28 พ.ย. 2024 เวลา 05:39 • นิยาย เรื่องสั้น

( ตอน ๒ ) ๒

​สุนทรีทิ้งตัวลงบนทราย ด้วยความอ่อนใจและโล่งใจระคนกัน
ความเหนื่อยใจเกิดจากที่หล่อนต้องนั่งทนฟังมารดาเลี้ยงของหล่อนปรารภเรื่องที่หล่อนเกลียดที่จะฟังเป็นอย่างยิ่ง เป็นเวลาหลาย ๑๐ นาที ความโล่งใจเกิดจากที่ในบัดนี้ หล่อนปลีกตัวมานั่งอยู่ตามลำพังแล้ว
ก็เรื่องที่หล่อนเกลียดที่จะฟังอย่างที่สุดนั้น จะมีเรื่องอะไรนอกจากเรื่องประจิตร
ชายผู้นี้เพราะเหตุที่เขาเป็นชายที่ ‘เด่น’ อยู่ในสมัยของเขา เมื่อมีพฤติการณ์ใหม่เกิดขึ้นแก่ตัว ก็ย่อมจะกลายเป็น ‘เหยื่อ’ และ ‘อาหาร’ แห่งลิ้นของคนในสมัยไปด้วยเพราะเหตุนี้เขาจึงเป็น ‘เชื้อ’ แห่งความรำคาญใจของสุนทรีเกือบไม่เว้นแต่ละวัน
​สุนทรีขึ้นจากการอาบน้ำทะเล และแต่งตัวเสร็จแล้วเลือกได้ ที่ตรงมุมเฉลียงเล็กด้านหน้าแห่งเรือน อันเป็นที่ๆ อาจจะมองเห็นทะเลได้ถนัด ตั้งใจจะถือเอาเป็นที่นั่งอ่านหนังสือให้สบาย เผอิญเด็กหญิงน้อยผู้ซึ่งเล่นซ่อนหาอยู่กับพี่ชายได้วิ่งมาพบหล่อนเข้า เกิดมีความประสงค์จะได้ร่างกายของพี่สาวใหญ่เป็นที่กำบังก็แทรกเข้าไปนั่ง
หมอบอยู่ข้างๆ สุนทรี แล้วเด็กชายเล็กก็วิ่งตามมาพบน้องสาว เกิดการจับกุมปล้ำปลุกยั่วเย้ากัน มิช้าเสียงฝีเท้าของเด็กเสียงร่างกายของเด็กกระทบกระดาน รวมทั้งเสียงหัวเราะอย่างสนุกที่สุดของเด็กก็ดังลั่นไปทั่วบริเวณเป็นเหตุให้มารดาของเด็กเดินมาดูอีกผู้หนึ่ง
สุนทรีนึกขอบใจมารดาเลี้ยงเป็นอันมาก เมื่อท่านผู้นี้กล่าวแก่ลูกทั้งสองเป็นเชิงตำหนิว่ามากวนพี่ แต่ความขอบใจนั้นได้สิ้นไปทันที เมื่อสุนทรีเห็นนางวนศาสตร์ฯ ลดตัวลงนั่งชันเข่าพิงลูกกรงห่างจากตัวหล่อนไม่ถึงสองศอก
เพื่อรักษากิริยา สุนทรีจำใจปิดหนังสือที่กำลังอ่านใช้นิ้วมือคั่นไว้ แล้วก็มองไปที่น้องทั้งสอง เด็กชายเล็กผู้ซึ่งลงนั่งเรียบร้อยตามคำของมารดาได้อึดใจหนึ่งนั้นเอ่ยถามสุนทรีขึ้นว่า
“คุณจิตรเมื่อไหร่มาครับ?”
“ไม่ทราบจ้ะ” ผู้เป็นพี่ตอบ
“เผื่อคุณจิตรมาพี่จะไปเรือใบกะคุณจิตร” เด็กชายกล่าวแก่น้องเล็กของเขา
แล้วเขาอธิบายต่อไปถึงลักษณะของเรือใบ ในเวลาที่โต้คลื่นอยู่กลางทะเล รวมทั้งลักษณะของปลาที่เรือใบจะพาเขาไปให้ได้เห็น ​ทั้งนี้โดยอาศัยคำสนทนาของผู้ใหญ่ที่เขาเคยได้ยินได้ฟังไว้ แล้วปะติดปะต่อตบแต่งเพิ่มเติมด้วยมโนภาพของเขาให้ครึกครื้นขึ้นเหมาะแก่จิตใจของเขา
ในระหว่างนั้นมารดาของเด็กก็กล่าวแก่สุนทรีว่า
“จะมาแน่หรือ?”
