27 พ.ย. 2024 เวลา 07:28 • นิยาย เรื่องสั้น

๓๐

​กุมารีทั้งหลาย เจ้าจึงสำเหนียก อย่างนี้เทอญ—
สามีใดขวนขวายหาเลี้ยงภรรยาอยู่เป็นนิจ ภรรยาดีย่อมไม่ดูหมิ่นสามีนั้น ผู้เป็นชาติชาย ผู้หาสิ่งพึงประสงค์มาให้ อนึ่งหญิงดีไม่พึงโกรธเคืองสามีเพราะความหึง (ย่อม) เป็นคนฉลาดต้อนรับ บูชาท่านผู้เป็นที่เคารพของสามี—สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามี ประพฤติเป็นที่เจริญใจสามี คุ้มครองทรัพย์ที่สามีหามาได้—
บันลือมองดูกอไผ่ที่ไฟฉายจากรถทำให้เห็นเด่นอยู่ตรงหน้าอีก ๑๒ กิโลราว ๆ ๒๕ นาที ! เขาเห็นว่านายนพขับรถอย่างแน่ใจและแม่นยำในทางอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้น บันลือก็อยากจะให้เขาขับดีกว่านี้อีก คืออยากให้รถแล่นเร็วขึ้น แต่ให้อยู่ในอาการที่เชื่อได้ว่าปลอดภัยดังที่กำลังเป็นอยู่ ที่จริง ๓–๔ วันมาแล้วบันลือมีความอยากให้ทุก ๆ สิ่งเร็ว ๆ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถไฟที่เขาโดยสารมาวันนี้
เขาพอใจที่ได้จัดงานของคุณยายสำเร็จรวดเร็วสมความต้องการ หรือจะกล่าวให้ตรงทีเดียวเขาเป็นแต่เพียงผู้หาคนจัด แต่ธุระอันใดก็ตาม ถ้าหลานบันลือของท่านรับปากว่า “ผมจะจัดการ” แล้ว คุณยายก็วางใจได้
​ใกล้เข้ามาอีก ๕ กิโล แล้วก็อีก ๒ แล้วก็อีก ๒ แต่บันลือก็ยังรู้สึกว่าตัวยังไกลจากที่หมายปลายทางอีกมากเพราะเหตุว่าใจของเขาอยู่ในภาวะเร่งรีบอย่างที่เขาลืมคิดที่จะระงับ สี่วันระหว่างที่วิ่งเต้นทำธุระให้คุณยาย ไม่มีสักวันเดียวที่เขามิได้คิดคอยโทรเลขหรือจดหมายจากภรณี แต่จนกระทั่งถึงเวลาที่เขาขึ้นรถไฟมานี้ เขาก็ยังมิได้รับสิ่งที่เขาคอยนั้น
เขาพยายามที่จะไม่คิดค้นหาเหตุแห่งความเงียบเชียบของหล่อน แต่ใจของเขาเดือดร้อนกระสับกระส่ายก็ชวนให้สมองคิดยุ่งไปต่าง ๆ ในที่สุดเข้าเขาต้องปรารภความสนเท่ห์ให้จิตราฟังโดยไม่มีเจตนาเจ้าหล่อนผู้นี้ให้คำตอบอันง่ายและตื้นแก่เขา
“เขาคงไม่ต้องการอะไรถึงไม่โทรเลข ส่วนจดหมายท่าเขาจะกลัวว่ามันจะสวนทางกับเธอ ก็เลยขี้เกียจเขียน” ฟังดูก็เป็นเหตุผลที่น่าจะใกล้กับความเป็นจริง แต่ไม่เป็นเหตุผลที่ทำความพอใจให้แก่เขา อย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจที่จะโกรธภรณี เขาเข็ดตัวเองพอแล้วในเรื่องความโกรธของตัวที่มีต่อภรณีโดยหาเหตุผลมิได้ ชีวิตของเขาในส่วนที่เกี่ยวกับภรณี จะต้องมีการตั้งต้นใหม่ และในเวลานี้ทั้งในจิตใจและสมองของเขาไม่มีความคิดอย่างใด นอกไปจากที่จะรีบเริ่มการตั้งต้นที่กล่าวแล้วโดยเร็วที่สุด
