21 พ.ย. 2024 เวลา 04:28 • กีฬา

มือใหม่ไม่งง! คู่มือดู Formula1 (F1) แบบเข้าใจใน 10 นาที

Formula 1 (F1) คือ การแข่งขันรถยนต์ระดับโลกที่เน้นความเร็วและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยการแข่งขัน F1 จะแข่งขันเป็นฤดูกาล ฤดูกาลละ 24 สนามในประเทศต่างๆ เรียกว่า Grand prix โดยที่ Grand prix จะมีเป็น 2 ประเภท คือ แบบธรรมดา และแบบ Sprint race โดยรถที่นำมาแข่งขันจะมีทั้งหมด 20 คันแบ่งเป็นทีมละ 2 คัน ทั้งหมด 10 ทีมเก็บคะแนนไปเรื่อยๆทั้งหมด 24 สนาม โดยจะแบ่งเป็น 3 วันในช่วงสุดสัปดาห์(บางสนามอาจจะเป็นพฤหัส ศุกร์ เสาร์)
แบบธรรมดา โดยส่วนมากจะเป็นกฎนี้โดยจะแบ่งเป็น 3 session
Session 1 Practice (แบ่งเป็น P1 P2 P3)
เป็นการลองรถเพื่อเก็บข้อมูลและฝึกซ้อมในสนามนั้นๆแบ่งออกเป็น 3 รอบPractice
Session 2 Qualifying (เป็นการหาตำแหน่งเพื่อออกสตาร์ทในวัน RACE)
Q1 (18 นาที) - เป็นการนำรถ 20 คันมาทำเวลาที่ทำต่อรอบเร็วที่สุดแล้วมาเรียงลำดับกัน โดยรอบนี้จะคัดออก 5 คัน ส่วน 5 คันนี้จะมาเรียงลำดับ Start เป็น 15 14 13 12 11 ตาลำดับเวลาต่อรอบ
Q2 (15 นาที) - เป็นการนำรถ 15 คันที่เหลือมาคัดออกอีก 5 เหมือน Q1
Q3 (12 นาที) - จะเป็นการแข่งขันโดยจะมาเรียงลำดับ Start โดยเรียงจากความเร็วต่อรอบมากสุดไปน้อยสุด โดยคนที่ได้คนอันดับที่ 1 จะเรียกว่า POLE Position เป็นตำแหน่งคนที่ออกสตาร์ทเป็นคันแรกของการแข่ง
Session 3 Race (เป็นการแข่งขันเรื่องของความเร็วและการจัดการ)
รอบนี้จะนำ 20 คันที่มาจากรอบ Qualifying ที่จัดอันดับกันมาแล้วมาแข่งขันกัน โดยแบ่งเป็นคะแนนตามนี้
  • ​อันดับที่ 1 - 25 คะแนน
  • ​อันดับที่ 2 - 18 คะแนน
  • ​อันดับที่ 3 - 15 คะแนน
  • ​อันดับที่ 4 - 12 คะแนน
  • ​อันดับที่ 5 - 10 คะแนน
  • ​อันดับที่ 6 - 8 คะแนน
  • ​อันดับที่ 7 - 6 คะแนน
  • ​อันดับที่ 8 - 4 คะแนน
  • ​อันดับที่ 9 - 2 คะแนน
  • ​อันดับที่ 10 - 1 คะแนน
  • ​อันดับที่เหลือไม่ได้คะแนน
  • ​คนที่ได้ Fastest Lap และอยู่ในอันดับ 1-10 จะได้ +1 คะแนน
กฎ Sprint Race จะมีบางสนามที่ใช้กฎนี้ โดยจะมีแค่ Free practice เดียวและตัด FP2 FP3 ออกแล้วจะใส่รอบ Sprint เข้าไปแทน โดยจะมีรอบ Sprint qualified และ Sprint เพิ่มเข้ามา โดยจะมีรอบ Sprint Qualifying จะเป็นการจัดอันดับ Grid ที่เริ่มในรอบ Sprint Race โดยมีกฎเหมือนรอบ Qualifying แต่ Sprint Qualifying จะลดเวลาของแต่ละ SQ ลงมา การนับคะแนนในรอบ Sprint Race
  • ​อันดับที่ 1 - 8 คะแนน
  • ​อันดับที่ 2 - 7 คะแนน
  • ​อันดับที่ 3 - 6 คะแนน
  • ​อันดับที่ 4 - 5 คะแนน
  • ​อันดับที่ 5 - 4 คะแนน
  • ​อันดับที่ 6 - 3 คะแนน
  • ​อันดับที่ 7 - 2 คะแนน
  • ​อันดับที่ 8 - 1 คะแนน
  • ​อันดับที่เหลือไม่ได้คะแนน
คะแนนมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ
1. คะแนนประเภทนักขับ
2. คะแนนประเภททีม
สัญลักษณ์ธงต่างๆใน F1
ธงสีแดง (Red Flag)
ใช้เมื่อมีเหตุการณ์ที่อันตรายมากในสนาม เช่น อุบัติเหตุใหญ่ หรือสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ธงแดงหมายความว่า ต้องหยุดการแข่งขันทันที และนักแข่งต้องชะลอความเร็วและกลับเข้าพิต
ธงสีเหลือง (Yellow Flag)
ใช้เพื่อเตือนนักแข่งให้ระวังอันตรายในสนาม โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นเมื่อมีอุบัติเหตุหรืออุปสรรคอื่นๆ ในเส้นทาง ธงเหลืองหมายความว่า ห้ามเร่งความเร็วและควบคุมรถให้ช้าลงระหว่างพื้นที่ที่ธงถูกโบก
ธงสีเขียว (Green Flag)
ธงนี้ใช้เมื่อสนามกลับมาปลอดภัยหรือหลังจากการหยุดการแข่งขัน ธงเขียวหมายความว่าสามารถแข่งต่อได้ตามปกติและสามารถเร่งความเร็วได้
ธงสีขาว (White Flag)
ใช้เพื่อบอกว่ามีรถที่ช้ากว่าอยู่ในสนาม (เช่น รถที่ออกจากพิตหรือรถที่ช้ากว่าคนอื่น) นักแข่งต้องระวังการแซงรถคันนั้น