“ว่าจะมานี่คะ แต่จะแน่หรือไม่แน่ก็ยังทราบไม่ได้”
“เขาจะเอาเมียเขามาด้วยไหม?”
“ไม่ทราบ” น้ำเสียงสุนทรีเริ่มชาเย็น เพราะความหงุดหงิดเริ่มเกิดขึ้นในใจหล่อนแล้ว
แต่ในทันใดนั้นเอง หล่อนรู้สึกตัวว่ากำลังจะปล่อยตัวให้เป็นไปตามอารมณ์ ก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงอันเรียบขึ้นกว่าเก่าจนเป็นปกติ
“อาจจะเอามา ควรจะเอามา เพราะยายนั่นก็คงยังไม่เคยเห็นว่าหัวหินรูปร่างเป็นอย่างไร”
ราวกับเครื่องรับวิทยุอันบุคคลตั้งเสียงให้ดังขึ้น นางวนศาสตร์โกศลได้ส่งเสียงดังและแหลมขึ้นว่า
“แล้วจะมาอยู่กันอีท่าไหน อยู่ห้องเดียวกับตัวเขายังงั้นหรือ? แล้วเราจะทนได้ยังไง?”
สุนทรีไม่รู้ว่า ‘เรา’ ที่มารดาเลี้ยงกล่าวนี้หมายถึงใครบ้าง หล่อนรู้แต่ว่าตัวหล่อนย่อมจะ ‘ทน’ ได้โดยยาก ถึงกระนั้นหล่อนก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงมีคำว่า ‘เรา’ อยู่ในที่นี้
นางวนศาสตร์ฯ เป็นผู้มีนิสัยใจเร็ว เมื่อลูกเลี้ยงไม่แสดงความเห็นตอบคำพูดของตนก็รีบกล่าวต่อไป
​“ฉันเห็นว่าแม่สุนทรีน่ะใจเป็นพระเสียเหลือเกินใครๆ เขาก็ว่ากันทั้งนั้น ช่างทนได้ ทนได้ เป็นฉันละไม่ยอม หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอม”
สุนทรียังคงนิ่งคิดอยู่ในใจว่า คำปรารภที่หล่อนได้ฟังอยู่บัดนี้เป็นคำหนักที่สุด ชวนให้เกิดโทสะที่สุดยิ่งกว่าคำปรารภของคนอื่นๆ ทั้งหมดที่หล่อนได้เคยฟังมาแล้ว แล้วยิ่งคิดต่อไปว่า มารดาเลี้ยงของตนมิใช่เป็นบุคคลที่ตนจะทำความเข้าใจด้วยได้ง่ายเหมือนดังบุคคลอื่นๆ ซึ่งเป็นคนรุ่นเดียวกับตน ก็ยิ่งเกิดความอึดอัดเป็นทวีคูณ
“คุณพระไม่เคยพูดเรื่องอะไรของใครเลย พอถึงเรื่องนี้เข้ายังออกปากว่า ‘เจ้าจิตรเล่นเท่าไรกับสุนทรี’”
ความพิศวงและสนใจอย่างแรงกล้าเกิดขึ้นแก่หญิงสาว หล่อนจึงถาม
“ท่านพูดเมื่อไรคะ?”
“นานแล้ว พอรู้ว่าพ่อจิตรมีเมียก็พูดทีเดียว มันน่าแค้นจริงๆ นี่ ใครจะนึกว่าเขาจะทำกับเราถึงเพียงนี้ ฉันน่ะโทษว่าแม่สุนทรีเองน่ะแหละ มัวแต่ทำเป็นใจพระปล่อยให้มันลอยนวลอยู่ในบ้าน ตั้งแต่แรกพอจับได้ก็เฉดหัวมันออกไปเสียก็แล้วกัน ตาประจิตรจะกล้าทำไมเรา นี่อะไรนอนหลับทับสิทธิ์ของตัวเอง แล้วเดี๋ยวนี้เรื่องมันเลยเข้ามาถึงป่านนี้ เราจะแก้ไขอย่างไรกันล่ะ?”