เมื่อสายตามองเห็นแสงไฟที่ในบริเวณบ้านของตนเองได้รำไร ความคิดอันแน่และกระจ่างของบันลือออกจะมีอาการ​เลือนและพร่า บันลือหัวเราะตัวเองและถาม “เรานี่กลัวผู้หญิงหรือ ?” เขาไม่เคยรู้ตัวว่ามีนิสัยขลาดเช่นนี้มาแต่ก่อน
เขาจำได้แน่ว่าส่องสีกับเขาได้แต่งงานกันโดยที่ต่างฝ่ายต่างดูเหมือนจะมิได้มีการพูดจำเป็นเนื้อถอยกระทงความอย่างใดแก่กันเลย ภรรยาคนที่สองนั้นยกไว้ ในวันเดียวกับที่เขาได้ยินข่าวว่า ส่องสีจะหมั้นกับชายอีกคนหนึ่ง เขาก็ขอร้องให้มารดา
ของเขาหาภรรยาให้เขาใหม่ ต่อมาอีกเดือนเศษเขาได้แต่งงานกับกุลสตรีที่สวยพร้อมทั้งตัว แต่เหมือนจะไม่เคยใช้ปัญญาในทางใด นอกจากในทางรักษาผิวให้งามอยู่เป็นนิจ และรักษากิริยาให้เสงี่ยมหงิมจนถึงกับไม่ยอมสบตาชายผู้เป็นสามี ครั้นมาถึงภรรยาคนที่สามนี้—สมองของเขากำลังล้นไปด้วยข้อความที่เขาอยากจะกล่าวแก่หล่อน
รถหยุด บันลือโดดลงพร้อมกับขมวดคิ้ว ที่บนเฉลียงใหญ่ไม่มีภรณียืนอยู่เหมือนเช่นเคย บางทีหล่อนอาจไม่ได้ยินเสียงรถ หรือได้ยินแล้วแต่ยังติดธุระอันใดอยู่ หรือบางทีหล่อนจะกำลังอยู่ที่ครัวเตรียมอาหารสำหรับเขา
เดินตรงไปยังบันไดหน้าเรือน ชาวพื้นเมืองอยู่ที่นั่นสองคน คนหนึ่งเป็นหญิงรับใช้ประจำบนเรือนนี้กำลังจัดเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร อีกคนหนึ่งเป็นชายค่อนข้างผู้ใหญ่ เป็นคนงานที่ไร่ ​มาต้อนรับผู้เป็นนายด้วยศรัทธา เมื่อบันลือเข้ามาใกล้ เขาชักผ้าขาวม้าออกจากไหล่และพูดด้วยเสียงหัวเราะ
“พ่อคุณกลับได้ ค่อยดี พ่อคุณไม่อยู่มันเชียบนัก”
บันลือยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อย แล้วถาม
“แม่คุณอยู่ไหน ?”
“เห็นยืนอยู่สักกี้นี่เอง หายเข้าห้องเชียบแล้ว”
บันลือขึ้นบันไดแล้วมีอาการรีรอ ในที่สุดก็ตรงไปยังห้องภรณี และเรียก
“ภร ทำอะไรอยู่รึ ?”
ภรณีออกมาจากข้างตู้อันเป็นที่ ๆ หล่อนหลบเข้าไปยืนอยู่โดยเจตนา “เสร็จแล้ว” หล่อนตอบ
“ทุกคนสบาย ? ไม่มีใครเป็นอะไร ? ได้รับจดหมายของฉันหรือเปล่า ?”
“ได้”
“ทำไมไม่เห็นโทรเลขตอบ ?—พบ—คุณหลวงจำนงฯ ก็ต่อว่ามายืดยาวเรื่องเธอไม่ส่งข่าว—”
หล่อนมองดูเขาเป็นครั้งแรก ประจวบกับเขาก้มลงมองดูปลายรองเท้า แต่เขาทำเช่นนั้นเพียงชั่วขณะเดียวแล้วก็เงยหน้าขึ้นพูดว่า
​“อำไพ อำไพใช่ไหมน้องสาวเธอ ? อำไพก็บ่นว่าพี่ภรลืมน้อง ข่าวคราวคำเดียวไม่เคยมีไปถึง โอ๊ะ มีอะไรต่ออะไรอีกเยอะถ้า—ถ้าเธอยังไม่นอนขอไปอาบน้ำกินข้าวก่อน วันนี้หิวจริงเดี๋ยวคุยกันใหม่” ขาดคำเขาหันหลังออกเดินปัง ๆ ไปโดยเร็ว
