Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
มินิซีรี่ย์
•
ติดตาม
25 พ.ย. 2024 เวลา 06:56 • นิยาย เรื่องสั้น
บางระจัน 7
๔ เกียรติศักดิ์รักของข้ามอบไว้แก่ตัว
ท้องฟ้าเวิ้งมีเมฆกลุ่มจับพยับสำแดงฝนต้นฤดูได้เริ่มแล้ว กรุงศรีอยุธยาพระนครหลวงซึ่งถูกพม่าศึกยกมาประชิดล้อมพระนครไว้ทั้งทัพบกทัพเรือทุกด้านนั้นก็พอจะเห็นช่องชำนะ โดยถ่วงการศึกนี้ให้ล่าช้าคอยจนกว่าฝนจะลงชุก หรือน้ำเหนือหลากมาท่วมก็จะแต่งทัพในกรุงยกออกโจมศึกนั้นให้พ่ายแพ้ยับเยินไม่ต้องเลิกทัพถอยไปเองเพราะฝนและน้ำนั้นหลากมา แต่ความคิดเห็นเหล่านี้หากจะเป็นข้อใหญ่สำคัญก็
หาอาจที่จะเปลื้องความวิตกทุกข์ร้อนใจของเหล่าราษฎรซึ่งถูกล้อมอยู่ภายในกำแพงกรุงนั้นได้ไม่ ด้วยปรากฏความว่า ทัพหลวงที่แต่งออกไปต่อตีข้าศึกครั้งไรก็มีแต่พ่ายแพ้กลับมาทุกครั้งทุกหน กระทั่งกิตติศัพท์เลื่องลือมาว่าชาวบ้านระจันอันเป็นชนบทน้อยโน้น ซึ่งมีหัวใจแกล้วกล้ารักบ้านเกิดเมืองนอนต่างมีใจเจ็บร้อนแทนชาติและเพื่อนร่วมเมือง ได้พร้อมใจกันตั้งค่ายขึ้นต่อสู้พม่าข้าศึก ตีพม่าทั้งใหญ่น้อยที่ยกไปปราบปรามแตกพ่ายย่อยยับมาแล้วหลายครั้งหลายหนเป็นที่เลื่องลือจนข้าศึกเกิด
ระย่อกลัวเกรงฝีมือและถอยกำลังลง เพราะไพร่พลพม่าที่ยกไปและพ่ายแพ้มาทั้ง ๖ ครั้งนั้นถูกชาวค่ายระจันฆ่าตายเสียมากกว่าจะเหลือกลับอันเป็นข้ออัศจรรย์ยิ่ง พวกข้างในกรุงทั้งทหารและพลเรือนเมื่อได้ข่าวก็พากันมีใจมิ่งขวัญอันเคยหวาดกลัวว่าไทยจะพ่ายแพ้ก็อันตรธานเสื่อมหาย และต่างก็กล่าวสดุดีในความกล้าหาญสามารถของชาวค่ายระจันอยู่ไม่ขาด แล้วทัพข้างกรุงก็ค่อยเกิดกำลังน้ำใจฮึกเหิมที่จะคิดสู้ศึกยิ่งขึ้น
จึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอกทัศน์ก็โปรดเกล้าฯ ให้พระยาพระคลังถืออาญาสิทธิ์เป็นแม่ทัพพร้อมด้วยท้าวพระยาข้าราชการใหญ่น้อยทั้งปวงสมทบกับทัพหัวเมืองที่เกณฑ์ไว้เป็นพลหมื่นหนึ่งให้ยกออกไปตีค่ายใหญ่พม่าอันตั้งอยู่ปากน้ำพระประสบข้างฝ่ายเหนือเป็นการซ้ำเติมตัดกำลังเพื่อพ่ายแพ้เสียโดยเร็ว
พระยาพระคลังกับนายทัพนายกองทั้งปวงก็กราบถวายบังคมลายกออกจากพระนครในวันนั้น รี้พลมากมายเต็มไปทั้งท้องทุ่ง มีทั้งกองอาทมาตผู้ชำนาญในวิทยาคมและฝีมือนำทัพไป อันการรบนั้นเล่าทัพข้างฝ่ายกรุงก็มีน้ำใจกล้าหาญมิ่งขวัญอยู่และเข้าโจมตีจนพม่าเกือบจะต้องเสียค่าย หากแต่พระยาพระคลังแม่ทัพมิได้เตรียมการที่จะ
หาเครื่องกำบังกระสุนปืน เมื่อเข้าประชิดค่ายจึงต้องถอยกลับเสียครั้งหนึ่งก่อน และต่อมาอีก ๒-๓ วันจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพระคลังยกไปอีก แต่การรบครั้งนี้ทัพไทยยังมิทันจะได้เข้าตีค่ายก็ถูกพม่าแต่งกลหลอกให้รี้พลเปิดประตูหลังค่ายหาบคอนทำทีจะแตกหนี เมื่อกองอาทมาตของฝ่ายไทยยกล้ำเข้าไป เนเมียวมหาสีหบดีแม่ทัพใหญ่จึงขับพลพม่าทั้งกองม้าและพลเดินเท้าเข้าโอบหลังโจมตี ทัพข้างฝ่าย
กรุงก็ล้มตายพากันแตกหนีถอยมา ณ โพธิ์สามต้นทั้งสิ้น บรรดาราษฎรที่ชักชวนกันติดตามกองทัพออกไปดูการรบก็ถูกฆ่าฟันล้มตายเสียมาก แต่วันนั้นกองทัพพระยาตากสินมิได้แตกจึงช่วยรอรบป้องกันไว้แล้วข้ามมาฟากตะวันออกต่อภายหลัง ฝ่ายข้างทัพพม่าเห็นมีชัยเป็นทีจึงให้กองทัพหน้ายกตามมาตั้งค่ายอยู่บ้านโพธิ์สามต้นประชิดใกล้พระนครยิ่งกว่าก่อน
แต่เนเมียวมหาสีหบดี แม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือของพม่ายังคงมีความร้อนใจอยู่มาก ในเมื่อจิกแกปลัดเมืองทวายซึ่งยกไปรบชาวค่ายระจันและแตกพ่ายมาเป็นครั้ง ๖ จึงเกรงไปว่าหากชาวค่ายระจันจะแต่งทัพยกมาตีเป็นศึกกระหนาบช่วยกรุงแล้วก็น่าที่ทัพพม่าจะต้องพ่ายแพ้ปราชัยเป็นแน่ เพราะกิตติศัพท์ในการรบและฝีมือของชาวบ้านระจันเป็นที่เลื่องลือและครั่นคร้ามแก่ไพร่พลพม่ามากมายนัก
ครั้นแล้วเนเมียวมหาสีหบดีก็คิดที่จะปราบปรามชาวค่ายระจันให้แพ้เสียโดยเร็วก่อนที่จะยกมาช่วยกรุง จึงสั่งให้นายทัพนายกองเรียกทหารอาสาพลสมัครเลือกสรรแต่ที่กล้าหาญคัดมาทุกๆ ค่ายจัดเป็นกองทัพมีทั้งทหารม้าและราบพลเดินเท้าเป็นพลพันเศษ และมากกว่าทุกๆ ครั้งพร้อมด้วยอาวุธ ให้อากาปันญีถืออาญาสิทธิ์เป็นแม่ทัพยกขึ้นไปปราบปรามชาวค่ายระจันเป็นศึกใหญ่
บางระจัน อันเป็นบ้านดอนชนบทอยู่หว่างแคว้นวิเศษไชยชาญกับสุพรรณและเมืองสิงห์ต่อกัน นับแต่ชาวบ้านได้ร่วมใจกันตั้งค่ายขึ้นรับศึกพม่าเมื่อเดือน ๔ ปีระกาจนถึงย่างเดือน ๗ ปีจอนี้ครัวซึ่งอพยพมาจากหนอื่นและแคว้นต่างๆ เมืองก็เพิ่มมากขึ้นเสบียงอาหารซึ่งสมบูรณ์อยู่แต่ก่อนก็ร่อยหรอขาดแคลนลง จึงผู้เป็นหัวหน้าจำต้องแต่งชาวค่ายยกออกเป็นกองเที่ยวลาดหาเสบียงตามที่ต่างๆ ที่เป็นคนระจันมีถิ่นฐานเป็นพื้นอยู่เดิมก็คิดไถคิดหว่านเพื่อสะสมเสบียงเตรียมไว้สู้ศึกแรมปี
ฝนย่างฤดูยังตกปรอยๆ ไม่ขาดเม็ด ถึงกระนั้นที่ชายแดนเปลี่ยว บ้านขุนโลกใต้บางระจันไปโน้น ชาวค่ายที่ยกกองออกลาดหาเสบียงและจากกระท่อมพักในค่ายมาแล้ว ๓-๔ วัน ซึ่งกำลังจะยกกลับก็ยังต้องอาศัยหลบฝนอยู่ตามโคนไม้ ม้าหมู่อีก ๗-๘ ตัวซึ่งคัดล้วนแต่ทหารค่ายฝีมือดีสำหรับคุมกองเสบียงก็เตรียมอยู่พร้อมที่จะยกออกเมื่อฝนหาย
ถึงไม่ใช่กองม้ากล้าบ้านคำหยาดที่เสียชีวิตไปแล้วกลางศึกหนโน้น และเป็นเพียงม้าเชลยซึ่งยึดไว้ได้ แต่คนขี่นั้นล้วนด้วยทหารฝีมือดีบ้านระจันที่เจนศึกมาแล้วทั้งขบวนรบหลังม้าและพลเท้าดาบสองมือ ตะวันบ่ายฝนปรอยเม็ดและฟ้ายังครึ้มด้วยเมฆกลางหาว ทั้งแสงแดดอ่อนกับสายฝนกลางทุ่ง ทำให้เจ้านายกองเสบียงเหงาหัวใจ
หวนคิดถึงทับอาศัยที่จากมาหลายวัน เมียรักเจ้าจักนอนหนาวคอยอยู่ที่ค่าย แฟงที่มันปรนปรือหัวใจให้ได้สุขเป็นยอดเยี่ยม ศึกดาบสองมือที่มันยกออกห้ำหั่นกับพม่ากลางแปลงพาชนะไปให้ชาวค่ายครั้งที่แล้วเล่า ก็เพราะแฟงเจ้าคอยบำเรอและปลอบให้เกิดมานะทำศึกอยู่หลัง
มันยืนม้ามองเร่งให้ฝนขาดเม็ดด้วยหัวใจป่วนคิดถึงแต่แฟง ถึงมิใช่หลังอ้ายเลาม้ารู้คำหยาดที่ตายไปแล้ว แต่มันก็ฝึกปรือให้เป็นม้าศึกรู้ขบวน และให้ชื่อว่าอ้ายเชลยตามที่ยึดไว้ได้
เจ้าเชลยคงผกหน้าผกหลังที่จะออกห้อคืนค่ายจนต้องรั้งบังเหียนผกกลับมาอีก แล้วเสียงหัวเราะจากคนที่ขี่อยู่ตัวหลังๆ ก็ก้ากขึ้นพร้อม
“อ้ายเชลยคงคิดถึงคอกเต็มประดา” แล้วก็ฮาขึ้นพร้อมอีก
เจ้าทัพที่ถูกอ้ายม้าเชลยทำให้เสียหน้า หันมาทำตาขุ่นเพราะรู้ว่าถูกเหน็บแนมจึงพูดตรงๆ
“มึงก็คิดถึงอีจวงวะอ้ายสังข์ ถึงอ้ายฟักก็เหอะ ป่านนี้นังโฉมมันก็คงคอยหาอยู่เหมือนกัน อย่าว่าแต่กูเลย”
เจ้าฟักไม่รู้เรื่อง “อ้าว ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ” แล้วก็พูดไม่รู้ไม่ชี้กับนายสังข์ที่ยืนม้าอยู่ข้างๆ “อีแฟงมันสวดมนต์เก่งรู้มั้ยล่ะพี่สังข์ ป่านนี้มันมิเร่งมนต์ยกใหญ่แล้วรึ อ้ายเชลยถึงได้ปั่นป่วนจะออกห้อให้ได้”