“คุณพระท่านคิดอย่างนี้เหมือนกันหรือคะ?” สุนทรีถามอีก
“โอ๊ย ท่านคิดยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำ ไม่รู้หรอกหรือพ่อของเราน่ะ​พูดน้อยแต่คิดมาก แต่ก่อนนี้เสียอีก เวลาฉันถามว่าแม่สุนทรีกับพ่อจิตรทำไมถึงยังไม่แต่งงานกัน ท่านก็เป็นแต่ฮึ่ๆ ฮ่ะๆ ลงท้ายก็ว่า ก็เขายังไม่อยากแต่งก็ช่างเขาปะไร แต่เดี๋ยวนี้น่ะอกไหม้ไส้ขมแล้ว พิโธ่ก็ท่านรักแม่สุนทรีจะตาย ลูกกี่คนกี่คนรักเท่าแม่สุนทรีเมื่อไหร่สักคน เพียงแต่ไปไทรโยคก็บ่นทุกวัน ว่าเจ้าจิตรทำไมถึงปล่อยให้ไป แล้วอยู่ดีๆ ลูกของท่านจะต้องไปเป็น...คนทีหลังเขา แล้วอีคู่แข่งน่ะปลาร้ามาจากไหนก็ไม่รู้....”
ถ้าเป็นเวลาปกติสุนทรีจะนึกขันเป็นอันมาก ในข้อที่นางวนศาสตร์ฯ กล่าวอย่างแน่ใจว่าภรรยาเก็บของประจิตรนั้นเป็นหญิง ‘ปลาร้า’ ทั้งที่ท่านเองก็ยังมิได้เคยเห็นนางผู้นั้นแม้แต่สักครั้งเดียว แต่ในขณะนี้ คำพูดประโยคที่รองจากคำสุดท้ายบาดหูหล่อนเหลือที่จะทนทาน จึงตอบสวนออกไปว่า
“ไม่น่าเลยที่คุณพระจะคิดว่าลูกของท่านใจต่ำถึงเพียงนั้น”
แต่เมื่อพูดออกไปแล้ว สุนทรีก็เสียใจ เกิดความคิดขึ้นว่า ท่านบิดาของตนอาจจะได้อ่านเหตุการณ์ไปในทางที่ภรรยาของท่านได้กล่าวแล้วจริงๆ ก็เป็นได้ และถ้าหากท่านได้อ่านเช่นนั้นจริง หล่อนควรจะตำหนิท่านหรือ ในเมื่อหล่อนเองไม่เคยที่จะได้
เปิดเผยเรื่องที่เกี่ยวแก่จิตใจของหล่อนให้ปรากฏแก่ท่านสักครั้งไม่ว่าในแง่ใดทั้งสิ้น บุคคลเป็นส่วนมากย่อมถือเอาเหตุการณ์เก่าๆ ที่เขาเคยได้ประสบหรือได้ยินได้ฟังมาแล้วแต่หนหลัง มาเป็นเครื่องประกอบการวินิจฉัยเหตุการณ์ใหม่ที่เขาได้ยินได้ฟังในปัจจุบัน ทั้งนี้เป็นสิ่งธรรมดา ไม่น่าที่สุนทรีจะฉงนสนเท่ห์ใจอย่างใดเลย
​ฝ่ายนางวนศาสตร์โกศล รู้สึกตัวว่ามืดแปดด้านในคำพูดของสุนทรี ก็กล่าวออกมาตรงๆ ว่า
“ว่ากระไร ฉันไม่เข้าใจ?”