ภรณียืนนิ่งอยู่กับที่รู้สึกตัวคล้าย ๆ กับจับไข้ ชายตาไปดูกระเป๋าเดินทางที่หน้าเตียง สิ่งของที่หล่อนจะนำติดตัวไปในตอนเช้าอยู่ในกระเป๋านั้นเรียบร้อยแล้วถึงอย่างไรหล่อนจะไม่เปลี่ยนความคิดเพราะทีท่าอย่างใหม่และค่อนข้างแปลกของเขา ที่จริงคิดให้ดีก็จะเห็นว่าไม่แปลก บิดาและน้องของหล่อนอาจได้พบเขาโดยเผอิญ แล้วก็เป็นธรรมดาที่ฝ่ายหลวงจำนงฯ จะต้องเข้าทักทายเขา เพราะเหตุว่าคุณหลวงต้องการทราบข่าวเรื่องลูกสาวของตนบ้าง
หล่อนหัวเราะเยาะตัวเองที่คอยแต่ตื่นในเหตุเล็กน้อย ความตั้งใจจะต้องเป็นความตั้งใจเดิม แต่ประเดี๋ยว สำหรับคืนวันนี้จนถึงรุ่งอรุณแห่งวันพรุ่ง หล่อนได้ตั้งใจไว้ว่าจะทำอย่างใดบ้าง ? ๑ ไม่สนใจในกิริยาวาจาของเขาเลย ๒ ทำหน้าที่ ๆ เคยทำจนกว่าจะพ้นไปจากที่นี่แล้ว
​เพราะฉะนั้น หล่อนจะต้องไปที่ครัวดูว่านางเนียบและนายถีได้จัดอาหารสำหรับเขาเรียบร้อยเหมือนดังที่หล่อนสั่งไว้หรือไม่ เมื่อเขารับประทานอาหาร หล่อนจะไปนั่งฟังเขาพูด เพราะเขาสั่งให้หล่อนทำดังนั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาบังคับหล่อนไม่ได้คือความสนใจของหล่อนในคำพูดของเขา
หลังจากนี้ไม่ถึง ๑๐ นาที บันลือนุ่งกางเกงแพรสีกรมท่า ใส่เสื้อชั้นในแพรขาว ออกมานั่งที่โต๊ะอาหาร เขาลงมือรับประทานได้สักครู่ภรณีก็มานั่งลงในที่ของหล่อน
เขาเงยหน้าขึ้นมองดูหล่อนแต่เพียงแว่บเดียวพร้อมกับพูดว่า “ไก่นุ่มดีมาก” แล้วก็ทำธุระกับอาหารต่อไป ภายหลังจึงพูดขึ้นอีก
“ตกลงฉันไม่ได้อะไรมาฝากเธอจริง ๆ นอกจากหนังสือ หีบเครื่องเย็บก็ไม่ได้ จิตราหาให้ไม่ทัน เพราะพึ่งพบเขาเมื่อคืนนี้สี่ทุ่ม อ้อ มีลูกไม้มาสองชะลอมเบ้อเร่อ คุณยายบรรจุเองกับมือ ฝากมาให้เธอ เห็นแล้วหรือยัง ? หรือเจ้านพเอาติดรถไปเสียด้วยก็ไม่รู้ คุณยายสั่งแล้วสั่งอีกว่าถ้าฉันไปกรุงเทพฯ คราวหลังต้องเอาเธอกับเด็ก ๆ ไปด้วยให้ได้”
ภรณีเม้มริมฝีปากและกัดซ้ำ เพื่อบังคับมิให้สั่น
​“ไอ้ถีมานอนที่นี่หรือเปล่า ?”
“มานอนคืนหนึ่ง แล้วดิฉันก็เลยห้ามเสียเพราะไม่เห็นจำเป็น”
เขายิ้มและมองดูหล่อนอย่างผู้คุ้นเคย “พี่น้องเขาชมกันว่าเธอเก่งราวกับผู้ชายคนหนึ่ง เจ้าเสน่ห์นะสั่นหัว บอกว่ายอมแพ้ เขาถามฉันว่าเธอเต้นรำเป็นหรือยัง แล้วที่ว่าเต้นไม่เป็นน่ะไม่เป็นจริง ๆ หรือแกล้งทำ ที่สุดเขาบอกว่าให้หาครูให้เธอ ไอ้บ้า ในหัวของมันไม่มีอะไรนอกจากพรรค์นี้นึกจะออกความเห็นอะไรก็ออกมาเหลว ๆ จะหาคนที่พูดภาษากันรู้เรื่องยังหาไม่ค่อยพบ จะให้หาครูเต้นรำ”
หล่อนเริ่มรู้สึกรำคาญเพราะต้องปล่อยให้เขาพูดข้างเดียวนานเกินไป เหลียวหาคนอื่นคนงานทั้งชายและหญิงเคยมานั่งมายืนมาเดินเตร่อยู่ตามริมเรือนเสมอในเวลาที่บันลือกลับจากกรุงเทพฯ เขาเหล่านี้เคยคุยกับบันลือ และชวนให้บันลือคุยกับเขา แต่คืนนี้เผอิญไม่มีใครแม้แต่สักคน จนใจจริง ๆ หล่อนจึงพูดขึ้นว่า
“ท่านเห็นจะสบายดี ?”