“อัปรีย์” ทัพด่าเจ้าพี่เมีย แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้ “เหอะกลับนี่กูจะยุให้เจ้าโฉมกะอีจวงตบหน้าเสียทั้งสองคน”
กลับถูกหัวเราะเยาะใหญ่โต แล้วเจ้าฟักก็ย้อนให้
“อีแฟงก็น้องฉัน ก็คงจะพอพูดพอจาให้แยกมาอยู่กะแม่ที่กระท่อมได้”
“แล้วมึงนึกว่ากูจะวิตกเพราะอยู่คนเดียวงั้นเรอะ”
“จะอะไรเสียอีก” นายสังข์สอดช่วยเจ้าฟัก “เพียงจะจากมาหาเสบียง ๓-๔ วันยังลาแล้วลาอีก อ้ายเรารึยืนคอยจนแสนเมื่อย”
“มึงเห็น”
“เห็นซีล่ะ” นายสังข์ยัน ชี้ไปที่เจ้าฟักคนโสด “ถามอ้ายฟักปะไร โอ๊ย-แอบดูแอบฟังสารพัดจะได้ยิน”
พอรู้ว่าความแตก เจ้านายม้าก็แสนอาย แล้วก็ต้องแก้อายด้วยเตือนอ้ายเชลยโผนเข้าไล่ชนม้านายสังข์และเจ้าฟัก
แต่พวกกองเสบียงทั้งชายหญิงที่เปลื้องหาบคอนนั่งพักคอยฝนหาย พากันยืนแตกตื่นชี้มือไปฟากทุ่งและเสียงพูดเสียงโจษกันแซ่ด ทั้ง ๓ คนที่กำลังชักม้าไล่ล้อกันต้องรั้งบังเหียนชะงัก ทัพมันป้องมือมองเห็นคนหมู่ใหญ่ทั้งหญิงชายกำลังวิ่งอลหม่านบ้างหอบหิ้วห่อของทั้งลุ้มลูกเล็กเด็กแดงและลากจูงกันสับสนกันอยู่ชายดงไม้ฟากทุ่งโน้นกำลังจะมุ่งมา
มันคิดไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ สาเหตุก็ไม่มีที่จะให้เกิดกาหลเช่นนั้น
“สังข์ อ้ายฟักด้วย” มันเรียกเพื่อนทุกข์ร่วมใจแล้วสั่งว่า “ควบไปให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้แหละ ข้าจะทิ้งไปก็ห่วงเสบียงข้าวของทางนี้”
ชั่วสั่งนั้น ม้าคู่ของเจ้าฟักกับนายสังข์ก็ห้อตัดทุ่งลิ่วตรงไป ทัพมันยืนป้องหน้าคอย และยิ่งร้อนหัวใจนักเมื่อเห็นกลุ่มคนล้อมหน้าล้อมหลังม้าทั้งสองอยู่ลิบๆ แล้วก็ออกวิ่งตาม สักครู่ม้าของนายสังข์กับเจ้าฟักก็ห้อกลับมาถึง
“ครัวไทย พี่ทัพ” นายสังข์บอกยังหอบชี้มือไปทางกลุ่มคนร่วม ๒๐ ที่กำลังวิ่งอยู่กลางทุ่งไกลมา “ครัวชาวบ้านที่หนีมาจากตะวันออกบอกว่ารู้ข่าวพม่ากำลังยกทัพใหญ่มาเพียบทุ่งจะถึงขุนโลกนี่ราวกลางดึกหรือพรุ่งนี้เป็นอย่างช้า และพวกนี้ก็ถูกอ้ายกองล่วงหน้าลาดตระเวนมันไล่หลังมา”
ทัพชะโงกม้าเข้าใกล้ย้ำถามว่า “ฮะ พม่ายกมาอีกและกำลังไล่ครัวมางั้นรึ”
“จ้ะพี่ มันกำลังไล่มาจะจับครัว อ้ายพวกลาดตระเวนมีสัก ๑๐ กว่าคนตามที่พวกหนีมาบอกฉัน เอ้อ มาถึงกันมั่งแล้ว” สังข์ชี้ทางพวกชาวบ้านที่กำลังวิ่งมาไล่ๆ กันทั้งลูกเล็กเด็กแดงต่างก็ร้องไห้ตื่นตระหนก แต่ฟากทุ่งโน้นทหารพม่าหมู่หนึ่งกำลังโผล่ดงไม้มา
“สังข์ ชักม้าแอบเข้าดงเร็ว” มันบอก และเร่งให้พวกครัวเข้ารวมกับกองเสบียง แล้วสั่งพวกพลที่คุมกองเสบียงมาอีก ๗-๘ คน “ขึ้นหลังม้า อ้ายฟักกับเจ้าสังข์ไปคุมอยู่หลัง ระวังตามข้าให้ทัน”
ชั่วสั่ง ม้านั้นก็มีคนประจำหลังพร้อมทุกตัว ดาบแล่นจากฝักเป็นคู่ๆ กองเสบียงที่เป็นชายก็คุมเชิงอยู่รอบหาบคอนและพวกครัวที่หนีร้อนมาพึ่ง
ฝนกลับเทซ้ำลงมาอีก หากจะตกหนาเม็ดกว่าเมื่อแรกแสงแดดก็คงเหลืองจับทุ่ง พม่าวิ่งมาพร้อมด้วยเสียงโห่ขู่ขวัญพวกชาวครัวไทยอย่างกำเริบ ดาบก็กวัดแกว่งร้องเร่งพวกกันโดยหาสำนึกไม่ว่าครัวที่หนีร้อนนั้นได้แฝงอยู่หลังทหารกล้าบ้านระจันแล้วทุกชีวิต
กองลาดตระเวนนั้นคงแล่นมาอีก วิ่งคุมกันเนืองๆ มาเป็นหมวดหมู่เกือบ ๒๐ คน เพราะหวังเชลยศึกที่หนีเตลิดมาก่อน ทัพมันแฝงอยู่หลังไม้พุ่ม อ้ายเชลยก็หวนจะออกแล่น พอเห็นศึกล้ำฟากทุ่งมา ดาบสองมือก็ควงลิ่วแล้วหันพยักสั่ง
“ตามให้ทัน ย่ำเสียอย่าไว้จนคนเดียว” พอกระทืบโกลนอ้ายเชลยก็ผงาดออก ม้าหลังก็โผนตามบังเหียนมัดติดเอว พวกครัวที่หนีมาหวุดหวิดชีวิตต่างประนมมือเอาใจช่วยขอทหารกล้าจงชำนะ ผีและปู่เจ้าประจำไพรทั้งท้องทุ่งบ้านขุนโลกนี้จงคุ้มไทยให้ชนะ และเมื่อรู้จากชาวเสบียงว่ากองม้าที่ควงดาบแล่นไปโน้นคือชาวค่ายระจันที่เลื่องลือ ต่างก็กล่าวคำสดุดีพากันมั่นใจในฝีมือรบ
ชั่วแล่นถึง เจ้าม้าเชลยก็ถูกเตือนโผนเข้ากลางหมู่เหยียบย่ำและผกหน้าโถมใส่ ดาบสองเล่มในมือเจ้าของบนหลังมันเสียงฉิวติดลมตัดเนื้อและคอแขนลงหล่นเกลื่อน ม้าหลังก็วนเวียนตะลุยตามอ้ายเชลย ทุกหัวใจคะนองศึกแค้นนักหนาที่พลศึกเหล่านี้ไล่ต้อนข่มเหงครัวไทย น้ำตานองหน้าของพวกครัวที่หนีร้อนมาเมื่อครู่ทั้ง
ลูกเล็กเด็กแดงได้ลำบากยังเห็นอยู่ติดตา ก็จงรู้เสียมั่งเถิดว่าเมืองศรีอยุธยายังไม่ไร้ผู้ชาย ไม่สิ้นทหารจะสู้ศึกและนี่ก็ทหารค่ายระจันบ้านน้อยที่ไม่ยอมจะนิ่งให้ใครมาดูแคลน ครั้นแล้วพลลาดตระเวนทัพใหญ่ของอากาปันญีก็วอดวายลงสิ้นอยู่แทบฝีเท้าม้า
“หมดแล้ว” ทัพกู่ก้องส่งเสียงสนั่นอยู่กลางพลข้าศึกหาชีวิตไม่แล้วควงดาบเตือนอ้ายเชลยแล่นมาที่พวกซึ่งชักม้าหันหวนเหมือนหนึ่งจะนับจำนวนศพ “ไม่เหลือจนชีวิตเดียวเออ ทหารเพื่อนเมือง ไปสู่สวรรค์ที่ชอบ อย่าผูกเวรเลย”
ทั้งกองลาดเสบียงและครัวเรือนโหเกรียวออกจากชายดงทุกหน้ายิ้มแย้ม บ้างตะโกนเสียงเครือล้วนแต่เป็นความปลื้ม กองครัวบ้านขุนโลกนั้นทั้งหญิงชายและผู้เฒ่าบางคนก็หลั่งน้ำตาไม่นึกว่าจะรอดก็กลับรอด อีกประการหนึ่งเล่า ตามกิตติศัพท์ที่เลื่องลือนักหนาก็เพิ่งประจักษ์มื้อนี้เอง น้ำใจและฝีมือกล้าของทหารค่ายช่างเป็นอัศจรรย์นัก
เจ้านายกองลาดเสบียงกับพลบ้านระจันถูกหญิงชายล้อมหน้าล้อมหลังทั้งกล่าวคำชมเชยและกอดรัดขอฝากชีพไว้กับทหาร บ้้างก็เข้าเก็บยึดเครื่องสาตราวุธของพม่าไว้ทำศึก และหญิงหนึ่งนั้นหน้าเจ้าคมคายก็กรากเข้ายึดบังเหียนอ้ายเชลย
“ทหารระจัน” เจ้าเรียกไม่รู้ชื่อแล้วก็ร้องไห้ “หากพบกันเร็วอีกครู่แล้วพ่อฉันคงไม่ตาย”
ทัพสงสัย “พบกันเร็วพ่อเจ้าไม่ตายงั้นรึ เอ๊ะ ก็มันเพราะเรื่องอะไรล่ะ”
หญิงนั้นกลับเพิ่มโศกเศร้าขึ้นอีก ชี้ที่เหล่าศพพม่าซึ่งนอนอยู่เกลื่อนดินแล้วก็เล่าความ “พ่อแกเป็นนายบ้านขุนโลกข้างใต้โน้น ตั้งใจจะเข้าอาศัยค่ายระจัน แต่พม่าก็ยกมาไม่หยุดหย่อนจึงต้องพาพวกครัวหลบเข้าดงอยู่นานนัก แล้วได้ข่าวว่าทหารระจันออกลาดเสบียงก็จะพาครัวเข้าหา พวกเหล่านี้แหละที่ฆ่าเพราะพ่อแกสู้ พวกฉันก็รีบหนีมา แต่อีกครึ่งหนึ่งถูกจับส่งไปแล้วทั้งแม่ด้วย”
ทัพมันนิ่งฟังเกิดสลดใจ นึกแต่ว่าเป็นกรรมแท้ของชะตาเมืองที่จะต้องเดือดร้อนทุกเส้นหญ้า ลูกแม่ทั้งพ่อและญาติพี่น้องต้องพลัดพรากไปคนละทิศบ้างตายบ้างสูญไม่ได้ข่าว และทุกข์เข็ญนั้นตกอยู่กับผู้หญิงคนเฒ่าคนแก่และเด็กไม่เดียงสานั้นมากกว่าใครอื่น
มันพูดปลอบไปตามการ และนึกสะกิดถึงคำเล่านั้น จึงถามว่า
“พวกลาดตระเวนหน้ามันมีอีกหรือ”
“มีอีก มีมากร่วมห้าหกสิบ แต่คุมครัวที่จับได้คอยพวกที่ตายนี่ เพราะนึกว่าพวกฉันจะไม่พ้นมือ”
ทัพมันได้คิดทันที พลพม่าคงจะรีบตามมาอีกเมื่อเห็นช้าและกองลาดเสบียงของบ้านระจันก็มีอยู่น้อยตัว และยังจะต้องห่วงหน้าห่วงหลังทั้งครัวและเสบียงที่ลาดหาไว้ ส่วนมานะสู้ใจร้อนด้วยคิดสงสารพวกครัวที่ถูกพม่าต้อนไปก็มีอยู่นัก มันแทบจะคลั่งใจตาย มันแทบจะร้องไห้ดังที่ต้องเกิดความจำใจครั้งนี้ รำลึกถึงกองม้าคำหยาด คิดถึงฝีมือเจ้าเคลิ้ม เจ้าขาบ และไพร่พลที่สิ้นชีพทั้งกอง หากอยู่แล้วก็จะนำไปตีครัวคืนมันเสียให้เกลื่อนทุ่งขุนโลก