“ว่าคุณพ่อไม่น่าจะคิดไปว่า ดิฉันจะแต่งงานกับคุณประจิตร ในเมื่อเขามีเมียแล้ว เพราะแต่ก่อน เมื่อเขายังไม่มีเราก็ยังไม่เคยพูดว่าจะแต่งงานกันสักทีเดียว ใครๆ พากันเข้าใจเอาเองทั้งนั้น”
นางวนศาสตร์ฯ นึกเชื่อเอาอย่างมั่นเหมาะว่า สุนทรีพูดเช่นนั้นเพื่อแก้หน้า แต่ความรู้คิดก็เกิดขึ้นเป็นอารมณ์ จึงถาม
“ไม่แต่งแล้วจะทำยังไง มิอยู่ตัวเปล่าจนแก่หรือ คนที่เขามาขอกี่รายๆ คุณพระก็บอกปัดเขาไปเสียจนหมด ทีนี้จะมีใครเขามาขออีกล่ะ”
สุนทรียังมิได้ไหวไปถึงความในใจของแม่เลี้ยง แต่มีความตระหนี่ที่จะแสดงความคิดเห็นของตนให้แก่ผู้ที่ตนแน่ใจว่าจะ ‘เข้าใจ’ ตนมิได้เลย จึงนิ่งเสียไม่ตอบว่ากระไรทั้งสิ้น
ความร้อนใจเริ่มเกิดขึ้นแก่ฝ่ายผู้เป็นมารดาเลี้ยงอย่างจริงจัง จึงถาม
“ก็ถ้าเผื่อพ่อจิตรหลุดมือเราไปแล้ว ทรัพย์สมบัติเป็นกองมิพลอยหลุดมือไปด้วยหรือ? น้ำใจจะปล่อยให้อีคนกากนั่นมันครอบครอง ตัวเองเลยเคว้งเปล่าพ่อแม่ก็นอนตาไม่หลับ แก่จนป่านนี้ลูกเต้าไม่เป็นฝั่งเป็นฝาสักคน ไอ้ลูกเล็กๆ ก็จะต้องเล่าต้องเรียน เปลืองเงินเปลืองทองขึ้นทุกวัน”
สุนทรีตอบด้วยน้ำเสียงหัวเราะอันมีกังวาน ตรงกันข้ามกับ​ความรู้สึกที่พลุ่งขึ้นภายใน
“อย่าวิตกไปเลยค่ะ ดิฉันไม่กล้ามารบกวนคุณพ่อหรอก”
สุนทรีมองดูท้องฟ้าอันมืดคลุ้มอยู่เหนือพื้นน้ำ แล้วถอนใจอย่างยืดยาว
รู้สึกตัวว่าไม่ได้ร้องไห้มานานนักหนาแล้ว บัดนี้ให้อยากร้องเป็นก๋าลัง
แต่สุนทรีก็กลืนความตื้นตันลงไว้ในอก บอกตัวเองว่า ถ้าร้องไห้ก็หมายถึงว่าตัวพ่ายแพ้แก่ความเห็นของคนเป็นอันมากที่พากันเห็นว่าตัวถูกหญิงหนึ่งชิงเอาคู่รักไปเสีย
ด้วยน้ำใสใจจริงของสุนทรี หล่อนเชื่อว่าหล่อนมิได้คิดอยากปริเวทนาเพราะประจิตรเป็นเหตุ ความเศร้าของหล่อนในขณะนี้ เกิดจากเหตุที่หล่อนมีความคิดขึ้นว่า หล่อนเป็นผู้มีแต่ตัวคนเดียวในโลก ความคิดข้อนี้เกิดขึ้นในใจสุนทรีเป็นครั้งแรก
หลายครั้งมาแล้ว สุนทรีได้ตอบแก่บรรดาเพื่อนหญิงที่ได้ปรารภแก่หล่อนถึงการที่ประจิตรมีภรรยาว่า หล่อนกับประจิตรมิได้เคยรักกันเป็นอย่างอื่น นอกไปจากฐานะที่เคยอยู่มาด้วยกันแต่น้อยจนเติบใหญ่ ทั้งนี้หล่อนกล่าวด้วยความบริสุทธิ์ใจแท้ๆ และก็เป็นความจริงโดยแท้ ในข้อที่สุนทรียังมิเคยได้ตัดสินใจลงเป็นแน่แม้แต่สักครั้งเดียว ว่าหล่อนจะแต่งงานกับประจิตร