เขาเลิกคิ้วในท่าสงสัย แต่แล้วก็ตอบว่า
​“สบายดี แต่ออดแอดบ้าง ช่วยไม่ได้เรื่องของคนมีอายุ”
นิ่งเงียบไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย บันลือรู้ตัวอย่างจะแจ้งว่ามิได้รู้สึกในรสอาหารแม้แต่น้อย การที่ฝืนใจรับประทานเรื่อยๆ ไปก็เพื่อจะใช้เวลาสำหรับสะสางเรื่องราวที่เขาต้องการพูดแก่ภรณีให้เป็นระเบียบขึ้นเท่านั้นเอง ทันใดนั้นเขามองไปเห็นนายถียกที่กาแฟมา ก็รวมซ่อมและมีด และกวักมือเป็นเชิงเร่ง
“โน่นวางข้าง ๆ แม่คุณ” เขาสั่ง “ฉันผสมเองอร่อยสู้เธอผสมให้ไม่ได้” เขามองดูสีหน้าภรณีมีอะไรผิดปกติอยู่ในตัวหล่อน นัยน์ตาของเธอยืนยันแก่เขาเช่นนั้น “แปลกไหม คนเรา” เขาพูดต่อแกมหัวเราะ “รสปากของตัวเองแหละไม่รู้จัก คนอื่นเขารู้จักดีกว่า”
“ขอบใจมาก” เขากล่าวเมื่อรับถ้วยกาแฟจากมือหล่อน “ลงไปต่อข้างล่างอีกหน่อยนะ ถ้าเธอยังไม่ง่วงคืนนี้เดือนหงายน่าเดินเล่น”
เขาดื่มกาแฟอย่างเร็ว และไม่ขออีกเป็นถ้วยที่สองซึ่งผิดจากปกติของเขา ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วพยักเรียกภรณี เมื่อหล่อนลุกขึ้นและกำลังจะเดินตามเขา เขาถามขึ้นว่า
​“บุหรี่มีมั่งไหม ? นึกอยากสูบบุหรี่”
เห็นหล่อนทำท่าจะไปหยิบของที่เขาต้องการ “ให้เจ้าถีไปหยิบไม่ได้เรอะ?” เขาท้วง
“ไม่ได้ ไม่รู้ที่”
เขามองตามหล่อนเดินไปถึงหน้าห้อง แล้วหันมาถามคนใช้ของเขา “เฮ้ย ไอ้ถี ข้าสั่งให้เจ้ามานอนเป็นเพื่อนคุณผู้หญิง ทำไมเจ้าไม่นอน ?”
“ผมมาแล้ว แล้วคุณผู้หญิงไล่ผม—”
“เออ ข้ารู้แล้วแต่ถ้าเผื่อเขาเป็นอะไรไปเจ้าจะเอาที่ไหนมาใช้ข้า” เขาหัวเราะ “คุณผู้หญิงออกจะยึดอำนาจอะไร ๆ ไปจากข้าเสียหมดทุกอย่าง แต่ตัวข้าเองยังออกจะแย่ ๆ”
เขาหยุดพูดเมื่อภรณีกลับออกมานอกห้อง เมื่อเขาหยิบบุหรี่คาบไว้มวนหนึ่งและหนีบกระป๋องที่ปิดแล้วไว้ด้วยแขนข้างซ้าย เพื่อจะใช้มือขีดไม้ขีดไฟนั้นเขาพูดเป็นเชิงปรารภ
“ไปกรุงเทพฯ คราวนี้เกิดเป็นโรคสูบบุหรี่เสียยกใหญ่ วันหนึ่งไม่รู้ว่ากี่สิบมวน ค่าที่มีเรื่องคิดมาก”
ก่อนที่จะลงบันไดพร้อมกับภรณี เขาวางกระป๋องบุหรี่ไว้บนขอบลูกกรง แล้วเดินเอื่อย ๆ คู่ไปกับหล่อนจนพ้นแสงสว่างแห่งโคมที่แขวนอยู่บนระเบียงเรือน
​“ฉันยังเล่าเรื่องคุณพ่อเธอไม่จบ เมื่อเย็นวานมีเวลาว่างชั่วโมงกว่า เลยไปเยี่ยม แหม บ่นยาวเรื่องเธอไม่ส่งข่าวไปถึงเสียเลย ฉันแก้ว่าเมื่อเธอมาถึง ไอ้บ้านของฉันมันยังไม่เป็นบ้าน เธอยังยุ่งไอ้เรื่องจะทำให้มันเป็นบ้านขึ้นมา เลยไม่มีเวลาทำอื่น พอจะหายยุ่งเรื่องบ้านเผอิญมีแขกมาพักอยู่อีกด้วยเท่านั้น ๆ คน คุณหลวงค่อยเงียบไปหน่อย แต่ประเดี๋ยวพอเรียกลูกสาวลงมาให้รู้จัก แม่นั่นก็มาบ่นออด ๆ ว่า พี่ภรณีลืม