ฝนขาดเม็ดสนิท ฟ้าฉายแดดขึ้นอ่อนๆ ความห่วงพวกค่ายที่คอยเสบียงและศึกใหญ่จะประชิดถึงบ้านระจันไม่รู้ตัวเป็นเหตุให้เจ้านายกองซึ่งคิดจะย้อนไปตามประหารศึกชิงครัวคืนจำใจชักม้าเข้าสู่ดง
เพื่อให้ข่าวศึกนี้รู้ล่วงหน้าไปถึงค่ายก่อน เมื่อเห็นพร้อมกันเรียบร้อยแล้วทัพจึงเรียกเจ้าหนุ่มพี่เมียมาหา
“ฟัก เอ็งล่วงหน้าไปให้ถึงค่ายก่อนแล้วบอกกับท่านพันเรืองให้รู้ว่าพรุ่งนี้คงจะเกิดศึกใหญ่ เพราะพม่ายกทัพมาใกล้ขุนโลกแล้ว มีพลและกองม้าอีกมากมายนัก ขอให้จัดทัพเร่งมาสกัดตีเสียก่อนอย่าให้ทันเข้าชิดไปถึงค่ายได้ ส่วนข้าจะคอยกันครัวและกองเสบียงตามไปอยู่ข้างหลัง”
เมื่อเจ้าฟักรับคำและควบม้าลัดดงไปแล้ว ทัพก็สั่งให้กองเสบียงและพวกครัวออกเดิน แม้หัวใจของชาวบ้านขุนโลกและมิ่งขวัญจะหวาดเสียวด้วยภัยพม่าประการไร แต่เมื่อต่างก็ตระหนักด้วยกันแล้วว่าผู้ที่จะติดตามมาข้างหลังนั้นล้วนเป็นเหล่าไทย ฝีมือฉกาจก็ค่อยอุ่นใจ ลูกแดงและผู้เฒ่าชราทั้งชาวบ้านหญิงพากันโลดเต้นร่าเริงเหมือนตายแล้วได้เกิดมาอีก จะมีคร่ำครวญอยู่บ้างก็เฉพาะผู้ที่ต้องพลัดพ่อหลงแม่เพราะถูกพม่าจับพรากตัวไปเป็นเชลย
เสบียงที่ลาดหามาทั้งกองมากมาย และชาวขุนโลกพากันออกเดินไปแล้วเห็นหลังไวๆ เห็นแม่สาวลูกนายบ้านขุนโลกยังเดินเหลียวหน้าเหลียวหลังอยู่ท้าย และยกมือโบกอำลามันเมื่อจะเลี้ยว เว้นเสียแต่แฟงแม่เพื่อนห้องเท่านั้นที่จะงามพอเทียบพอเคียง หาไม่จะหาหญิงใดอื่นจะเปรียบงามเจ้าอีกคงเสมอไม่ได้ เป็นกุศลแท้ของหญิงงามที่รอดพ้นมาพบมันหวุดหวิดหาไม่ป่านนี้ก็คงตกเป็นเชลยให้มันกอดปล้ำข่มเหงจนเสียสาวเสียศักดิ์หญิงสยามแน่
มันเฝ้าคิดเฝ้าชมแลโฉมสาวบ้านขุนโลก ใจก็ตวัดไปถึงแฟงเมียรักป่านนี้แฟงคงคอยหาคร่ำครวญถึงมัน เมื่อชนะศึกกลางแปลงด้วยทหารดาบแฟงก็รับชนะมันด้วยโผกอด เหลือจะปลื้มเมื่ออยู่ใกล้แฟงตลอดข้างแรม ๑๕ วัน กระท่อมนิดหนึ่งที่มีอีแฟงคอยบำเรอรักนั้นช่างเกิดสุขเหลือหลาย ทั้งเมืองระจัน ๒ ค่ายน้อยมันก็ได้ชื่อว่าเป็น
ทหารกล้ายอดฝีมือ เมียก็งามดังเลื่อนมาแต่ฟ้าบ้านคำหยาด ๓ วันเหมือน ๓ ปี ที่ต้องจากกระท่อมและเมียรัก คิดจะได้กลับมื้อนี้พออยู่ร่วมสุขกันเล่า มารก็ตามมาอีก ศึกใหญ่ที่จะต้องประหารขับเคี่ยวกันอีกก็มาขวางเป็นตัวทำลายสุข
เจ้านักรบค่ายน้อยของบ้านระจันเฝ้าเคลิ้มไปเมื่อหญิงงามอ้ายเชลยและม้าอื่นอีก ๗-๘ ตัวก็ส่งเสียงร้องให้แปลกใจ แต่พอสิ้นเสียง กองม้าสิ้นทุกคนก็ต้องเบิ่งหูขึงตามองกัน เพราะเสียงกระพรวน เสียงร้องของม้าอื่นแว่วมาแต่ไกลมากต่อมาก และกองครัวที่กำลังเดินเลี้ยวทิวไม้โน้นก็พากันวิ่งชุลมุนหนีรุดไปเป็นอลหม่าน
มันชักอ้ายเชลยนำม้าอื่นแฝงอยู่หลังพุ่มไม้ แฝงมองไปราวป่าฟากทุ่งโน้น มาแล้ว มารใหญ่ที่ก่อเดือดร้อนให้ชาวเมืองขุนโลกแล่นตกทุ่งมาอีกร่วม ๒๐ ก็จำเป็นอยู่นักที่มันจะต้องเสี่ยงชีวิตเข้าปะทะศึกนั้นไว้ก่อนพอถ่วงเวลาให้กองครัวและพวกลาดเสบียงพ้นไป และพอให้เจ้าฟักพาข่าวไปถึงค่ายทันการ
จึงหันปรึกษาความกับนายสังข์และพวกพลเพื่อฟังน้ำใจดู
“เราจะทำยังไงล่ะวะสังข์ เออ ทุกๆ คนนั้นแหละจะคิดอ่านกันยังไง”
เมื่อเสียงตอบว่าแล้วแต่มันจะเห็นงามสิ้นทุกคน ทัพจึงชี้แจงต่อไป
“น้องเอ๋ย เราเป็นชายชาติทหาร พี่ก็รู้ว่าศึกนี้คงจะเหลือกำลังสู้ เพราะมันมีมากกว่ามาก ทั้งเป็นกองม้าเหมือนกัน และจะมีหนุนมาอีกสักเท่าไรหารู้ไม่ แต่เมื่อจะไม่สู้รั้งไว้พวกที่หนีไปข้างหน้าก่อนและกองเสบียงก็จะเสียชีวิตถูกจับหมด เราก็ทหารอาสาเมืองทหารค่ายระจันปราบศึกมานักแล้ว จะถอยหลบหน้างั้นรึ ดาบจะนอนฝักนิ่ง แล้วห้อหนีให้ครัวข้างหน้าทั้งลูกเล็กและผู้หญิงผู้เฒ่าถูกมันต้อนไปฆ่าอีกงั้นรึ”
“ไม่ยอม” เสียงตอบพร้อมๆ กันหลายคน แล้วนายสังข์ก็กล่าวว่า “ถึงตายศึกนี้ก็สมทหารที่มีน้อยตัวกว่า สู้เถอะ”
ทัพยิ้มสมใจ มิเสียแรงที่ได้เกิดมาร่วมเมืองร่วมค่ายระจันทั้ง ๘ คน หัวใจช่างสมทหารนัก
“ถ้างั้นก็สู้จนตายหมดกอง” มันว่า แล้วพูดปลอบใจอีกทั่วตัวคน “เราเห็นกันแต่เท่านี้ เถอะ ถึงหากว่าจะต้องตายหมดก็จะต้องผลาญกองม้ามันมิให้ยกไปประชิดถึงค่ายได้ น้องข้าทุกคนขอให้ปลื้ม ทหารจะมีศักดิ์ก็เพราะสู้ตายกลางศึก ถึงหากจะมิได้กลับค่ายก็ขอให้เราได้นอนเรียงศพอยู่ในดง คอยรับหน้าพี่น้องเราที่จะยกมาถึงขุนโลกพรุ่งนี้ เอ้า ผูกบังเหียนชักดาบเร็ว”
ดาบสองมือกรากออกจากฝัก เลือดยังจะเพิ่งหมาดทุกคนมุ่งอารมณ์ขอปลงชีพให้แก่ชาติ ชีพชายจักบันลือศักดิ์เพราะชายไม่หนีศึก ตายดีตายร้ายก็หนเดียวที่มีอยู่ในชีวิตชาย ก็จะขอก้มหน้าถวายชีวิตแก่สยามมิให้เพื่อนเมืองทหารอื่นดูแคลน
ทัพป้องหน้าชะเง้อตัวสูงมองข้ามพุ่มไม้ไปอีก ใกล้มามากแล้ว ศึกกำลังตกทุ่งมาถึงย่านกลางที่รบกันเมื่อครู่ กำลังก้มมองดูศพเพื่อนกัน บ้างก็โดดจากหลังม้าเดินตรวจ แต่ขณะที่ทัพมันเพ่งดูนั้น สติปัญญาในเชิงศึกเจนในขบวนรบก็ทำให้มันได้คิดแล้วแสนจะดีใจ
“น้องข้า” มันหันพูดกับนายสังข์และคนอื่น “ศึกนี้จะต้องเสี่ยงชีวิตเอาชนะอย่างอัศจรรย์ ทหารพม่าเกือบ ๒๐ ถ้าจะสู้กลางแปลงเราก็คงจะเป็นรองตายหมด เพราะมันล้วนแต่ใช้หอกแลแหลนหลาว ก็จะต้องล่อให้เข้าดงคงชนะไม่ยาก”
นายสังข์และคนอื่นๆ พอจะมองเห็นช่องอุบายจึงจัดคนอีก ๓-๔ คนให้ลงจากหลังม้าเอาซุ่มไว้ แล้วถลันวิ่งเท้าเปล่าออกชายดง แล้ววิ่งย้อนกลับวกไปข้างท้ายที่มีม้าซุ่ม
ชั่วคนวิ่งผ่านไปเท่านั้น นายสังข์กับเจ้านายกองลาดเสบียงที่จะคิดหน่วงศึกก็สมอุบาย พลพม่าต่างเกรียวกราวชี้มือแล้ววิ่งกรูขึ้นหลังม้าควบเข้าใส่ ควบพลางก็โห่ร้องทั้งควงหอกซัดและแหลนหลาวคิดแต่จะเอาชีวิตชาวบ้านระจันที่รุมฆ่าพวกมันตายแล้วก็ไล่ลับเข้าท้ายดง
เป็นป่าไม้ทึบเปลี่ยวคับขันหนทางแคบ ทัพรั้งอ้ายเชลยบังคับให้นิ่งไม่โผนออก หัวใจเต้นอยู่ระทึก ขอปู่ป่าขุนโลกและเจ้าสิงไม้ใหญ่ประจำดงนี้จงรู้เห็นเป็นพยาน ศึกมันย่ำเมืองมาข่มเหงได้เดือดร้อนไปทั่วเส้นหญ้า ก็จะขอปราบศึก
คนล่อวิ่งผ่านรวดเร็วลับตัวไป ครู่นั้นก็เสียงควบไล่หลังมาแทรกแซงเบียดเสียดกันพัลวัน และไม่ทันที่จะคล้อยสิ้นท้ายขบวน เจ้าทัพก็ควงดาบออกจากพงไม้
“ถวายชีวิตควบเถิดน้องเอ๋ย ควบไปตายกลางศึกตะลุมบอนให้สมทหารลือบ้านระจัน”
อ้ายเชลยถูกโกลนเตือนแล่นไปแล้ว นายสังข์ห้อเหยียดนำม้าอื่นๆ ตามติดอ้ายเชลยไปผกสูงอยู่กลางศึกโลดเต้นคะนองใจเจ้าทหารกล้า นายเสบียงยืนหยัดอยู่บนหลังม้าเชลยศึกฟันประกาศฝีมืออยู่กลางพลเหมือนหนึ่งจะบอกกล่าวไว้ว่า ค่ายระจัน เมืองสิงห์ ทั้งสุพรรณ และวิเศษไชยชาญไม่สิ้นชาย แล้วนายสังข์และม้าตามอื่นอัน