แต่ก็เป็นความจริงอีกข้อที่ว่า แต่ก่อนแต่ไรสุนทรีไม่เคยรำพึงถึงการมีคู่ หล่อนทอดตัวของหล่อนไว้ให้แก่อำนาจแห่ง​บุพพกรรมสุดแต่วาสนาจะพาไป ครั้นเมื่อประจิตรมีภรรยา สุนทรีได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าหล่อนจะแต่งงานในทันทีที่ได้โอกาส กล่าวคือเมื่อได้พบชายที่รักหล่อน ที่หล่อนเชื่อถือเขาและเห็นว่าพอที่จะทำใจให้รักเขาได้ ทั้งนี้เพื่อแยกตัวหล่อนออกเสียจากประจิตรเพื่อมิให้ประจิตรต้องตะขิดตะขวง
ใจ ในเมื่อเขาจะพาหญิงอื่นมาครองบ้านที่หล่อนเป็นผู้ครองอยู่ก่อน แต่ก็เป็นเพราะความที่ยังห่วงประจิตรด้วยเหตุที่เขาได้ภรรยาเป็นหญิงที่ไม่เคยมีการศึกษาเสียเลย ไม่มีช่องทางที่จะเป็นเพื่อนร่วมใจของประจิตร ในเมื่อเขาผู้นี้ย่างเข้าสู่วัยที่เขาต้องการภรรยาให้เป็นเพื่อน สุนทรีได้ตั้งความปรารถนาอย่าเพิ่งให้ตนได้พบกับชายที่เหมาะแก่ใจของหล่อนในเร็ววันนัก
แต่ในบัดนี้ เมื่อคิดถึงว่ามีคนเขาปรารถนาจะให้ตนแต่งงาน เพราะเหตุที่ตนจะได้พ้น ‘อก’ ท่านผู้บังเกิดเกล้าของตนเอง ! ผู้ซึ่งมิได้เคยมีความจำเป็นที่จะอุปถัมภ์ตนโดยตรงด้วยประการหนึ่งประการใดเลย สุนทรีก็เกิดความขัดแค้นเป็นอย่างยิ่ง
สุนทรีนึกขึ้นได้ว่า ป่านนี้เห็นจะใกล้เวลาที่สุทัศน์กับหลวงชาญฯ จะมารับประทานอาหารที่ที่พักของหล่อนตามเคยแล้ว ไม่มีความปรารถนาจะให้ความขุ่นหมองในใจปรากฏแก่ตาแขกหนุ่มทั้งสองนั้น ทั้งเกรงว่ารอยแห่งความขุ่นหมองจะทำให้คุณภาพแห่งการรับรองอาคันตุกะทั้งสองนั้นเสื่อมทรามลงไปด้วย สุนทรีก็เปลี่ยนอิริยาบถและพยายามเปลี่ยนแนวคิด หล่อนลุกขึ้นเดินห่างจากที่เก่าออกไปทางริมหาด ทำตัวให้ได้รับลมเย็น ทำสมองให้แจ่มใสด้วย​เหตุอันควรต่างๆ
หล่อนเดินกลับไปกลับมา ในระยะไม่เกินหนึ่งเส้นเป็นเวลานาน ใจคิดว่า เมื่อหลวงชาญฯ กับสุทัศน์มาถึงหล่อนก็จะได้เข้าไปยังที่พักพร้อมกับเขา แต่เดินอยู่เช่นนั้นจนรู้สึกเมื่อยก็ยังไม่เห็นมา จึงเปลี่ยนความคิดเดินกลับเข้าบ้านแต่ผู้เดียว
สุนทรีประหลาดใจมาก เมื่อหล่อนมองเห็นไฟฟ้าที่เฉลียงใหญ่ด้านหน้าเปิดสว่างเต็มที่และเห็นคนนั่งอยู่กลุ่มใหญ่ มองซ้ำไปอีกก็เห็นสุทัศน์กับหลวงชาญฯ นั่งอยู่ที่นั่นด้วยแล้ว
หล่อนขึ้นบนเรือนกล่าวคำปราศรัยกับชายหนุ่มทั้งสอง แล้วพูดเป็นเชิงพ้อ
“ดิฉันเดินคอยอยู่ที่หาดทรายจนเมื่อยขา เลยต้องขึ้นมาเสียก่อน ที่แท้มานั่งอยู่ที่นี่แล้ว”
“วันนี้มาทางถนนครับ” หลวงชาญฯ ตอบ “คุณพระท่านไปที่บ้าน ท่านกลับรถสามล้อ เราก็เลยมาพร้อมกับท่าน”
“อ้อ คุณพ่อหายไปตั้งแต่เย็นน่ะ ไปหาท่านสองเกลอนี่เองแหละ”
“ไปที่อื่นด้วย” พระวนศาสตร์ฯ ตอบ
“คุณไปเดินเล่นถึงไหน?” หลวงชาญฯ ถาม
“หน้าบ้านนี่เองค่ะ”