น้อง หนังสือตัวเดียวไม่เขียนถึง ก่อนแต่งงานอยู่ในกรุงเทพฯ เรื่องราวอะไรก็ไม่ค่อยมี ยังอุตส่าห์เก็บข่าวนั้นนิดนี่หน่อยเขียนเล่าให้ฟัง ต้องแก้ตัวกับแม่น้องสาวอีกพักใหญ่ พูดไปพูดมาแกรับออกมาว่า เมื่ออยู่โรงเรียนแกนึกว่าแกถูกลืมคนเดียว แกน้อยใจจะร้องไห้เสียหลายหน จนกระทั่งโรงเรียนปิดเทอมคราวนี้แกกลับบ้านรู้ว่าคุณพ่อก็ถูกลืมเหมือนกันถึงได้ค่อยยังชั่ว ข้างคุณนายพอเห็นหน้าก็—” เขาชะงักเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะเล่าคำพูดประโยคแรกของนางจำนงฯ “แม่ภรท้องแล้วหรือยัง ?”
“ไม่ต่อว่า” เขาต่อประโยชน์ที่ค้าง “ถามแต่เรื่องทุกข์สุขแล้วว่าอำไพบ่นทุกวัน ว่าทำไมจะได้เห็นบ้านพี่ภร ฉันเกือบ​จะชวนเอามาเสียด้วยแล้ว เวลานี้โรงเรียนกำลังปิดเหมาะดีเสียด้วย แต่นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้รับอนุญาตจากเธอ”
ไม่มีคำตอบแม้แต่สักหนึ่งคำ ไม่มีแม้แต่อุทานแสดงความยินดียินร้าย ไม่มีแม้แต่เสียงแสดงว่าหล่อนรับรู้คำที่เขาพูด บันลืออัดบุหรี่โดยแรง ๓–๔ ครั้งติดกัน แล้วขว้างไปสุดกำลัง ด้วยความรู้สึกว่าได้ขว้างความพลุ่งพล่านในใจไปพร้อมกับกันบุหรี่ด้วย
“เดือนหงายดีจริงคืนนี้ เสียดายจิตรามาไม่ได้เห็นพระจันทร์สักคืนเดียวบ่นนักบ่นหนา อยากเห็นบ้านเราเวลาที่เดือนหงายสักคืนหนึ่ง”
ยังไม่มีคำตอบอยู่นั่นเอง และบันลือเริ่มเข้าใจได้ว่าภรณีพยายามจะเดินให้ห่างจากเขา สังเกตได้จากเส้นทางเดินซึ่งโค้งเป็นวงไปเกือบจะรอบจานใหญ่ เพราะเหตุว่าเขาเข้าใกล้หล่อนเพียงใดหล่อนก็ออกห่างจากเขาเพียงนั้น นั่นก็ช่างเถอะ ความหวงตัวอันเป็นสมบัติของสตรีที่รักนวลสงวนศรี แต่ข้อที่หล่อนขยันนิ่งเสียจนเหลือเกินเช่นนี้ จะทำให้เขาสิ้นปัญญาที่จะแถลงความรู้สึกในใจให้ปรากฏแก่หล่อนดังที่เขาตั้งใจไว้
เขานิ่งเงียบไปนานและดูเหมือนสิ่งที่มีชีวิตในพื้นพิภพจะพากันเงียบไปตามเขาทั้งหมดด้วย นัยน์ตาของเขาจับอยู่ที่ร่าง​อันแน่งน้อยที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างตัว ถึงแม้จะมีแสงเดือน เขาเห็นหล่อนด้วยใจด้วยสมองมากกว่าเห็นด้วยตา ร่างอันแน่งน้อยนี้ประกอบด้วยความสมทรงทุกส่วนสัด วงหน้าบริสุทธิ์เหมือนดอกมะลิเพิ่งแรกบาน กลิ่นหอมชนิดหนึ่งกระทบประสาทเขาอย่างรุนแรง ทันใดนั้นเขาก้าวเท้าเข้าประชิดตัวหล่อน แล้วกอดหล่อนไว้ทั้งตัว