ฝึกปรือชำนาญก็ผูกบังเหียนติดเอววิ่งปราดใส่ บ้างก็ยืนรบอวดฝีมือกระบวนดาบ และในชั่วศึกที่ติดพันเป็นตะลุมบอน ก็มุ่งจะประหัตประหารกันให้แหลกระหว่างกองม้ารบค่ายระจันและพม่า ระหว่างดาบสองมืออาวุธสั้นกับหอกซัดและแหลนหลาวทางไกล
เช้าตรู่ เพียงแสงเงินขึ้นเยี่ยมฟ้าเห็นใบไม้อ่อน ทุ่งและท้องฟ้าเวิ้งกึกก้องกัมปนาทด้วยเสียงฝีเท้าพลศึก ฆ้องครางกระหึ่มปืนไฟก็แลบเปรี้ยงถวายฤกษ์ เสียงโห่และข้าวตอกดอกไม้โปรยลมเช้ามืดพัดอู้คำรามมาทั่วสารทิศ ทัพบ้านระจันอันมีนายและพลเพียบทุ่งกำลังเคลื่อนขบวนแล้ว
พระอาจารย์ธรรมโชติคงยืนพรมน้ำมนต์อยู่บนไม้ยกพื้นสูงที่ประตูค่าย เมื่อทัพใดผ่านทัพนั้นก็เย็นเยือกหัวใจด้วยน้ำมนต์พรมทั้งคำพร สองฟากก็ล้วนแต่ผู้เฒ่าและเหล่าหญิงส่งเสียงขอให้ไปชนะอยู่ตลอดเวลา
เพราะศึกนี้ใหญ่หลวงนักตามที่ม้าเร็วของกองลาดเสบียงล่วงหน้ามาบอก บ้านระจันจึงต้องระดมทัพใหญ่อันพล ๑๐๐๐ เศษ แต่พ่อแท่นผู้กล้าอันเป็นนายทัพเดิมนั้นยังป่วยอยู่เพราะต้องปืนครั้งศึกสุรินทจอข่อง ทหารค่ายและผู้เป็นหัวหน้าอื่นจึงตกลงเลือกนายจันทร์หนวดเขี้ยวฝีมือลือชาวพื้นระจันเป็นแม่ทัพ ส่วนปีกขวาและซ้ายคงจัดเป็นขบวนรบดั่งครั้งตีศึกสุรินทจอข่องหนโน้น ทั้งมีท่านขุนสรรค์อันฝีมือแม่นปืนเป็นนายทหารคัดเลือกชาวค่ายที่มีฝีมือทางปืนเข้าขบวนทัพอีก ๑๐๐ เศษ สำหรับสู้กับกองม้าพม่าข้าศึก
ทัพสุพรรณพ้นค่ายไปแล้ว ทั้งทหารกล้าเมืองสิงห์และวิเศษไชยชาญกับบ้านระจัน กองหลวงก็เคลื่อนตามเป็นหมวดกองล้วนแต่เริงศึก จะรบกู้เมือง จะรบกู้หน้าชายสยามมิให้ใครหมิ่น จะลงแค้นที่ช้ำหัวใจให้สิ้นรอยด้วยดาบรบ เสียงเพลงศึกดั่งพายุกระท้อนจากฟากทุ่งปีกขวามาซ้ายและกองหลวง เมื่อมีชื่อว่าเมืองสิงห์ก็ต้องมีลูกชายเมืองสิงห์ สุพรรณไม่ไร้ชายชาติทหาร บ้านระจันจะขอสู้จนหมดคนวิเศษไชยชาญเคยล้างศึกมานักไหนเลยจะถอย ทุกหมวดทุกกองต่างสดุดีทัพของตนและขอพรคุ้มทัพระจันทั้งหมด
กระทั่งกองท้ายอันมิใช่ขบวนทัพ หากเป็นแต่เหล่าหญิงกองเสบียงและผู้ชราที่จะช่วยในสิ่งใดอื่น เมื่อจำเป็นที่ทัพใหญ่จะต้องมีศึกติดพันไม่กลับมาแรมค่ายได้ ถึงกระนั้นหญิงที่จากเหย้ามามากหลายทั้งพื้นบ้านและต่างเมืองล้วนหัวใจเปี่ยมที่จะทอดชีวิตแก่ชาติและค่ายน้อยบ้านระจัน
ทหารกล้าบ้านระจันอยู่หนไหน เจ้านายกองม้าลือบ้านคำหยาดที่ยกไปลาดเสบียงเป็นไฉนจึงไม่กลับ เมียรักที่เฝ้าคอยผัว เจ้าแฟงที่เฝ้าคอยอ้ายนายกองเสบียงด้วยแสนห่วงก็จำต้องอาสามาด้วย เพราะข่าวสู้กับกองม้าศึกบ้านขุนโลกทำให้แฟงหนักใจนัก เมื่อนึกมั่นในฝีมือแท้ที่รู้เห็นมาก่อนก็จะเบาใจ แต่จนป่านนี้จนทัพระจันพ้นค่ายมาแล้วลิบๆ เจ้าผัวก็มิได้โผล่โฉมห้ออ้ายเชลยมาให้เห็น
ดงทึบบ้านขุนโลก แสงตะวันสว่างเมื่อสายสว่างทั่วดงทึบนั้น เสียงพุ่มไม้แหวก ทั้งบุกย่ำ และฝ่าดงของชาย ๒ คน เร่งร้อนนักต่างก้มหน้าก้มตาเดินกระทั่งทะลุจะออกทุ่ง
เจ้าคนนำหน้าถึงก่อนชี้ไปบนฟ้าเหนือหัว
“สังข์ สายโขอยู่นักแล้วรีบเข้าหน่อยเหอะ หากอ้ายฟักไปถึงก่อนและรีบยกมาเร็วได้เข้าตีเสียก็ต้องชนะแน่ เพราะมันยังเพียงจะสร้างค่าย”
นายสังข์ถอนใจเหมือนจะแกล้งเหนื่อย มองมันแล้วก็ไม่วายจะนึกถึงศึกเมื่อวานเลย ทั้งม้าทั้งคนคุมเสบียงก็เสียชีวิตหมดเหลือรอดเพียงสอง แต่ม้ากองตระเวนพม่าก็เป็นผีอยู่ดงตะวันออกขุนโลกหมด
“คงยกมาแล้ว” นายสังข์ว่า “แต่พ่อแท่นก็ป่วยอยู่ใครเล่าจะเป็นนายทัพ”
“พอหาถม แต่ศึกนี้หากเรามีม้า ได้กลับเสียเมื่อคืนก็คงจะได้เปรียบมาก”
“ก็อีกละ” ผัวเจ้าจวงแย้ง “หากเรากลับเสียเมื่อคืนไหนเลยจะรู้ว่าทัพใหญ่มันมาถึง และคิดสร้างค่ายจะรบเอาเปรียบ”
ทัพพยักหน้า “อือจริง ออกเดินเหอะ จะได้เร่งให้พบทัพเสียเร็วๆ ขืนช้าพลาดพลั้งมันส่งม้ามาตระเวนป่าพบเข้าจะพากันเป็นเชลยหมด ทั้งข่าวก็จะพลอยสูญ”
แล้วเจ้าของทหารค่ายที่หลงวนเวียนอยู่ในดงแต่เมื่อคืนก็ออกวิ่งมั่งเดินมั่งแฝงตัวไปตามสุมทุมพุ่มไม้ตลอดราวป่า และก็ต้องพากันชะงักยับยั้งอยู่ท้ายทุ่งข้างหน้า เพราะแลมืดอยู่ลิบๆ โน้น
ทัพป้องมือด้วยหัวใจตื่นเต้นอึงคะนึง ทัพใหญ่บ้านระจันมาแล้ว พลเพียบทั้งปีกซ้ายปีกขวา เสียงฝีเท้าเดินสะเทือนดังหนึ่งจะถล่มบ้านขุนโลก ครั้นมองถนัดแน่ เจ้าสองหนุ่มทหารค่ายก็ออกวิ่งสุดฝีตีนลืมเหน็ดเหนื่อย มุ่งแต่จะให้ไปถึงทัพเพื่อเข้าผสมกองทำศึกเสียโดยเร็ว
ทุ่งเวิ้งขุนโลกกำลังอึกทึกเกรียวกราวด้วยการสร้างค่ายเพราะสองฟากทุ่งเป็นป่าเปลี่ยวดงทึบ เป็นทำเลคับขันแก่การทัพและความกลัวเกรงฝีมือรบของชาวค่ายระจันที่ชนะศึกมาแล้วหลายครั้งหลายหน จึงอากาปันญีแม่ทัพใหญ่ที่คุมพลมา จึงสั่งให้ทหารช่วยกันสร้างค่ายขึ้นหวังจะค่อยยกไปช้าๆ สู้กับชาวบ้านระจันเป็นศึกนานวัน ทั้งเป็นการสะดวกที่จะส่งข่าวและขอกำลังพลจากค่ายปากน้ำพระประสบเพิ่มมาอีก
ไม้ป่าถูกโค่นมาตลอดและด้วยกำลังพลนั้นในชั่วสายพื้นธรณีบ้านขุนโลกก็คับคั่งด้วยค่ายทหาร ทั้งที่ทำไปแล้วและกำลังลงมือเป็นด้านเป็นแถบ ตัวอากาปันญีนายทัพก็เข้าประจำค่ายก่อนเพื่อตรวจ แต่หารู้ไม่ว่าความโกลาหลภายนอกได้เกิดขึ้นแล้วทั้งเสียงโห่ร้อง ปืนไฟ และค่ายเล็กล้อมถูกหักพินาศ ทหารที่ต้องอาวุธบาดเจ็บวิ่งถอยมาเป็นอลหม่านจึงรู้ว่าทัพบ้านระจันยกเข้าตีอย่างทะนงองอาจ ก็สั่งให้เร่งกลองศึกขึ้นแล้วก็คุมกันเป็นหมวดเป็นกองเพื่อรักษาค่ายมั่นและบ้างก็ถลันออกรบกลางแปลง
แต่ทหารหน้าเข้าหักค่ายแล้ว ท่านขุนสรรค์นายกองปืนกรากเข้ายิงกองม้าลงเกลื่อนดิน ท่านพันเรืองและนายทองแสงใหญ่นำทัพสุพรรณกับคนพื้นระจันยกหนุนเข้ารื้อค่ายฟาดฟันกองอาสาหน้าข้าศึกตะลุยมาเป็นช่อง ทัพเมืองสิงห์ตีกระหนาบ นายอิน นายเมือง ทั้งนายโชติยอดทหารเมืองสิงห์ออกนำ ระเนียดค่ายไม่ทันแล้วจะหักลงเป็นแถบ ใครเล่าจักปล่อยให้น้ำมือเขาอื่นมาสร้างค่ายเป็นบ้านพักเล่นสบายในเมือง
สยาม ค่ายใดแล้วเสร็จก็รื้อมันทิ้ง ที่เพิ่งจะลงมือก็อย่าหวังว่าจะได้ค่ายได้นอนพักสำเร็จ ทัพนายดอกไม้บ้านกรับและนายทองแก้ววิเศษไชยชาญก็โห่ร้องตะลุยมา นายทองแสงใหญ่ ทั้งนายทองเหม็นผู้ใหญ่บ้านระจันก็ควงดาบแล่นนำพล ปากก็ตะโกนก้องให้พลตาม “ตามมามาเถิดน้องเอ๋ย ไทยทั้งหลายมาเถิด ศึกมันมาชิงเมืองศึกมันมาเหยียบเมืองขุนโลกบ้านเราแล้ว มันมาหยามทหารชายระจันมาเถิดมากอดคอกันตาย ฝากยศทหารไว้แต่คนหลัง”
นายจันทร์ขุนทัพเล่าก็ควงดาบอยู่กลางพล หักค่ายเถิดค่ายอื่นผิดจากค่ายระจันแล้วจะปลูกจะสร้างอีกไม่ได้ โค่นมันลงเสียทั้งคนทั้งค่าย ขุนโลกต้องเป็นทุ่งแจ้ง มิใช่เพื่อนเมืองจะมาปลูกค่ายแข่ง แล้วขุนทัพก็โลดไป แล่นไปสารทิศใดเล่าทิศนั้นทางนั้นก็เกลื่อนด้วยศพนอนดิน ไทยม้วนลงแต่เพียง ๑ ผู้มาหลังก็สาบานแก่ศพไปสวรรค์เถิดเพื่อนค่ายกูจะล้างแค้นให้กูจะฟันเซ่นผีเพื่อนให้ครบร้อย
แม้ค่ายหน้าจะถูกรื้อถูกหักลงแล้วเป็นแถบ แต่อากาปันญีก็ต้อนพลประจำค่ายออกสู้รบอย่างแข็งแรงเข้าปะทะกันเป็นศึกประจัญบานหน้าต่อหน้าคู่ต่อคู่ฟันสั่งกันเพื่อชัยชนะ เพื่อยศศักดิ์ที่กรีฑาทัพมา เพื่อยศศักดิ์ลูกผู้ชายที่รักบ้านหวงเมืองมิให้ใครมาหยามถึงเหย้า