“ไม่ได้เดินเล่นหรอก” นางวนศาสตร์ฯ แย้ง “นอนเล่น ฉันลงไปที่บ่อน้ำเห็นกำลังนอนเอกเขนกสบายพิลึกไม่ยักคันแคนนะ นอนลงไปกับทราย ฉันละไม่ได้ขืนไปนอนยังงั้นละก็ ประเดี๋ยวเดียว​แหละ เป็นผื่นหมดทั้งตัว น้ำทะเลนี่เองแหละฉันอาบแล้วขึ้นมายังต้องฟอกสบู่เอาน้ำจืดล้าง ไม่ยังงั้นแหละมันให้ทั้งคันทั้งเหนียว ทำไมถึงเป็นยังงั้นนะ คุณหมอ? คนอื่นทำไมเขาถึงไม่เป็น อย่างเด็กๆ แกวิ่งวันยังค่ำ เหงื่อท่วมตัว แล้วแกก็ไปเล่นทราย ไอ้ทรายก็ติดตัวเป็นปื้นๆ มาเชียว แกไม่เห็นบ่นว่าคันแคนสักที”
ผู้พูดนิ่งไปเป็นครู่ ยังไม่มีผู้ใดตอบ เพราะเหตุต่างคนต่างยังไม่รู้หน้าที่ ต่อภายหลังสุทัศน์จึงพูดว่า
“เด็กกับผู้ใหญ่ไม่เหมือนกัน”
“เด็กมันไม่มีอุปาทาน” พระวนศาสตร์ฯ เสริม
“ไม่ใช่อุปาทานจริงจริ๊งค่ะ” ภรรยาท่านตอบ “มันคันขึ้นมาจนเป็นผื่น อุปาทานอะไร ! แดงจ้ำๆ ที่นั่นที่นี่ตามโคนแขนโคนขาละมากที่สุด บางทีไม่ถูกทรายก็เป็นเหมือนกัน ฉันต้องเป็นทุกปีไอ้โรคคันนี้ หนาวมาก็คันร้อนมาก็คัน แหมบางทีกันตลอดถึงหัวถึงหู ใครเขามาบอกว่ายาอะไรแก้คันดีเป็นต้องรีบไปซื้อมาไว้ แล้วมันก็ยังคันอยู่นั่นเอง ทำไมถึงเป็นยังงั้นคะ คุณหมอ?”
สุนทรีกลั้นยิ้ม หล่อนจำได้ว่า ตั้งแต่สุทัศน์ได้มารับประทานอาหารค่ำ ณ ที่นี้ รวมสี่คืน เขาได้ทำนายโรคของนางวนศาสตร์โกศลไปแล้วสัก ๑๐ โรคเห็นจะได้ คืนนี้เป็นคืนที่ห้าเขาก็กำลังจะต้องทำนายอีก นึกขึ้นและเบื่อแทนเขา ทั้งตัวเองก็เบื่อด้วย สุนทรีจึงลุกจากที่นั่งเดินเข้าไปทางในเรือน
หล่อนแวะตรวจที่รับประทานอาหาร และถามรายชื่ออาหารจากผู้มีหน้าที่ตั้งโต๊ะ จำได้ว่าสุทัศน์เป็นชายที่ ‘กินง่าย’ แต่ ​‘ไม่กินเก่ง’ คือรับประทานได้แต่อาหารรสมันๆ จืดๆ และเป็นอาหารที่ประกอบง่ายๆ เช่น ไข่เจียว แกงเลียง ตรงกันข้ามกับหลวงชาญฯ ผู้ซึ่งชอบรับประทานอาหารรสแหลมจัดราวกับผู้หญิง สุนทรีจึงสั่งให้แม่ครัวทอดกุ้งแห้งเพิ่มกับข้าวที่มีอยู่แล้วอีกจานหนึ่ง
แล้วเลยเข้าในห้องนอน แต่งผิวหน้าให้หายหมองและแต่งผมให้เรียบร้อย แล้วเดินวนจับนั่นแตะนี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นจะทำ ทั้งนี้เพื่อฆ่าเวลา เป็นครู่ใหญ่จึงกลับออกมานอกห้องอีก
ถามคนใช้ได้ความว่าอาหารพร้อมแล้ว เว้นแต่กุ้งแห้งทอดซึ่งกำลังอยู่ในกระทะ สุนทรีจึงเดินต่อมาที่เฉลียง
“อาหารพร้อมแล้วค่ะ” หล่อนฉวยโอกาสเสนอในทันทีที่กาเลี้ยงของหล่อนหยุดพูดเพื่อผ่อนลมหายใจ นางวนศาสตร์ฯ ก็รับคำเสนอของหล่อนในทันที