เขากอดหล่อนแล้วกอดหล่อนอีก กอดแทนคำพูดที่จะพูดที่จะบอกแก่หล่อนว่าเขาหมดอำนาจในตัวของเขา เพราะหล่อนเป็นผู้มีอำนาจเหนือใจเหนือกายของเขาโดยสิ้นเชิง กอดแทนคำพูดที่จะบอกแก่หล่อนว่าเขามีความสุขเพราะการสิ้นอำนาจที่หล่อนทำให้แก่เขานี้ กอดหล่อนแทนคำพูดที่จะบอกแก่หล่อนว่า เขารู้ตัวว่าหล่อนจะเป็นผู้กำเส้นชีวิตของเขาไว้ตั้งแต่วันแรกที่สายตาของหล่อนประสานกับสายตาของ
เขา ชีวิตของเขาจะตั้งต้นด้วยหล่อนจบลงด้วยหล่อน เขาจึงจงใจที่จะต้านทานอำนาจในตัวหล่อนตั้งแต่บัดนั้นมา กอดหล่อนแทนคำพูดที่จะบอกแก่หล่อนว่า เขาเสียสัตย์แก่ตัวเองในคืนวันที่มีงานฉลองการหมั้นคืนนั้นเองเขารักหล่อนด้วยความรัก ที่เขาตั้งใจไว้ว่าจะให้แต่เฉพาะแก่หญิงที่เปรียบประดุจแก้วมณี เพื่อจะล้างอาย​ในข้อที่เลือกหญิงผิดไปแล้วครั้งหนึ่ง ครั้นแล้ว ในคืนนั้นเอง ความระแวงได้เกิดขึ้นแก่เขา
กอดแทนคำพูดที่จะบอกแก่หล่อนว่า การพอใจโดยสถานประมาณในเรื่องความรักเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในตัวเขา เพราะเขารักหล่อนแรงยิ่งนักจึงชังหล่อนเพราะความระแวง กอดหล่อนแทนคำพูดที่จะบอกแก่หล่อนว่า เขารู้อยู่ตลอดเวลาว่าหล่อนเป็นหญิงบริสุทธิ์ แต่เขาเพิ่งจะรู้ในภายหลังว่าความบริสุทธิ์ของหล่อนลอยเด่นอยู่เหนือความบริสุทธิ์ตามความหมายอย่างสามัญลอยอยู่สูงลิบเกินที่มลทินหรือแม้แต่กลิ่นไอแห่งมลทินจะกล้ำกรายได้
ภรณีตกใจจนสิ้นสติ แต่ความสิ้นสตินี้ไม่มีลักษณะที่จะทำให้หล่อนหมดความรู้สึก ตรงกันข้าม !–ก่อนที่จะรู้ตัวว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น ความรู้สึกชนิดหนึ่งได้เกิดขึ้นในหัวใจแล้วแผ่ซ่านไปทั่วตัวสมองร้องอยู่ว่า “ไม่ ไม่” แต่เสียงไม่ออกจากลำคอ คิดจะดิ้นลำตัวก็หมดกำลัง คิดจะใช้แขนดัน แขนก็เพลีย ขยับเขยื้อนมิได้ ยกมือขึ้นผลักอกมือก็ยกไม่ขึ้น เสียง ไม่ ไม่ ที่ในสมองเล่าก็อ่อนแรงลงทุกที
เขาคลายวงแขนออกเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าไม่มีการตอบแทนจากฝ่ายหล่อน ศีรษะของหล่อนเบียดอยู่กับบ่าของเขา เขาจับหน้าหล่อนเงยขึ้นแล้วจูบหล่อนทั่วทั้งหน้าจูบแทนคำว่า “ภร!” ​จูบแทนคำว่า “การต่อสู้กับความปรารถนาของเขาในตัวหล่อน เป็นการต่อสู้อันหนักที่สุดที่เขาได้เคยผจญ” จูบแทนคำว่า “ภรคนเดียว!”
“รักฉันมั่งไหม ภร?” เขากระซิบถาม
ไม่มีคำตอบ เขาจูบซ้ำแล้วถามอีก “ภรจ๋า รักฉันมั่งไหม ?”