ธรณีขุนโลกยังหวั่นไหวสะท้านด้วยคู่รบคู่ศึก ศพเกลื่อนด้วยทหารต่างเมืองและเจ้าของบ้าน เมื่อเห็นพม่าข้าศึกตั้งรับทั้งในค่ายและนอกค่ายเข้มแข็งนักนายจันทร์หนวดเขี้ยวก็คิดหักศึกด้วยแยบคาย จึงรบเร่งขึ้นจนประชิดเจ้าทหารกล้า
ผัวเจ้าแฟงที่มาประสมทัพเมื่อเช้าเป็นกองหลวงของนายจันทร์ยังคงรบตะลุมบอนหวังจะเข้ายื้อค่ายให้ได้ ดาบศึกครั้งอ่าวหว้าขาวคงฟันกราดตลอดมามันไม่ยอมถอย จะไม่ถอยจนก้าวเดียวกว่าจะริบค่ายกลางนั้นได้ เมื่อพลกระจัดกระจายหนีและนายจันทร์แล่นมาถึงตัว มันก็หัวร่อร่าเหมือนสนุกศึกดังเล่นสงกรานต์กลางหมู่สาว
เมื่อฟังอุบายศึกจากนายทัพระจัน เจ้าคนคำหยาดก็รอรบแล้วเริ่มถอยกองทหารหน้าของมันก็ถอยตาม ถอยไปเปิดให้กองอื่นขึ้นรับแทนกระทั่งลงไปอยู่ท้าย ถอยไปอีกกระทั่งพ้นเนื้อนาย่านทุ่งที่เป็นสมรภูมิมาเข้าดง
มันวิ่งนำหน้า วิ่งแล่นมากับนายสังข์และเจ้าฟักเลือดแดงฉานตลอดใบดาบทั้งสองเล่มคู่ กองทหารหน้าเป็นหมู่เป็นเหล่าล้วนดาบสองมือร่วมร้อยตามมาเป็นขบวนวกไปตามทางลดเลี้ยวในดง
แต่ชาวค่ายชาวเสบียงทำให้มันชะงักหัวใจเต้นระริกยิ่งขึ้นอีก เมียรักเจ้าโผมาร้องสุดเสียง
“พี่ทัพ โธ่เอ๋ย แฟงนี้คอย” แล้วหญิงสะอื้นดีใจที่เห็นหน้าผัว
มันอ้าแขนรับ แม้เลือดจะท่วมสองแขนและเมื่อยล้าก็เหือดหายเมื่อกอดแฟง
“อยู่ดีเถิดแฟง คอยก่อนเถอะแฟงเอ๋ย ศึกยังติดพันอยู่หนัก พี่อาสาวกไปปล้นค่ายเดี๋ยวนี้ พี่จะชนะให้สมกะที่เป็นผัวแฟง”
แฟงเจ้ายกมือประนม โล่งใจถนัดที่ได้เห็นหน้าแน่ใจว่ามันคงยังมีชีวิต ดีใจที่มันจะได้ชื่อลือเป็นยอดทหารหักค่ายสมยศชาวระจัน
“เชิญเถิด ทำไงก็ชนะ แล้วแฟงจะตามไปเหยียบค่าย”
“อำแฟง แม่คุณ” มันหัวร่อร่า เถอะ พี่จะหักค่ายเตรียมไว้รับแฟง”
มันออกวิ่งไปแล้วทั้งพลฝีมือก็ตามไปรวดเร็ว ผ่านกองเสบียงและชาวค่ายที่โหร้องอวยชัยตามหลัง จนลับเข้าดงทึบทางท้ายค่ายพม่า
นอกดงยังสู้ชิงชัยกันสุดฝีมือ เสียงกลองรบในค่ายก็ดังไม่ขาดหู ทั้งวิ่งสับสนอลหม่าน เจ้าทัพคะเนเพลาที่จะเข้าตีให้พรักพร้อม เมื่อเห็นในค่ายยังวิ่งวุ่นเตรียมรักษาห่วงศึกทางด้านโน้นมันก็นำพลยกออกจากดงแล่นตรงเข้าล้อมขนาบข้างด้านหลัง
มันสั่งทหารให้รวมเป็นกำลังแต่กองเดียว แล้วประกาศอาญาศึก
“เราจะหักค่าย พี่น้องทั้งหลาย เราจะขอให้ตามให้ทัน ทหารต้องตายดาบข้างหน้าของศึก ชายใดถอยก็ใช่ชายระจันและเราจะตัดหัวตามอาญาทัพไป ไปตายกันในค่าย”
มันสั่งกันให้พลโห่ พอสิ้นเสียงโห่ เจ้านายกองทหารดาบก็โผนนำหน้า
“รื้อค่าย” มันตะโกนสนั่น แล้วควงดาบโบกให้พลเข้าตี “หักค่ายเร็วรื้อค่ายรื้อคนอย่าให้เหลือ”
ทหารดาบทั้งร้อยก็กรูตาม ตรงเข้าพังประตูค่ายหลังและเสียงโห่เสียงขานออกนามระจันกึกก้องเป็นสัญญา สองดาบก็เร่งตะลุยฟันศึกย่อยยับไปเป็นทาง ภายในค่ายก็เกิดโกลาหลไม่รู้ตัว บ้างก็คุมทหารกลับมาสู้แต่ก็ชุลมุนวุ่นวายเพราะศึกบ้านระจันที่กระหนาบมาข้างหลังล่วงเข้าค่ายหมด
นายจันทร์หนวดเขี้ยว นายจันทร์ขุนทัพคุมพลรออยู่ พอได้ยินเสียงกึกก้องสู้รบกันในค่ายก็คาดการณ์รู้ว่าทหารเสือเข้าค่ายแล้ว บ้านระจันเข้าย่ำยีล่วงค่ายแล้วจึงต้อนพลรุกขนาบรุกเร็วตลอดรวดเดียวทุ่มเทดั่งเพลิงกินเชื้อไม้ เบื้องซ้ายทัพวิเศษไชยชาญก็รุกกระหน่ำ ทัพสุพรรณและนักรบเมืองสิงห์เล่าก็ย้อนตีเตลิดมาเสียงบ่นเสียงแค้น
ยังครางหัวใจ วันนี้ชะตามึงขาด วันนี้อย่าได้รอดเหลือคืนค่ายปากน้ำพระประสบเลย เลือดเนื้อชาติสยามละลายดินเพราะมึงมากหลายนัก หญิงพรากต่อหน้าผัว ทั้งเด็กอ่อนและผู้เฒ่าต้องหลงติดตายในเพลิงนับไม่ถ้วนน้ำตาไทยเป็นเลือดแล้ว น้ำตาไทยต้องเหือดแห้งเพราะมึงจนเหลือที่อ้ายคนระจันจะนิ่ง คนสุพรรณต้องอพยพมาเข้าค่ายสู้มึง ชาวเมืองสิงห์ต้องร้องไห้เพราะจากเมือง
ค่ายใหญ่พังลง พังราบแล้วก็เหยียบย่ำไปบนซากศพกรูเข้าไปโน่นทหารหน้าพิฆาตทัพโล่งแล้วตลอดหลังค่ายแต่ยังต้องบีบต้องป่นเสียให้ละเอียดเห็นฝีมือ เมื่อเหลือรอดก็จะได้ไปบอกกล่าวพวกมันให้จำไว้ เมืองศรีอยุธยายังไม่หมดคนจะสู้ น้ำตาทหารมันไม่ตกดินก็ต้องให้เป็นทุ่งเลือด
เมื่อโห่ร้องรับพร้อมกันทั้งสี่ พลพม่าซึ่งหลงค่ายอยู่หว่างกลางก็ถูกศึกกระหนาบล้มลงครั้งละสิบครั้งละร้อย กายทอดเกลื่อนอยู่เหนือค่ายแทนพื้นดินแล้วชั่วครู่นั้น นายจันทร์หนวดเขี้ยวพ่อทัพระจันก็ควงดาบประกาศชนะยึดค่ายได้เป็นสิทธิ์ เพราะอากาปันญีแม่ทัพที่แต่งตัวตามยศก็ตายอยู่กลางค่ายกลางศึกและตลอดด้านตลอดทิศก็
ล้วนแต่ศพทหารพม่า หากจะรอดไปก็เพียงสักร้อยข่าวชนะแล่นไปเร็ว ข่าวทหารระจันที่เข้ายืดหักค่ายพม่าไว้กระจายไปรวดเร็ว และทหารยังเอิกเกริกโห่ร้องชนะศึก บ้างก็เข้ายึดเสบียงม้าลาและอาวุธ บ้างยืดกระสุนดินดำ พวกชาวบ้านชาวเสบียงก็รีบร้อนมาถึง
ถึงเสบียงอาหารที่แฟงหาบจะหนักหนาและมาไกลแฟงก็สิ้นเหนื่อย ตาสองกวาดไปทั่วค่าย กวาดทั่วหน้าทหารระจันกล้าศึก กวาดหาเจ้าคนชนะผัวรักที่ได้พบแต่เพียงครู่เดียวแล้วมันก็มาหักค่ายคอย
เจ้าดอกไม้ไพรปลงหาบผลุนผลันหัวใจเต้นระทึก เจ้าโจรเก่าที่มาอาสาศึกเป็นทหารฝีมือลือมันยืนเผลอหันหลังให้ มือหนึ่งก็ลูบม้าเชลยสีประหลาดที่มันยึดได้ เจ้าวิ่งตึ้กๆ ไปข้างหลังแล้วโดดกอดคอ
“ช่างไม่ห่วงถึงมั่งเลย” แฟงว่า “มัวชมม้าเพลินจนจะลืมคนคอย”
เจ้าผัวเหลียวหน้าควับ มือก็โอบอุ้มแฟงขึ้นนั่งหลังม้า
“แม่คุณเอ๋ย ช่างต่อว่านัก” มันจับสองต้นแขนเมียรักแน่นแล้วก็กล่าวสัพยอกอีก “ใจแท้พี่น่ะว่าจะเอาอ้ายสีประหลาดนี้ไปรับเจ้ามาเหยียบค่ายให้สมยศสมศักดิ์เท่านั้นหรอก ห่วงซีแฟงเอ๋ย ๕ คืนพี่ห่างแฟงเหมือน ๕ ปีมานอนป่า”
“ประจบนัก แก้ตัวก็เป็นที่หนึ่ง”
ทัพหัวเราะ “เฟื่องมันก็ตายไปนานแล้ว พี่ก็เห็นแต่แฟงคนเดียวเท่านั้นที่จะต้องประจบ”
เจ้าหัวเราะ แต่หน้าหัวเราะจะไม่สู้สนิทสนม “อ๋อ คงจะมีอีก ก็นังเชลยที่ช่วยไว้ส่งไปค่ายเมื่อคืนนั่นน่ะ เขายังคร่ำครวญถึง”
“ฮึ” ทัพนิ่งตรอง เมื่อนึกออกแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ “อ๋อ นึกออกละ โธ่แฟงเอ๋ย ทำไมถึงคิดเกินไปนักล่ะเจ้า สาวบ้านขุนโลกน่ะมันไม่งามถึงจะรั้งใจพี่ให้ห่างแฟงไปได้ ใครล่ะมันจะรักพี่ จะงามต้องหัวใจอ้ายทัพเหมือนอีสาวคำหยาดกระท่อมหลังตาลหมู่”
มันถูกตบปาก ถูกหยิกข่วนและต่อว่าต่อขานดักคอไว้เสียก่อน แต่เจ้าแฟงก็ต้องถูกกอดสมใจ ครั้นนายทัพนายกองอื่นเรียกประชุมพลจะยกกลับ เจ้าคนดีของแฟงก็อุ้มเมียรักขึ้นหลังม้าเชลยร่วมมันแล้วแอบออกท้ายค่ายหลบลัดเข้าดงกันไปแต่เพียงผัวหนึ่งเมียเดียว
ถึงจะเปลี่ยนเจ้าของเปลี่ยนนาย เจ้าม้าสีประหลาดเชลยก็รู้ถนัดดีว่าคนขี่หลังมันแสนชำนาญม้า ทั้งวิ่งเหยาะและย่างเรียบมาตลอดไม่มีพยศ สองฟากทางเปลี่ยวในดงที่รกชัฏ หากจะเหงาวิเวกเพราะเสียงนกดงและเรไรหริ่งรับตลอดทาง ก็ไม่วายที่จะเกิดเสียงหัวเราะคิกของเจ้าผัวที่ยอกเมียก็ร้องรำคาญใจทั้งหยิกข่วนเง้างอน แต่แล้วก็