“เอ้าไป ฉันก็หิวเหมือนกัน ตี ๗ นานแล้วนี่”
น้องชายหญิงของสุนทรีร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วย ๓ คน คนที่สี่คือเด็กหญิงน้อยนั้นรับประทานก่อนแล้ว และสุนทรีได้เลือกนั่งตรงปลายโต๊ะที่สุดเพื่อจะคอยควบคุมเด็ก มิให้ทำกิริยาเป็นที่น่ารำคาญแก่แขก เพราะโต๊ะนั้นพอเหมาะสำหรับผู้รับประทาน ๖ คน พระวนศาสตร์ฯ นั่งตรงหัวโต๊ะด้านหนึ่ง หลวงชาญฯ กับสุทัศน์นั่งเรียงกันถัดมาจากท่าน จำนงกับถวิลนั่งคู่กันตรงปลายโต๊ะ ต่อจากนั้น เด็กชายเล็กนั่งแทรกอยู่ตรงเบื้องซ้ายสุนทรี ข้างตัวสุนทรีไปอีกเป็นที่นั่งนางวนศาสตร์โกศล
แม่บ้านผูกขาดการพูดเสียคนเดียวอย่างเช่นเคย สุนทรีมี​ภาระคือต้องคอยแบ่งนั่น หยิบนี้ให้น้อง ก็ได้ยินคำพูดของแม่เลี้ยงชัดบ้างไม่ชัดบ้าง เป็นการแบ่งเบาความรำคาญได้มาก
ถึงกระนั้น บางเวลา เมื่อมือทำหน้าที่อยู่กับอาหาร ใจสุนทรีอดคิดพิศวงมิได้ ว่าท่านบิดาของหล่อนทนอยู่กับภรรยาของท่านมาได้อย่างไรเป็นเวลาถึงเกือบ ๒๐ ปี
บางคราวหล่อนมองดูหลวงชาญฯ แล้วนึกชมเขาในใจ ว่าเขาช่างวางสีหน้าเป็นผู้ฟังอย่างเพลิดเพลินดีนัก สุทัศน์เสียอีกยังมีอาการใจลอยบ่อยๆ บางคราวเขาเขี่ยข้าวไปมาอยู่ในจาน เมื่อนางวนศาสตร์ฯ จะต้องการคำตอบจากปากเขาก็ต้องเรียกชื่อเขาถึงสองครั้งสามครั้ง
ทันใดนั้นมีปัญหาข้อหนึ่งเกิดขึ้นในใจสุนทรี ทำให้หล่อนเสียวปลาบในใจ ถ้าด้วยความจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งหล่อนจะต้องกลับเข้ามาอยู่ในความปกครองของท่านบิดา หมายความว่าหล่อนจะต้องอยู่ร่วมกับแม่เลี้ยงด้วย การหัด ‘ทน’ แม่เลี้ยงจะเป็นงานหนักสำหรับหล่อนสักเพียงใด....
ครั้นแล้วสุนทรีก็ยิ้มอย่างมั่นใจ ถ้าหล่อนยังไม่เป็นคนพิการหรือประสาทเสีย จนถึงกับทำงานมิได้ก็ยังไม่เป็นที่จะคำนึงถึง ‘การทน’ ข้อนี้ก่อน....
หนูน้อยวิ่งมาจากที่ใดที่หนึ่ง คว้ากอดแขนสุนทรีผู้ซึ่งกำลังจะตักแกงจากชามแบ่ง ชามล้ม แกงก็หกกระจายลงกลางโต๊ะ
นางวนศาสตร์ฯ ทิ้งช้อนซ่อมลงในจานดัง แกร๋ง! เงื้อมือขึ้นทำท่าจะ ‘ซัด’ ลงบนก้นเด็กให้ ‘เต็มเหนี่ยว’ แต่มือซัดลง​มาแล้วก็กระทบกับฝ่ามือที่สุนทรีแบออกรับดังฉาดใหญ่
นางวนศาสตร์ฯ หัวเราะก๊าก ! ร้องว่า
“พิโธ่ คุณนี่ ! ดูซีเอามือมารับแทนน้อง เจ็บมากไหมนั่นน่ะ?” แล้วคว้ามือสุนทรีไปดู แล้วถูและขยำที่ตรงรอยแดง
“พอรู้สึกคันๆ” สุนทรีกล่าว “แต่ถ้าลงไปที่ก้นยายน้อยละก็เป็นขึ้น ๕ นิ้วแน่ๆ”
“เปล่า” พระวนศาสตร์ฯ ค้านเรื่อยๆ “พอจะถึงก้นลูกก็ยั้ง สุนทรีไปรับเข้ากลางทางนี่ ถึงได้โดนแรง”