ธงสีดำ (Black Flag)
ใช้เพื่อเตือนนักแข่งว่าพวกเขาถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขัน เนื่องจากการกระทำที่ผิดกฎ หรือเหตุการณ์ที่ไม่ปลอดภัย
ธงสีฟ้า (Blue Flag)
ใช้เมื่อมีรถที่เร็วกว่ากำลังจะมาแซงรถที่ช้ากว่า ธงฟ้าหมายความว่ารถที่ได้รับธงต้องยอมให้รถที่แซงผ่านไป
ธงสีดำและขาว (Black and White Flag)
ใช้เพื่อเตือนนักแข่งถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือกฎระเบียบที่ไม่เป็นไปตามที่กำหนด เช่น การขับที่อันตรายหรือการเบียดกับรถคันอื่น
ธงเช็คเกอร์ (Checkered Flag)
ธงนี้ใช้เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง นักแข่งที่ข้ามเส้นชัยก่อนจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน
ธงสีส้ม (Orange Flag)
ใช้ในกรณีที่มีปัญหาหรืออุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับรถคันหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้การควบคุมสนามต้องชะลอความเร็ว
ยางใน Formula 1 (F1) เป็นส่วนสำคัญของการแข่งที่มีบทบาททั้งในเรื่องของความเร็ว การควบคุมรถ และความปลอดภัย ยาง F1 ถูกออกแบบมาเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและความท้าทายในสนามแข่งขันที่แตกต่างกันไป ซึ่งทำให้ยางแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันไปตามสภาวะของสนาม
ประเภทของยาง F1
ยาง F1 ถูกจัดแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามสภาพอากาศและสนามที่ใช้ในการแข่งขัน โดยยางทั้งหมดได้รับการผลิตและจัดจำหน่ายโดย Pirelli ซึ่งเป็นผู้จัดหายางสำหรับการแข่งขัน F1 ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา
ยางแห้ง (Dry Tyres)
  • ซอฟต์ (Soft): ยางประเภทนี้มีการยึดเกาะที่ดีที่สุดในสภาพสนามแห้ง แต่จะสึกหรอได้เร็วที่สุด เหมาะสำหรับการทำเวลาในรอบควอลิฟายหรือช่วงที่มีการแข่งในสนามแห้ง
  • มีเดียม (Medium): ยางที่สมดุลที่สุด มีการยึดเกาะที่ดี แต่ไม่สึกหรอเร็วเกินไป เหมาะสำหรับการแข่งในสภาพสนามที่ไม่ร้อนจัด
  • ฮาร์ด (Hard): ยางประเภทนี้มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด โดยมักจะใช้ในระยะยาวหรือในสนามที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น ยางฮาร์ดมีความยึดเกาะน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่น
ยางเปียก (Wet Tyres)
  • Intermediates (Intermediate): ใช้ในสภาพสนามที่มีฝนตกไม่หนักมาก หรือสนามที่มีน้ำขังบางส่วน ยางประเภทนี้ออกแบบมาเพื่อให้สามารถทำงานได้ดีในสนามที่เปียก แต่ไม่ถึงขั้นมีน้ำขัง
  • Full Wet (Wet): ยางนี้ออกแบบมาใช้ในสภาพสนามที่มีฝนตกหนักและมีน้ำขังอยู่บนพื้นผิวสนาม มันสามารถระบายน้ำได้มากที่สุดและให้การยึดเกาะในสภาพเปียกมากที่สุด
ยาง F1 กับกลยุทธ์การแข่งขัน
  • การเลือกใช้ยางในแต่ละรอบการแข่งขันมีบทบาทสำคัญในการแข่งขัน F1 โดยทีมต่างๆ จะต้องวางแผนกลยุทธ์ในการเลือกยางและทำการเปลี่ยนยางในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • การเลือกยางในรอบควอลิฟาย (Qualifying): ทีมมักจะเลือกใช้ยางซอฟต์ในการทำเวลารอบเร็วที่สุดในช่วงควอลิฟาย เนื่องจากมันให้การยึดเกาะที่ดีที่สุดในสนามแห้ง
  • การเลือกยางในระหว่างการแข่งขัน: ทีมจะต้องเลือกยางให้เหมาะสมกับสภาพสนามที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเลือกยางมีเดียมหรือฮาร์ดเมื่อการแข่งขันเริ่มมีการยืดเวลาหรือในสภาพอากาศที่ร้อน
การบังคับใช้กฎการใช้งานยาง
  • จำนวนยางที่สามารถใช้ได้: ทีมต่างๆ จะได้รับยางจำนวนจำกัดสำหรับการแข่งขันในแต่ละสัปดาห์
  • การเปลี่ยนยาง: นักแข่งต้องเปลี่ยนยางอย่างน้อยหนึ่งครั้งในระหว่างการแข่งขัน หากมีสภาพสนามแห้ง (หากมีฝนตก สามารถใช้ยางเปียกได้ตลอด)
โฆษณา