หัวเราะกิ๊กผสมกัน แฟงเจ้าถือบังเหียนเป็นคนขับอ้ายเชลยศึก แต่ก็ต้องนั่งตักมัน ส่วนเจ้าทหารกล้าก็ทำประหนึ่งว่าไม่เคยจะขี่ม้าเกรงตก จึงกอดเจ้าไว้แน่นและเสียงก้องฟ้านอกดงไปโน้นเพลงศึกยังครางกระหึ่มทุ่ง ทั้งปี่และกลองชนะของพม่าที่เตรียมมาก็ถูกยึดเป็นกลองชนะของบ้านระจัน อันศัพท์สำเนียงเพลานั้นเจ้าสองรักสองราซึ่งหลบมาเดินดงต่างได้ยินเสมือนเสียงคลื่นและลมร้ายจักถล่มทุ่งขุนโลก
นับแต่พม่าให้กองทัพยกไปปราบปรามชาวค่ายบ้านระจันแต่เดือน ๔ ระกาปีกลายโน้น ก็แตกพ่ายล้มตายมาถึง ๗ ครั้งกระทั่งเดือน ๗ ปีจอนี้อันเป็นศึกครั้งที่ ๗ ซึ่งอากาปันญียกไปเสียค่ายบ้านขุนโลก และตัวเองก็เสียชีวิตในค่ายรบ เหลือทหารหนีมาแจ้งข่าวแต่เพียงร้อยเศษ พม่าก็ยิ่งกลัวฝีมือไทยค่ายระจันยิ่งขึ้น จะเรียกจะเกณฑ์ผู้ใดให้ไปรบอีกมิได้ ก็หยุดรอไปอีกถึงกึ่งเดือน
กิตติศัพท์ถึงกำลังพลและฝีมือรบของชาวค่ายระจันก็ยิ่งเลื่องลือมากขึ้นเป็นลำดับ จึงเนเมียวมหาสีหบดีนายทัพใหญ่ค่ายปากน้ำพระประสบก็เพิ่มความร้อนใจยิ่งขึ้น เกรงว่าชาวบ้านระจันจะเหิมใจคุมพลยกเป็นทัพใหญ่มาตีเป็นศึกกระหนาบช่วยกรุง จึงประชุมนายทัพนายกองทั้งปวงจะให้ยกไปอีก แต่ก็พากันครั่นคร้ามฝีมือไทยหมด
ขณะนั้นมีมอญเก่าคนหนึ่ง เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในศรีอยุธยามาช้านาน เมื่อพม่ายกมาก็เข้าฝากตัวเป็นพวกพ้องพม่าและช่วยรบ มีฝีมือเข้มแข็งสามารถจนแม่ทัพตั้งให้ได้ตำแหน่งสุกี้พระนายกอง เข้ารับอาสาจะยกทัพไปตีค่ายระจันให้แตกจงได้ เนเมียวมหาสีหบดีจึงเกณฑ์ไพร่พลเป็นทัพผสมทั้งพม่ามอญให้จำนวน ๒๐๐๐ เศษ แล้วตั้งพระนายกองเป็นแม่ทัพพร้อมด้วยเครื่องม้าสรรพอาวุธและปืนใหญ่น้อยยกขึ้นตีค่ายระจันเป็นศึกครั้งใหญ่หลวง
สุกี้นายทัพนั้นอยู่เมืองนี้และคุ้นเคยกับไทยมาช้านาน จึงมิได้ประมาทเหมือนนายทัพอื่นๆ เพราะรู้ดีว่าไทยกล้าทั้งฝีมือรบและน้ำใจ จึงยากที่จะสู้ศึกกับไทยเป็นศึกกลางแปลง ซ้ำหนทางที่ยกไปกว่าจะถึงบ้านระจันนั้นเป็นป่าเปลี่ยวคับขันนัก พลไทยที่ชำนาญทางก็ซุ่มซ่อนรบชนะได้ทุกคราว สุกี้จึงระมัดระวังแต่แรกยกจึงให้ตั้ง
ค่ายไปตามทางทีละสามค่ายแล้วให้รื้อค่ายหลังผ่อนไปตั้งข้างหน้าอีกแต่เดินค่ายไปทีละสาม ตลอดทางถึงกึ่งเดือนก็ประชิดบ้านขุนโลกเขตระจันแล้วสู้รบอยู่แต่ในค่ายใช้ปืนใหญ่น้อยยิงกราดไทยที่ยกเข้ามาตีอยู่เสมอมา ถูกผู้คนชาวค่ายป่วยเจ็บเปลืองชีวิตตายลงทุกที
แดดกล้า เพิ่งคล้อยจากทุ่งระจัน กระท่อมรายและหมู่ทั้งโดดเดี่ยวอันเป็นทับอาศัยของชาวค่ายเคยสำราญมาเมื่อก่อน ยืนเหงาอยู่กลางแสงตะวันอ่อนผู้คนร้างไปมากเพราะเสียชีวิตที่ยกเข้าตีค่ายพม่า แล้วกระท่อมทับอาศัยนั้นก็จำต้องอ้างว้างที่เจ้าของสิ้นชีวิตไม่กลับมาอยู่อาศัยอีก
ทับอาศัยหลังน้อยอันแคบผาสุกของผัวเมียเมื่อก่อนงับอยู่สนิท หน้าแคร่นอนสาวหนึ่งเจ้ากำลังนั่งเหม่อทุกข์ หัวใจคิดถึงความดับสูญที่จะมาสู่ร้อยแปดต่างๆ นานา ค่ายระจันบ้านรักเคยแต่เหี้ยมหาญชำนะศึก แต่ระจันมื้อนี้ร่วงโรยเสียแล้ว ทหารกล้าระจันเสียชีวิตเพราะปืนค่ายพม่ากลาดเกลื่อนมากมายจนผู้คนร้างเหงา ทั้งนายหมวดนายกองและผู้เป็นหัวหน้าต่างจนความคิดท้อแท้ใจลงทุกวัน
แฟงเฝ้าคิดเฝ้าครวญ ยิ่งคิดคำเฟื่องพี่สาวเมื่อใกล้ตายได้กล่าวไว้ก็เกิดลางในใจนักหนา ขนก็เกรียวซู่ด้วยความหวาดหวั่นในคำลางของคนตายว่าจะเป็นร้ายอยู่ทุกขณะ จนเสียงคนเคาะประตูเรียก
“แฟงเอ๋ย แฟง เจ้าหลับหรือตื่นอยู่นั้น เปิดรับพี่ด้วย”
ใจแฟงมาอีกก่ายกองเมื่อจำเสียงได้ ทหารของแฟงมาแล้วผัวรักฝีมือลือของแฟงเท่านั้นที่จะปลอบหัวใจให้หายหวาดกลัวในอันตรายศึกที่มาประชิด แล้วเจ้าก็ถลันไปเปิดประตูรับ
มันจากไปแต่เพียงชั่วเช้าก็แสนคิดถึง พอเสียงสลักกลอนและประตูทับแง้มเห็นหน้าแฟงต่างก็โผหา
“คงจะคอยพี่นาน” เจ้าหนุ่มผัวว่า เมื่อจูบรับขวัญและลงดาลกระท่อมสนิทอย่างเดิม
“แฟงคอยพี่ตั้งแต่ไป เห็นนานนักแล้วก็กลัวจะเลยไปตีค่ายพม่าเสียอีก”
“ชื่นใจพี่แฟงเอ๋ย พี่จะไปก่อนยังไงได้ ดาบศึกอยู่นี่ครบแลแฟงของพี่ยังคอยมิได้บอกกล่าว ไปนั่งคุยกันแคร่นอนเราเถิด”
ชั่วประตูมาแคร่ เจ้าผัวก็จำถนอมอุ้มเมียรักมันมา แฟงคงจะท้องตั้งครรภ์อ่อนๆ เพราะผิวพรรณเปล่งงามยิ่งกว่าเมื่อสาว มันจะมีลูกกับแฟง หากเป็นหญิงคงงามเยี่ยงดั่งเฟื่องฟ้า ก็ต้องให้ชื่อเหมือนป้ามันที่ลับไปแล้วว่าเฟื่องฟ้าเมื่อเป็นชายก็ถนัดรบเป็นยอดทหารก็จะให้ชื่อมันว่าอ้ายรบ
มันหยอกเย้าเมียพอคลายทุกข์อื่นๆ แต่หัวใจเมียนั้นไม่สิ้นทุกข์สิ้นเศร้าไปได้เมื่อนึกถึงว่ากระท่อมสวรรค์นี้อยู่กลางศึกพม่าประชิด
“ยิ้มแย้มเสียมั่งเถิดแฟงเอ๋ย” ทัพปลอบน้ำใจ แฟงยังทอดกายอยู่บนตัก “อย่าทุกข์ไปนักเลย พี่เห็นเจ้าทุกข์เมื่อไรหัวใจมันแห้งบอกไม่ถูก”
ยิ้มของแฟงไม่สนิท แล้วก็ปรารภกับผัวว่า
“ไม่อยากจะคิดหรอกพี่ แต่ก็อดไม่ได้เลย”
“คิดอะไรถึงทุกข์นักล่ะแฟง”
“ชีวิตจะสั้น” แฟงตอบเผลอตามอารมณ์ “ชีวิตเราจะเหมือนไม้หัก แฟงก็ตั้งท้องแล้ว แต่กลัวจะไม่ทันได้เห็นลูก”
แล้วแฟงก็สะอื้นขึ้นเฉยๆ ทัพมันหัวใจวูบเหมือนปลิวจากอก กอดเมียแน่น
“ฮึแฟง เพราะอะไรล่ะแฟงเจ้าจงกลัวไปงั้น”
“ระจันคงเสียค่ายแน่ ทหารระจันเคยรบชนะแต่เพียงหนหนึ่งไม่ซ้ำสองแต่นี่ก็ตีนับไม่ถ้วนหนแล้ว คนฝีมือดีก็สิ้นลงทุกวัน”
“วิสัยศึกแฟงเอ๋ย ไม่แพ้ก็ชนะเป็นประเพณี แต่จะกลัวไปไยเล่า ทหารระจันยังมีอีกเหลือหลายนักที่จะต้องสู้”
เมียยิ่งน้ำตานอง พูดเสียงค่อยลงอีกเมื่อเกิดหวาดหวั่นในคำจะพูดนั้น
“ฉันนึกถึงคำเพ้อพี่เฟื่องว่าระจันจะเสียค่าย โอ้ถ้าระจันเสียค่ายแล้วชีวิตพี่ชีวิตฉันก็ต้องเป็นไม้หักต้องแหลกอยู่ในค่ายนี้”
ทัพขบฟันแน่น แฟงฟื้นคำพี่สาวให้มันคิดได้ ปากคนใกล้ตายมักจะพูดที่คนเป็นไม่รู้และคิดเห็นแลไม่ค่อยจะผิดปากมันนิ่งนึกไป ร่างเมียรักที่คล้ายเฟื่องพี่สาวก็แลไม่ค่อยผิดเฟื่อง ทั้งเสียงกล่าวละม้ายแม้นเหมือนมันนั่งฟังคำเฟื่องสั่งค่ายเป็นลาตาย
“ใจดีเถอะแฟง มิ่งขวัญเจ้าอย่าหวาดไปคิดอื่นเลย” มันฝืนปลอบน้ำใจ “ทหารระจันสู้ศึกด้วยกตัญญูชาติ เสียดายชาติจะเป็นข้าของเขาอื่น พระท่านต้องรักษาบ้านระจัน ผีค่ายและปู่เมืองท่านต้องคุมเกรงรักษา และแฟงอยู่ใกล้พี่ๆ ก็ต้องรักษา พี่ต้องตายก่อนเจ้า น้องเอ๋ย ให้ศึกล้นฟ้านับหมื่นพี่ก็จะผลาญทัพมันให้ย่อยยับมิให้ล้ำมาถึงแฟง ดาบสองเล่มพี่ไม่หักก็อย่าหมายเลยที่จะได้ล่วงกระท่อมมาแต่เพียงก้าว”
แฟงค่อยสุขใจไปชั่วขณะ แต่ก็ไม่สิ้นที่จะคิดแปรปรวนไปต่างๆ อีกเวลาสักเพียงน้อยหนึ่งนิดเดียวทำให้เสียดายที่จะต้องจากบ้านระจัน คนสิ้นสุขไปเมืองผีโน้นเมื่อเสียค่าย
เสียงคนเรียกข้างนอกอีก เคาะเรียกทั้งเบาและหนักแซ่หู
