้งแต่ลำน้ำแม่เม้ย (ทุงยีน) ลงมาจนถึงวิคตอเรียปอยน์ต (แหลมสนปากจั่น) การที่ได้ตรวจแผนที่นี้ยังไม่ได้ว่าถึง เกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้วิคตอเรีย ปอยน์ต (แหลมสนปากจั่น)นี้แลเป็นเรื่องที่ข้าหลวงทั้งสอง ฝ่ายยังไม่ได้ตกลงกัน
ทำที่กรุงเทพ วันที่ ๘ เฟบรุวารี คฤสตศักราช ๑๘๖๘ ปีตรงกับวัน ๗ฯ ๓ ค่ำ ปีเถาะ นพศก จุลศักราช ๑๒๒๙ ,
 
ประทับตรา ( ลงชื่อ ) เจ้าพระยาศรีสุริยวงษ
อาเธ่อ ฮ . แบค รอยัลอินธิเนีย
 
แผนที่ฉะบับนี้ถูกต้องแล้ว
(ลงชื่อ) อัลเบิต ฟิตซ์ เคอลเนล ชีพ คอมมิชั่นเนอ (ข้าหลวงใหญ่) เมืองพม่า อังกฤษ แลเป็นผู้รับธุระของคอเวอเนอ เยเนอราล (อินเดีย)
(อ้างอิง_นายสำเนียง เมืองนิล กระทรวงการต่างประเทศ)
ความคิดเห็นที่ 62
เขตแดนไทย-พม่า เป็นผลของความตกลงกำหนดเขตแดนระหว่างไทยกับอังกฤษในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 อังกฤษส่งร้อยเอกเฮนรี เบอร์นี (Henry Burney) เป็นทูตเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อเจรจาทางไมตรี และได้มีการหารือกันเกี่ยวกับแนวเขตแดนด้วยทั้งเขตแดนทางด้านมลายูและด้านพม่า
ในสมัยนั้นความเข้าใจในเรื่องเส้นเขตแดนตามความนิยมของฝ่ายไทยและฝ่ายอังกฤษยังแตกต่างกันมาก กล่าวคือฝ่ายไทยมีความเข้าใจในแง่ว่าเป็นบริเวณกว้างๆ เช่น อาณาเขตไทยแผ่ไปถึงหัวเมืองนั้นๆ เป็นต้น แต่ฝ่ายอังกฤษมีความเข้าใจในแง่ที่เป็นเส้นแบ่งเขตที่แน่ชัดว่าอยู่ ณ พิกัดใด ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องเขตแดน
อย่างไรก็ดี ในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีฉบับปี 2469 ที่ทำขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ”สัญญาเบอร์นี” นั้น ทั้งสองฝ่ายได้ตกลง เรื่องเขตแดนกันไว้ในข้อ 3 ความว่า
"… ถ้าอังกฤษสงสัยด้วยเขตแดนยังไม่รู้แน่ ก็ให้เจ้าเมืองข้างฝ่ายอังกฤษมีหนังสือแต่งคนแลชาวด่านมาไต่ถามเจ้าเมืองฝ่ายไทยที่อยู่ใกล้กัน เจ้าเมืองฝ่ายไทยจะแต่งกรมการแลชาวด่านพร้อมด้วยคนเจ้าเมืองฝ่ายอังกฤษไปกำหนดชี้ที่แดนต่อกัน ให้รู้
เป็นแน่ทั้งสองข้างโดยทางไมตรี ถ้าเจ้าเมืองฝ่ายไทยสงสัยด้วยเขตแดนยังไม่รู้แน่ ก็ให้เจ้าเมืองข้างฝ่ายไทยมีหนังสือแต่งคนแลชาวด่านมาไต่ถามเจ้าเมืองฝ่ายอังกฤษที่อยู่ใกล้กัน เจ้าเมืองฝ่ายอังกฤษจะแต่งกรมการแลชาวด่านพร้อมด้วยคนเจ้าเมืองฝ่ายไทยไปกำหนดชี้ที่แดนต่อกัน ให้รู้เป็นแน่ทั้งสองข้างโดยทางไมตรี"
ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งอังกฤษได้ชัยชนะเหนือพม่าอย่างสมบูรณ์แล้ว อังกฤษได้เสนอให้มีการสำรวจและปักปันเขตทางบกระหว่างสยามกับมณฑลตะนาวศรี (Tenasserim) กล่าวคือจากสบเมย (บริเวณที่แม่น้ำเมยไหลลงแม่น้ำสาละวิน) จังหวัดแม่ฮ่องสอน ไปจนถึงปากน้ำของแม่น้ำ