หล่อนเบือนหน้าหนีมือที่เชยคางหล่อนอยู่อยากจะผลัก อยากจะทุบ อยากจะหยิบ แต่ทั้งแขนทั้งมือทั้งนิ้วไม่อยู่ในอำนาจของหล่อนแต่สักอย่างเดียว
เขารัดตัวหล่อนแน่น ดังหนึ่งจะทำให้เนื้อต่อเนื้อแนบสนิท มือหนึ่งลูบคลำตามเส้นผมซึ่งเขารู้สึกว่าอ่อนนุ่มดังเส้นไหม
“รักบันลือมั่งไหมจ๊ะ ภรณี ?”
เหลือที่จะทนทานอยู่ได้ หล่อนเงยหน้าขึ้นพูดว่า
“ถามข้างเดียวใครจะตอบ”
“O Love sweet sacred love, thou art devine !”
“Loved one mine own, forever be mine๑ ทีนี้ตอบได้หรือยัง ?”
​“ไปเอาคำของใครเขามา !”
“ของใคร !” เขาหัวเราะกังวานแห่งน้ำเสียงซ่านไปทั่วตัวภรณี “ของฉันเอง คิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ตอบเธอเดี๋ยวนี้ ความรักทำให้หัวสมองฟุ้ง เธอไม่รู้ดอกรึ ?” ประคองหน้าของหล่อนขึ้นจูบซ้ำหลายหน “รักบันลือบ้างไหม ภรณี ?”
หล่อนเลิกคิดที่จะทำร้ายร่างกายเขา เลิกคิดที่จะทำสิ่งใดทั้งสิ้น สิ้นปัญญา สิ้นความคิด สิ้นความต้านทาน อ่อนระทวยอยู่ในวงแขนของเขา
เสียงฝีเท้าเดินอย่างหนัก และเสียงไอโดยเจตนา ชายหนุ่มหันไปดูพร้อมกับคลายวงแขนจากภรณี
ชายคนหนึ่งหยุดยืน รีรออยู่ในที่พอเห็นตัวกันได้ถนัด บันลือถามไปโดยทันที “นพใช่ไหมนั้น ? มีธุระอะไรแก?”
“ถีก็บอกว่าคุณผู้หญิงสั่งไว้ ถ้าผมจะไปนอนให้มาพบก่อน”
“งั้นรึ ? พรุ่งนี้ก็ได้กระมังแกไปนอนเสียเถอะไป๊”
“เดี๋ยวก่อน นายนพ” ภรณีค้าน แต่ครั้นแล้ว “อื๊อ—เอาเถอะ พรุ่งนี้ถึงค่อยพูดกัน”
​นายนพกลับหลังเดินห่างไปโดยเร็ว ภรณีมองดูหน้าชายที่ยืนอยู่ข้างหล่อนอย่างงงงวย มือของหล่อนอยู่ในมือของเขา เขารู้สึกสัมผัสอันอ่อนละมุนจากมือของหล่อน ลมเย็นพัดมาเรื่อย ๆ ดวงจันทร์ลับล่ออยู่ตามยอดไม้ อากาศรื่นไปด้วยความหอมแห่งธรรมชาติ ใจของเขาคิดถึงคำพูดที่ตระเตรียมล่วงหน้าไว้เป็นหลายวัน ใจของ
หล่อนคิดถึงความตั้งใจที่จะไปจากเขา คิดเหมือนฝัน พยายามจะจำความรู้สึกโกรธ รู้สึกเกลียดที่หล่อนเชื่อว่าหล่อนรู้สึกต่อเขาอย่างรุนแรง พยายามเท่าใดก็จำได้แต่เพียงเลือน ๆ ความเกลียดที่มีอยู่บัดนี้หาใช่บันลือไม่ เกลียดหญิงที่เคยเป็นภรรยาของเขา เจ้าประคุณเอ๋ยภรณีไม่เคยมีความรู้สึกเกลียดมนุษย์คนใดแรงเท่ากับเกลียดมนุษย์คนนี้เลย! เกลียดจนกระทั่งจำรูปพรรณสันฐานของเขาได้โดยละเอียดทุก ๆ
ส่วนแห่งร่างกาย เกลียดจนกระทั่งจำกิริยาเคลื่อนไหวของเขาได้ทุก ๆ อิริยาบถ ฤทธิ์ร้อนของความเกลียดอ่อนลงบ้างด้วยอำนาจความเย็นแห่งธรรมชาติ—แต่ก่อนหล่อนคิดว่าหล่อนเกลียดส่องสีกับบันลือคู่กันไป หล่อนประมาณไม่ถูกว่าหล่อนเกลียดคนไหนมากกว่า บัดนี้เพื่อความยุติธรรม หล่อนพยายามจะแผ่​ความเกลียดที่มีต่อส่องสีให้คลุมถึงบันลือด้วย แต่ใจของหล่อนไม่มีความยุติธรรมสมกับที่หล่อนเจตนา
เสียงพูดแว่ว ๆ ตามลมมาจากที่ใดที่หนึ่ง “ค่ำนี่เดือนฉาย เดินเล่นเดือนมันเยียบจรี๊ง !”