“ใคร” ทัพตะโกนถาม ส่วนแฟงนั้นจากตักนอนจะไปเปิด
“ฉันเอง เปิดหน่อยเหอะ”
เมื่อประตูทับแง้มออก นายสังข์กับเจ้าฟักพี่เมียก็ย่างเข้ามา
“เอ้อสังข์ เจ้าฟักด้วย ไปไหนกันมาเรอะ”
นายสังข์เป็นคนตอบ “มาหาพี่ ท่านพันเรืองอยากปรึกษายกไปตีอีก เพราะเมื่อวานก็เสียทัพถูกยิงพ่ายมา”
ทัพถอนใจใหญ่มองหน้าเม่ียรัก มันจากกระท่อมไปเยี่ยมทหารเจ็บเมื่อเช้าเพิ่งกลับมาถึงทับไม่ทันไรก็จะต้องจากเมียไปอีก
“ใครอยู่มั่ง ที่เรือนท่านกำนัน” เจ้าผัวที่ห่วงอาลัยเมียถามน้อยเขย “แล้วเขาปรึกษากันว่าไงอีก”
“อยู่ทุกคน กำลังพูดถึงพ่อแท่นนายทัพ เพราะกำลังเจ็บเต็มที่ ยิ่งรู้ข่าวแพ้ก็ยิ่งเสียใจอาการเพียบ”
“กูอยากจะร้องไห้” ทัพว่า “นับว่าแต่นี้คนดีบ้านระจันจะร่อยหรอ”
แฟงนั้นนิ่งฟังคำถามคำกล่าวก็ใจคอหาย มองอะไรอื่นในกระท่อมดูเหงาเศร้าไปหมด ยิ่งเมื่อเห็นเจ้าผัวลุกไปหยิบดาบจบอธิษฐานสะพาย หัวอกแฟงเกือบจะไม่ทนนิ่งได้ เจ้าอยากจะร้องห้าม แต่ยศทหารและศักดิ์ลือของชายชาตรีจะเสื่อมไปจากผัว ก็จำต้องยั้งไว้ เป็นแต่อ้อนวอนว่า
“พี่ต้องห่วงแฟงมั่ง พี่อย่าเอาแต่โมโหหวังชนะนักเพราะศึกนิ่งสู้อยู่แต่ในค่าย และยิ่งเอาเปรียบ”
ทัพก็ฝืนยิ้มปลอบเมีย อยากจะพูดจะกล่าวคำขวัญให้แฟงชื่นใจมากกว่านี่ หากแต่อยู่กันพร้อมหลายคนก็นึกละอายจึงพูดต่อพอการพอควร
“พี่ขอบใจเจ้านักแฟงเอ๋ย พี่จะจำคำเจ้าไว้ ทหารกล้าก็ต้องดูการที่ควรกล้า เมื่อเสียเปรียบแล้วเรายังจะขืนกล้าก็เท่ากับให้ศึกมันดูถูกว่าไร้ปัญญา ไม่สมควรแก่ชายชาติทหาร จะเสียชีวิต”
แฟงค่อยยิ้มได้ ถอนใจโล่งอกที่มันพูดถูกด้วยปัญญาตรองแล้วก็ยกมือไหว้ขอความสวัสดีจงเกิดแก่ผัว
“จงสมปรารถนาพี่ แฟงจะคอยพี่เหมือนเคยชนะกลับทุกคราว”
อยากจะโผกอดแฟงก็กระดากใจ จึงจับสองต้นแขน
“เออ จงสมปากสมพรของเจ้า พี่เคยชนะก็ต้องชนะ อดใจคอยกินข้าวพร้อมพี่ด้วย”
แล้วเจ้าผัวก็กลั้นกลืนความอาลัยห่วงเมีย ฝืนมุ่งแต่การศึกรำลึกถึงคุณชาติคุณเมืองและแผ่นดินได้อาศัยที่จะต้องทอดชีวิตบูชา รำลึกถึงเวทมนตร์และมืออาวุธที่ได้ร่ำเรียนจากพ่อทหารอาทมาต แล้วก็จากกระท่อมไปด้วยหัวใจตัดห่วงไม่มีเยื่อใยเหลือ กระทั่งพ้นกระท่อมงับประตูสนิทไม่ยอมเหลียวหลัง แฟงก็ทอดกายลงเหนือแคร่นอนซบหน้าสะอื้น
ตะวันบ่ายดวงคล้อยไปตะวันตกดิน การปรึกษาหารือของพวกหัวหน้าค่ายก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์ร้อนหนักใจขึ้นเป็นลำดับ เพราะไม่เคยเสียเลยที่บ้านระจันจะต้องคับขันอับจนถึงเพียงนี้ นักรบทั้งเมืองสิงห์วิเศษไชยชาญและชาวระจันเองก็ต้องร่วงโรยเสียชีวิตไปแล้วมาก ใครก็หวังจะคิดหักศึกเข้ารื้อค่ายให้เหมือนครั้งศึกทุ่งขุนโลกคราวที่แล้ว แต่ใครเล่าจะต้านหน้ากองปืนรายประจำค่ายทั้งใหญ่น้อยหวาดไหว ก็จำต้องวิ่งเข้าพลีชีวิตสู้อย่างทหาร
ท่านพันเรืองนั้นนั่งกอดเข่า คิดไปต่างๆ นานาไม่ปริปากพูด ส่วนนายจันทร์กับขุนสรรค์ผู้แม่นปืนฝีมือดีนั้น เห็นพ้องกันว่าจะลอบรบเมื่อพม่าเปิดค่ายออกลาดเสบียงหรือสืบข่าวการทัพ แต่นายทองเหม็นผู้ใหญ่บ้านระจันเป็นผู้ห้าวหาญมุทะลุทั้งกลุ้มอกรำคาญใจ เสพสุราบานหนักก็กล่าวขึ้นตามจิตกล้าของชายที่จะสู้ว่า “แน่ะ ท่านทั้งหลายเอ๋ย อันทหารระจันนั้นก็ปราบศึกมาจนลือฝีมือไปทั่วสารทิศแล้ว และประเพณีของศึกสงครามเล่าไม่แพ้ก็ต้องชำนะเป็นธรรมดา ก็แล้วใครมั่งเล่าที่จะนั่งงอมือให้ยิงประหารกันเล่นทุกวี่ทุกวัน”
ท่านพันเรืองก็ปรับทุกข์ขึ้นบ้างว่า “ท่านผู้ใหญ่พูดนั้นถูกใจนัก แต่ก็ระจันค่ายเราเป็นเมืองเล็ก อาวุธปืนใหญ่ที่นี่จะพอหาเข้าสู้ยิงฟังค่ายมันก็ไม่มี พวกเราตายเปลืองลงทุกวันเราก็ยิ่งว้าเหว่ไปด้วยทั้งสิ้น และหากขืนรอช้าอีกก็เหมือนหนึ่งจักเอาอาหารไปป้อนเสือกว่าทหารจะหมดค่าย ฉันจึงเป็นทุกข์นัก”
ยิ่งฟัง หัวใจรบของผู้ใหญ่ทองเหม็นก็ยิ่งคุขึ้นในอก ร้อนแรงนึกถึงศพทหารเพื่อนค่ายที่นอนเกลื่อนดินจนเหลือจะนับ เพราะต้องปืนไฟทั้งใหญ่น้อยจากค่ายพม่าแล้วอนาถใจ ไทยเคยรบ ไทยเคยกล้า แต่ไทยกล้าทั้งหลายต้องสิ้นชีพให้พม่าเย้ยอยู่เกลื่อน ปืนไม่มี ปืนไทยไม่มี เพราะอ้ายคนอาวุธจะสู้ก็ต้องก้มหน้าตายระจันมันสิ้น แต่หัวใจล่ะ หัวใจที่มันจะแตกเสียเพราะถูกข่มเหง หัวใจมันยังรักเหย้าห่วงเมือง
หัวใจมันหายอมที่จะนั่งให้ยิงเล่นข้างเดียวเมื่อไหร่ ถึงสองมือเปล่าก็จะรื้อค่ายมัน เถอะ วิ่งแล่นเข้าไปให้มันยิงตายเสียดีกว่าจะมีชีวิตอยู่เห็นมันเดินทัพเข้ามาเหยียบค่ายระจันเป็นเจ้าของจะขนต้อนคนบนเหย้า หญิงจะร้องรำคาญหูเมื่อช่วยไม่ได้ ตายเสียดีกว่า ตายให้มันลือว่าเกิดมาแล้วไม่หนีตายทั้งๆ ที่รู้นี่ละ ครั้นแล้วนายทองเหม็นก็ถลันยืนขึ้นน้ำตามันไหลจะสั่งเมืองและทุ่งระจัน ปากก็กล่าวสั่งค่ายและสั่งมิตร
“เพื่อนค่าย แน่ะ พี่น้องที่เคยรักเคยนับถือ ท่านกำนันพ่อจันทร์ และท่านขุนสรรค์กรมการแลคนอื่น ฉันละจะไปให้มันยิงเสียอีก ฉันละจะเข้ารื้อค่ายมันเอง ไหนๆ บ้านระจันมันก็เสียคนยับไปแล้วเพราะอาวุธสู้เราไม่มี เอาละฉันเองจะขี่อ้ายเผือกชนค่ายให้มันยิงเสียให้ตาย ให้ทหารเพื่อนเมืองเขายิงคนมือเปล่าสิ้นอาวุธดูทีรึ ฉันอยากตาย ฉันอยากจะตายๆ เสียให้มันรู้แล้วรู้รอด ยังจะดีกว่าคอยให้มันมาเยี่ยมหน้าเย้ยเมื่อเสียค่าย”
คนฟังทุกคนร้องห้าม แต่ใครเล่าจะห้ามหัวใจทหารที่เหลือแค้นอยู่ได้เมื่อกล่าวแล้ว นายทองเหม็นผู้ใหญ่บ้านระจันแท้จึงหุนหันลงจากเรือน ก็พอพบหน้ากับเจ้าทหารคำหยาด นายทองเหม็นจึงทักด้วยความปีติหัวใจ
“อ้าว น้องข้า เหมาะนักแล้วที่พบกัน พี่จะไปรื้อค่ายมันเสียเดี๋ยวนี้ ใครอื่นไม่อยากจะเกณฑ์แล้วแต่หัวใจสมัคร แต่น้องข้าต้องรู้เสียก่อนว่าเหย้านอนหรือทับอาศัยเราคืนนี้น่ะโน่นทุ่งนอกค่ายแถวขุนโลกโน่น ทหารระจันต้องนอนมันหน้าค่ายพม่า ต้องนอน นอนมันกลางกองเลือดถึงจะเรียกว่าผู้ชายสยาม”
ทัพตะลึงงัน ถึงนายทองเหม็นจักเมาอยู่ แต่ก็พูดจามิได้เสียสติ หากแต่ใจแท้นั้นมุทะลุเจ็บร้อนแทนเพื่อนที่เสียชีวิต มันเหลียวมองเจ้าสังข์กับนายฟักแล้วกล่าวกับนายทองเหม็นว่า
“ฉันตั้งใจมา ก็นึกว่าจะได้ไปตี” แล้วชี้ที่ไหล่สองสะพายดาบ “นี่ดาบก็เตรียมมาแล้วจะรื้อหรือจะหักเข้าไปก็แล้วแต่การ ดีกว่าจะนอนตายทับค่ายให้เสียชื่อ”
นายทองเหม็นหัวเราะก้องแล้วเข้าสวมกอด ทั้งเจ้าฟักและนายสังข์ต่างเต็มใจสมัครไป หากแต่ผัวเจ้าแฟงมันวิงวอนห้าม
“อยู่เถิดสังข์เอย ฟักด้วย” แล้วมันก็แลไปหลังคากระท่อมน้อยที่จากมาเห็นลิบๆ “เอ็งอยู่เป็นเพื่อนแฟงมันเถอะ”
นายสังข์และเจ้าฟักไม่ยอม ตั้งแต่ทำศึกมา นับแต่เป็นโจรกระทั่งเข้าค่ายระจัน เจ้าทัพไม่เคยจะพูดผิดหูเช่นนี้
“ฉันไปด้วย” สังข์ยืนคำ “ฉันต้องไปให้ได้ ขอให้ฟักมันอยู่”
เจ้าหนุ่มพี่ชายแฟงสั่นหัวไม่รับคำ จนทัพต้องปลอบแต่โดยดี