กระบุรี หรือแม่น้ำปากจั่น จังหวัดระนอง จึงได้เกิดแนวเขตแดนตามหลักสากลนิยมระหว่างกันขึ้นเป็นครั้งแรก และมีการจัดทำอนุสัญญาฉบับวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2411(ค.ศ. 1868) โดยมีการจัดทำหลักเขตแดนไว้ทั้งสิ้น 51 หลักด้วยการใช้กองหินหรือบากต้นไม้ใหญ่ไว้เป็นสำคัญ
สำหรับเขตแดนจากบริเวณสบเมยขึ้นไปนั้น เดิมทีอังกฤษก็ยอมรับว่าแม่น้ำคงหรือแม่น้ำสาละวินเป็นเขตแดน โดยมีการทำหนังสือสัญญากับเจ้าเชียงใหม่เมื่อปี 2377 (ค.ศ. 1834) โดยพลการ และมีการสำรวจและปักหลักเขตแดนตามลำน้ำสายสำคัญของแม่น้ำสาละวินเมื่อปี 2392(ค.ศ. 1849)
เนื่องจากสัญญาดังกล่าวไม่ได้รับอาณัติจากรัฐบาลไทย ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงได้จัดทำอนุสัญญาฉบับวันที่ 14 มกราคม 2417 (ค.ศ. 1874) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “สัญญาเชียงใหม่” ยอมรับว่าแม่น้ำสาละวินเป็นเขตแดนระหว่างกัน และต่อมาเมื่อปี 2426 (ค.ศ. 1883) ซึ่งมีการทำ “สัญญาเชียงใหม่” ฉบับที่ 2 ทั้งสองฝ่ายก็ยังยอมรับว่าแม่น้ำสาละวินเป็นเขตแดน
อย่างไรก็ดี ต่อมาอังกฤษได้เข้ามาอ้างสิทธิเหนือหัวเมืองชายแดนด้านตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน ได้แก่หัวเมืองกะเหรี่ยง (เมืองแจะ เมืองใหม่ และเมืองแม่สกุน) หัวเมืองเงี้ยวทั้งห้า(เมืองต่วน เมืองหาง เมืองจวด เมืองทา และเมืองสาด) และหัวเมืองตั้งแต่เชียงแสนไปถึงเชียงตุง(เมืองยอน เมืองตูม เมืองกวาน เมืองไฮ และ
เมืองโก) และหัวเมืองเชียงแขง และเกิดกรณีพิพาทกับฝ่ายไทยหลายครั้ง โดยวัตถุประสงค์หลักของอังกฤษก็คือการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรป่าไม้และการเก็บภาษีในหัวเมืองดังกล่าว รวมทั้งการแข่งขันกับฝรั่งเศสในการขยายอิทธิพล ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงปี 2428-2438
ในส่วนของไทยนั้น นอกจากจะเผชิญหน้ากับอังกฤษเกี่ยวกับพรมแดนทางด้านใต้และตะวันตกแล้ว ก็ยังเผชิญหน้ากับฝรั่งเศสซึ่งแผ่ขยายอำนาจเข้ามาทางทิศตะวันออกด้วย (ซึ่งภายหลังการเผชิญหน้าได้ลุกลามออกไปจนเกิดเป็น “วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112") ไทยจึงต้องการแสวงหาข้อยุติกับอังกฤษโดยเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดศึก 2
ด้าน และได้มีการเจรจากับอังกฤษหลายครั้งเกี่ยวกับหัวเมืองทางเหนือ (เขตแดนระหว่างเมืองเชียงใหม่กับเมืองเชียงตุง กล่าวคือดินแดนระหว่างแม่น้ำกกกับแม่น้ำสาย และหัวเมืองเชียงแขงหรือเมืองสิง)ทั้งสองฝ่ายได้จัดส่งคณะข้าหลวงออกไปสำรวจแนวเขตแดนที่พิพาท โดยฝ่ายอังกฤษได้สั่งการให้นาย W.J. Archer รองกงสุลอังกฤษที่เชียงใหม่นำคณะไปสำรวจพื้นที่เมื่อปี 2433 (ค.ศ.1890)