นางวนศาสตร์ฯ หัวเราะอีก แล้วกล่าวขึ้นแก่สุนทรีว่า
“ขอโทษนา ยั้งไม่ทันจริงๆ นี่ดีแต่โดนมือ ถ้าโดนแขนจะเจ็บยิ่งกว่านี้”
แล้วหันไปทางลูกสุดท้อง
“นี่ยายน้อยแกกวนคุณพี่วันยังค่ำ ทำแกงหกคุณพี่อดแกงแล้วรู้ไหม แล้วยังไงจนตี ๘ แล้วยังไม่รู้จักหลับจักนอน”
หันต่อไปยังบุคคลที่สาม
“นางอิ้ง มาเอายายน้อยไปที กวนคุณพี่จนกินอยู่ไม่สะดวก เป็นฉันคลั่งตาย”
หันต่อไปยังสุทัศน์
“นี่คุณหมอ ทำยังไงลูกฉัน ยายน้อยน่ะ พอถึงหัวหินไม่ยอมนอนกลางวัน ผู้ใหญ่หลับกันทั้งบ้าน เด็กไม่ยอมหลับ บังคับให้นอนก็นอนลืมตา และก็แกะโน่น เกานี่ หยุกๆ หยิกๆ จะทุบกันตาย ตาเล็กก็เหมือนกันวันยังค่ำๆ วิ่งอยู่กลางแดด เรียกให้​ขึ้นเรือน ร้อยคำพันคำไม่กระดิก พี่สาวสองคนนั่นยังดีมีหลับมั่ง อ้วนแล้ว นี่แม่หวั่นกับแม่นงน่ะ มาถึงนี่ยังไม่ทันได้กี่วันเลย อยู่กรุงเทพฯ หละหน้าลี้บลีบ ยิ่งกลับจากโรงเรียนละยิ่งร้ายเชียว ข้าวก็กินได้ กินได้ก็ยังผอม แกจะมีตัวตืดในท้องละกระมัง”
แล้วการสนทนาก็ดำเนินไปในลักษณะเช่นนี้ จนได้เวลาลุกขึ้นจากโต๊ะ
นางวนศาสตร์ฯ มีธุระเรื่องลูกอยู่ทางหลังเรือน สุนทรีมีความรู้สึกว่าทางที่ๆ หล่อนนั่งอยู่เงียบมาก แต่ดูเหมือนบุรุษสามนายที่นั่งอยู่กับหล่อนนั้นกำลังเป็นสุข ท่านบิดาของหล่อนกำลังสูบกล้อง ชายหนุ่มทั้งสองจุดบุหรี่สูบคนละมวนต่างคนต่างไม่ออกปากพูดว่ากระไร
ครั้นแล้วนางวนศาสตร์ฯ ก็กลับมาเข้าหมู่ด้วยและตั้งต้นเล่าว่าที่แหลมหินในเวลานี้กำลังยุงชุม ทั้งเป็นยุงที่เก่งและไว สามารถเล็ดลอดเข้าในมุ้งได้เสมอ ถึงแม้ว่าผู้กางมุ้งจะระวังอย่างดีที่สุดเพียงใดก็ตาม
“ไอ้ยุงพวกนี้มีเชื้อมาเลเรียไหม?” นางวนศาสตร์ฯ ถามสุทัศน์
ในระหว่างที่นายแพทย์กล่าวตอบสุนทรีคิดคอยว่า เมื่อไรท่านบิดาจะเชิญ หรือไล่ หรือแนะนำ หรือช่วย หรืออนุญาตให้หล่อนและแขกหนุ่มทั้งสองลงไปเดินเล่นที่หาดทราย เหมือนดังที่ท่านเคยทำทุกคืน พอสุทัศน์พูดขาดคำ คุณพระก็กล่าวว่า
“ไม่ไปเดินเล่นกันหรือ?”
​สุนทรีเกือบจะหัวเราะออกมาดังๆ หล่อนลุกขึ้นยืน และแกล้งกล่าวแก่ชายหนุ่มทั้งสองว่า
“ไปเถอะค่ะ คุณพ่อท่านหนวกหูพวกเรา”
หลวงชาญฯ วางหน้าเป็นปกติ สุทัศน์มองดูนางวนศาสตร์ฯ อย่างเกรงใจ แต่เมื่อสุนทรีพยักหน้าชวนซ้ำเขาก็ลุกขึ้นจากที่
ในระหว่างที่ลงบันไดไปด้วยกัน ทั้งสามได้ยินเสียงนางวนศาสตร์ฯ หาวและปรารภว่า
“แหม วันนี้ยังไม่ทันตี ๙ เลย ง่วงนอนแล้ว....เอาชุดกันยุงไหมคุณคะ?”
โฆษณา