“ฮะแอ้ม เดือนก็ฉายหญิงก็เฉิดมันทั้งเยียบทั้งซึม”
“แฮะ พ่อกุ่ม อย่าเอ็ดนัก นั่นพ่อคุณนี่ฉันว่า”
“ก็ใครว่าอื่นที่ไหน ?”
“งั้นอย่าเอ็ดไป ฉันว่าพ่อคุณไม่อยู่มันทั้งเยียบทั้งเชียบ กลับมาเสียทีก็ค่อยซึม”
“พ่อคุณอยู่คนเดียว มันหายเงียบหายเงียบ แต่แม่คุณอยู่มันไม่มีอึ้ด พ่อคุณน่ะทุกข์ไข้ก็บอกแต่กินยา ๆ แม่คุณน่ะแกพูดเยี่ยงเอาน้ำร่ำมาไล้”
บันลือยกแขนโอบรอบเอวภรณี “พ่อคุณน่ะเป็นแต่เพียงเพื่อนแก้เงียบ แม่คุณเป็นเจ้าของความเย็นใจ นี่เธอจะไม่เหลืออะไรไว้ให้ฉันมั่งเทียวรึ ภร แม้แต่ความนิยมของคนงาน?”
หล่อนไม่สู้จะเข้าใจ แต่ก็ไม่คิดที่จะถาม
“เธอใช้น้ำอบอะไรจ๊ะ ภร?”
“เมื่อไหร่คะ ?”
​“เมื่อไหร่ก็ตามเถอะ เข้าใกล้เธอรู้สึกว่ามีกลิ่นหอมติดจมูก จนกระทั่งนั่งคิดถึงเธออยู่คนเดียวก็หอมได้ เดี๋ยวนี้ก็หอม”
หล่อนหัวเราะเสียงใส “จมูกคุณฝันไปแล้วค่ะ ดิฉันมีน้ำอบชื่อไวท์ แมยิก๒ คุณจิตราให้เมื่อก่อนแต่งงาน แต่วันนี้ทั้งวันไม่ได้ใส่น้ำอบอะไรเลย”
“อืม์! เนื้อทิพย์ !” เขาดึงหล่อนเข้ามาใกล้ กอดไว้โดยละม่อม “แม่เนื้อหอมเมื่อไหร่จะตอบจ๊ะ เธอรักฉันหรือไม่รัก?”
หล่อนพยายามฝืนตัว อยากจะถามเขาว่า “รักภรคนเดียวหรือ ?” แต่พูดไม่ออก อำนาจของเขามีมาก กำลังใจของหล่อนไม่พอที่จะสู้เขา
“ขอตรึกตรองก่อนค่ะ พรุ่งนี้ถึงจะตอบ”
“ทำไมถึงต้องผลัดไปช้านักล่ะ เธอจะแกล้งทรมานฉันรึ?”
“เปล่า ไม่ใช่แกล้ง แต่ของพรรค์นี้จะรู้กันได้หรือใน ๒–๓ นาที”
“ตามใจเธอ” เขาตอบในเสียงหัวเราะ ประคองหน้าหล่อนขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง เพ่งตาลงในดวงตาของหล่อน ​“อย่างนี้ดาวหรือจะมาสู้ ! ภรจ๋า ฉันจะบอกให้ เธอรักฉันในวันเดียวเวลาเดียว ขณะจิตเดียวกับที่ฉันรักเธอ แปลว่าในอึดใจแรกที่ได้เห็นกัน”
หล่อนอยากจะว่าเขาให้เจ็บแสบ แต่ไม่ทันได้ว่า ริมฝีปากของเขาแนบสนิทอยู่กับริมฝีปากของหล่อน ภรณีปล่อยความรู้สึกไปตามความรักอันบริสุทธิ์ที่หล่อนได้ประสบเป็นครั้งแรก
๑. รักเลิศประเสริฐยิ่งแล้ว ขอพี่อย่าคลาดแคล้วชั่วฟ้าดินสลายเถิดรา ↩
๒. White Magic ↩
โฆษณา