ต่อมานาย Archer ได้เสนอรายงานพร้อมแนบแผนที่เสนอแนวเขตแดนระหว่างกันต่อรัฐบาลอังกฤษเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2434 (ค.ศ. 1891) สำหรับฝ่ายไทยนั้น ก็จัดส่งคณะข้าหลวงออกไปสำรวจพื้นที่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับฝ่ายอังกฤษ
ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2434 (ค.ศ. 1891) รัฐบาลอังกฤษได้สั่งการให้Captain Jones กงสุลอังกฤษที่กรุงเทพฯ เสนอเส้นแบ่งเขตดังกล่าวแก่รัฐบาลสยาม
ในชั้นแรกพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงษวโรประการ เสนาบดีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทรงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของอังกฤษ และได้ทรงสั่งการให้อัครราชทูตไทยที่กรุงลอนดอน พร้อมด้วยนาย Frederick W.Verney ที่ปรึกษาของไทยเจรจาเรื่องนี้กับรัฐบาลอังกฤษ หลังจากนั้นได้มีการเจรจาเรื่องนี้กับรัฐบาลอินเดีย รวมทั้งการเจรจาที่กรุงเทพฯ ระหว่างเสนาบดีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกับนาย E.H.French ผู้รักษาการอุปทูตและกงสุลใหญ่อังกฤษ ในช่วงเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม 2435 (ค.ศ.1892)
ในที่สุดก็สามารถตกลงกันได้โดยฝ่ายไทยยอมรับข้อเสนอของฝ่ายอังกฤษ และฝ่ายอังกฤษยอมยกเมืองเชียงแขงหรือเมืองสิงให้ไทย (แต่ในปีต่อมาไทยเสียเมืองนี้ให้กับฝรั่งเศสโดยผลของอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ฉบับปี ค.ศ. 1893) และหัวเมืองฝั่งตะวันตกของเมืองเชียงแสนให้ฝ่ายไทยทั้งนี้ ได้ตกลงกันด้วยว่าจะจัดคณะข้าหลวงไปสำรวจและปักปันเขตแดนระหว่างกัน
ดังนั้นฝ่ายไทยจึงได้มีการออกสารตราพระราชสีห์ถึงข้าหลวงเมืองลาวเฉียง และศุภอักษรถึงเจ้าเชียงใหม่ ฉบับวันที่ 27 ตุลาคม ร.ศ. 111 เพื่อให้ทราบผลการเจรจาและสั่งการให้อำนวยความสะดวกแก่คณะข้าหลวงที่จะออกไปปักปันเขตแดนคณะข้าหลวงปักปันได้นัดหมายไปประชุมกันที่เมืองหางเมื่อเดือนกันยายน 2435 (ค.ศ. 1892) และได้แยกกันเป็น 2 คณะ โดยคณะหนึ่งมีหลวงสรสิทธิ์ยานุการกับนายฮิลเดอแบรนด์เป็นข้าหลวงฯ ได้สำรวจและปักปันเขตแดนจากเมืองหางไปทางตะวัน
ออก (คือไปทางเมืองเชียงแสนและเมืองเชียงราย) ส่วนอีกคณะหนึ่งมีหลวงกำจัดไพรินทร์กับนายเลบเวอร์ซอนเป็นข้าหลวงฯ ได้สำรวจและปักปันเขตแดนไปทางตะวันตก (คือไปทางเมืองแจะ)เมื่อคณะข้าหลวงฯ ดำเนินการแล้วเสร็จโดยมีการปักหลักเขตแดนไว้ 21 หลัก ได้มีการจัดทำแผนที่ขึ้นไว้ 1 ชุดและทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันลงนามปฏิญญาฉบับวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1894 และยอมรับว่าเขตแดนระหว่างกันเป็นไปตามที่ปรากฏในแผนที่ชุดดังกล่าว
ข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศ
โฆษณา