“อยู่เถอะฟัก เอ็งต้องอยู่เป็นเพื่อนแม่เป็นเพื่อนแฟง เอ็งอ่อนอายุก็ต้องไปศึกครั้งหลังตามอายุอ่อน เชื่อพี่เถอะที่พูดนี่มิใช่ปากข้าจะเป็นลางตายหรอก ข้าก็ทหารเคยศึกเอ็งย่อมรู้เห็นมาดี”
เจ้าฟักจำใจยืนนิ่ง มันตรองแล้วตรองอีก แต่หัวใจก็ไม่วายจะคิดว่าพี่ทัพไปตีค่ายครั้งนี้เคราะห์ไม่งามนัก ขณะที่นายทองเหม็นที่วิ่งผละไปชักชวนผู้คนมาเป็นแถวเป็นกอง ส่วนตัวเองขี่กระบือสีเผือกผู้รุ่นเปลี่ยวตะโพงมาหน้า ดาบก็ควงกวัดแกว่งตะโกนแต่คำชวนไปรื้อค่าย เจ้าคนพื้นคำหยาดกับนายสังข์ก็ผละจากเจ้าฟักเข้าขบวนไปติดๆ
ตะวันใกล้เย็น ยามบนหอค่ายของสุกี้พระนายกองต่างพากันเอะอะวิ่งชุลมุนไปบอกนาย เพราะชั่วกองสืบเหตุที่รีบมาบอกไม่ทันไร ฟากทุ่งลิบๆ ย่านขุนโลกโน้นก็เห็นชาวค่ายระจันกำลังยกกันมาอย่างเปิดเผยเอิกเกริกเหมือนเดินทัพใหญ่ แต่พลที่มานั้นเพียงน้อยหนึ่งไม่ครบร้อย และยิ่งใกล้ก็ยิ่งพากันประหลาดที่เห็นควายเผือกโผน
มากลางหมู่คนมุ่งตรงมาโดยเร็ว สุกี้พระนายกองคาดว่าจะเป็นอุบายศึก จึงนิ่งคุมดูเชิง แต่กระทั่งใกล้มาอีกเห็นถนัดเพียงชั่วทางปืนก็รู้ว่าเชิงศึกนั้นไม่มี ชาวระจันมาแต่เพียงน้อยด้วยอาวุธดาบเหมือนหนึ่งจะท้ารบไว้ฝีมือศึกกลางแปลง
เมื่อคะเนจำนวนแน่แล้ว สุกี้จึงระดมทหารเพิ่มขึ้นมากกว่าชาวบ้านระจันหลายส่วน แล้วคุมกันกรูออกทั้งวิ่งดาหน้าและรายล้อม ส่วนพลหนุนก็เตรียมอยู่พรักพร้อมที่จะคุมออกช่วยอีก อันจำนวนทหารที่จะเปรียบแล้วก็เพียงชั่วโหมพักเดียวทัพระจันก็จะเหลวแหลกพินาศคามือ
อ้ายเผือกเต้นผยองเบิ่งเขาเมื่อเห็นคนมากมายข้างหน้า นายทองเหม็นผู้สละชีวิตก็เตือนอ้ายเผือกหนักขึ้น ยิ่งเห็นระเนียดค่ายและหอรบหอปืน หัวใจของผู้ใหญ่บางระจันแทบจะทะลักเป็นเลือด จะเอาอ้ายเผือกโผนเข้าขวิดค่ายแม้จะเสียชีพเล่าก็ขอให้อ้ายเผือกได้เข้าขวิดระเนียดและพังประตูเท่านั้นก็ชื่นใจทหารที่จะยิ้มลาไปเมืองผี เมื่อทหารของศึกดาหน้าและกระจายล้อมโห่ใกล้เข้ามา ผู้ใหญ่ระจันก็ชะเง้อตัวสูงควงดาบเข้าใส่แล้วร้องเร่งพล
เข้าให้ถึงค่ายน้องเอ๋ย อ้ายหอสูงนั้นแหละมันผลาญคนระจันมากนัก เราเข้าตายในค่ายศึกเถิด เมื่อมันไม่ถึงหากมือจะได้หักไม้ค่ายกำตายแต่คนละอันก็พอแก่ยศเราได้มาเยี่ยมค่ายเขาแล้ว ชีวิตเราจะแลกกับไม้ค่ายเพียงคนละอันก็ประเสริฐทหารนักหนา
สิ้นคำเจ้าทหารกล้ากับนายสังข์ที่วิ่งมาสองข้างขนาบอ้ายเผือกก็หัวใจสะอื้นดาบพ้นฝักโบกไปข้างหน้าโน้น ลืมแฟงและลืมคำเจ้าเสียสิ้น เลือดตลอดตัวนี้จะขอหลั่งทาดินฝากธรณีไว้บูชาชาติที่อาศัยแผ่นดินได้สุข ขอฝากเลือดไว้แก่หญ้าเขียวพอบอกเพื่อนหวังว่าจะลาตายแล้วมันก็ตะโกนต่อคำของนายทองเหม็นสืบไปอีก
“ตายให้หมด เพียงมือคลำรั้วค่ายก็เรียกว่าบ้านระจันมันชนะ มันบุกมาตายจนถึงเพราะตั้งใจจะตายรบ รบมันเข้าไป”
พลระจันก็โห่ขึ้นพรักพร้อม ชายระจันน้อยนักหนาแต่ก็เหมือนเพลิงที่ลุกโรจน์เข้าหาเชื้อเผาไฟวูบๆ รุกไปและฆ่าเกลื่อนตลอดไป เมื่อสิ้นแรงก็ล้ม บ้างดาบหักเข่าคุกลงประณมมือสั่งค่าย ลาก่อนค่ายระจัน เพื่อนเมืองสิงห์ทั้งสุพรรณที่เคยร่วมศึก เพื่อนวิเศษไชยชาญและศรีบัวทองบ้านนักรบจะไม่เห็นหน้าอีก หน้านี้จักยับเยินด้วยรอยเท้าย่ำ ดินหน้าค่ายจักกลบหน้าเราแทนหลุมบ้านระจัน แล้วก็สิ้นใจลาโลกตายอยู่ฟากดินของชาติ
อ้ายเผือกโผนไปลิบๆ เขาอ้ายเผือกแดงฉานตลอดสองปลายเขา ดาบหลังอ้ายเผือกก็หวดไม่เลือก เร่งแต่จะตะลุยเข้าให้ถึงค่าย เจ้าทหารเสือที่ขนาบข้างอ้ายเผือกเหงื่อโซมหน้า เลือดโซมแขนแล้วน้ำตานอง เพราะผู้ใหญ่บ้านตะโพงอ้ายเผือกถลำศึกไปแล้ว พ่อยอดเมืองระจัน ผู้ใหญ่ระจันผู้ไม่ห่วงใครอื่นไม่ห่วงชีวิตแม้สักน้อยกำลังถูกห้อมล้อมด้วยทัพนับร้อย มันกลุ้มเข้าฟัน มันรุมแทงทั้งหอกซัดและแหลน
หลาว แต่อ้ายเผือกก็ตะโพงยกหน้าสูงสองเขาคะนองเลือดแล้วโผนเข้าชนระเนียดค่ายผาง ขวิดคนขวิดไม้ดะด้วยกำลังเจ็บ ดาบบนหลังก็หวดหัวกระเด็นแล้วฟันระเนียด นั่น เป็นธงชนะของผู้ใหญ่ทองเหม็นแล้วก็ถูกฉุดตัวพลัดหลังอ้ายเผือก พริบตานั้นก็สิ้นชีพอยู่หว่างทัพล้อมเหลือที่ใครจะหักเข้าแก้ อ้ายเผือกก็โผขวิดไปจนสิ้นแรงล้มตามเจ้าของ
ทัพมันสะอื้น บ้านระจันแต่นี้จักว้าเหว่ หากจะเรียกหาก็เพียงได้ยินนามว่าผู้ใหญ่ทองเหม็นพ่อยอดทหารที่ถอดชีวิตถวายชาติไปสู่สวรรค์แล้ว บ้านระจันจะสู้ศึกเหมือนคนไม่มีหัวใจ แต่ฟากทุ่งเวิ้งนี้ค่ายระจันจักจำไว้ชั่วชีพว่าเจ้าพ่อทองเหม็นท่านหัวเราะเยาะศึกอยู่ก้องฟ้าบนหลังอ้ายเผือกเป็นเจ้าทุ่งทหารสยาม
พอดีตะวันพลบ ไม้ไร่ก็ซบใบเศร้ามืดมัวดังจะไว้อาลัยคำนับศพท่านทหารหาญที่ชีวิตหาไม่ ทัพแทบจะสายใจขาดแทบจะน้ำตาเป็นเลือดที่เสียชีวิตพ่อค่าย จะถลันไปอีกก็เหมือนหนึ่งจักพาฝูงเพื่อนแมลงเม่าเข้าเล่นเพลิง ก็จำต้องรอรบและถอยมาตลอดทาง ผู้คนก็ล้มมาตลอด บ้างพลัดบ้างหลงอยู่หว่างศึกแล้วก็สู้จนกำดาบตาย ไทยยามเข็ญศึกเหยียบฟากเรือนแล้วไทยก็ก้มหน้าสู้ ไทยจักประนมมือยิ้มถวายชีวิตเป็นชาติพลีกว่าคนจะเกลี้ยงเมืองแล้วก็ขอเชิญผู้ชนะเขามาครอง
กระทั่งเข้าปากทางหลีกเร้นมาตามป่าเปลี่ยวหลบเข้าดงลึกพ้นอำนาจทหารพม่า ทัพมันก็เศร้าหัวใจนัก เจ้าสังข์ก็ชุ่มเลือดทั้งทหารเหลือก็ล้วนแต่เจ็บป่วยเพราะต้องตกอยู่กลางศึกล้อมมากมาย และก็มีชีวิตกลับค่ายไม่ถึง ๒๐ ทั้งตัวมันเอง ตะวันก็ต่ำไปสิ้นแสงแล้ว ตะวันลับดวงเหมือนจักคำนับศพทหารระจันและนายทัพทองเหม็นผู้สิ้นชีพอยู่กลางทุ่งมืดหน้าระเนียดค่ายศึกโน้น
บ้านระจันค่ายน้อย ประตูค่ายซึ่งเคยเปิดออกลาดหาเสบียงและหาไม่อย่างหมดภัยเมื่อก่อน ปิดสนิทนับแต่วันที่ผู้ใหญ่ทองเหม็นเสียชีพไปแล้ว ค่ายหน้าอันเป็นหอปืนของพม่าข้าศึกก็เหิมใจยกรุกมาอีกแล้ว ตั้งค่ายประชิดล้ำทุ่งขุนโลกมาใกล้ และขุดอุโมงค์เข้าประชิดค่ายน้อยระจัน แล้วปลูกหอรบสูงเอาปืนใหญ่ขึ้นตั้งจังก้ายิงกราดมาในค่ายตลอดเพลา
ศพเกลื่อนค่ายทั้งทหารกล้า หญิง และเด็กแดงผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งอาศัยอยู่เป็นชาวค่ายต้องสับสนอลหม่าน เสียงเรียกหาเมื่อปืนใหญ่กราดแล้วต่างก็สิ้นชีวิตเพราะกระสุนดั่งเม็ดฝน หอกดาบและมีดไม้ของคนระจันหมดประโยชน์แล้วที่จะออกต่อศึก ก็ได้แต่ปิดประตูค่ายคร่ำครวญคอยเวลาตาย
เช้านี้ฝนแล้ง เมฆขอบฟ้ามีเพียงก้อนเล็กกลุ่มน้อย แต่อากาศโปร่งไม่มีฝนนั้นกลับเพิ่มกลัวให้แก่ชาวค่ายอาศัยเป็นอเนกเพราะจะต้องวิ่งวุ่นด้วยปืนรบบนหอสูงโน้นอีก
ในทับอาศัยชั่วคราว ผู้คนกำลังล้อมแคร่นอนอยู่มากหลายล้วนแต่ตัวหัวหน้าและทหารใกล้ชิดฝีมือดี คนป่วยนั้นยังพอมีสติออกปากห้ามมิให้เพื่อนผู้หนึ่งผู้ใดที่จะพาย้ายหนีไปค่ายใหญ่ให้พ้นระยะปืน อันหัวใจเด็ดเดี่ยวของนายแท่นแม่ทัพซึ่งป่วยเพราะต้องปืนแต่ครั้งศึกสุรินทจอข่องนั้นเล่าใครเลยจะเว้นชม ใครเลยจะกลั้นน้ำตาเสียได้เมื่อแม่ทัพศรีบัวทองคนเมืองสิงห์กล่าวยิ้มแย้มว่า
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย