3 ธ.ค. 2024 เวลา 04:15 • ประวัติศาสตร์

5

ครั้นแล้วกุดาประวีระและกุดาปะรันจาก็เหลือบเห็นไพร่พลมันตาหวันมามากมายไม่มีประมาณ จึงกุดาปะรันจา โกรธยิ่งนักจนสีหน้าแดง
กุดาประวีระก็ตอบด้วยความโกรธว่า
“เฮ้ย รี้พลมันตาหวัน เจ้านายของมึงอยู่ไหน กูนี้และคือคู่ต่อสู้ของมึงทั้งหมดด้วยกัน มาสู้รบกับกูก่อน ต่อเมื่อกูแพ้ เจ้านายของกูจึงจะออกมารบกับพวกมึง”
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เกรี้ยวกราดโกรธกริ้ว เดิรเข้าผจญกัน เสียงตวาดตะโกนข่มขู่ซึ่งกันและกันสนั่นหวั่นไหว ระคนกันไปกับเสียงฆ้องตับ ฆ้องหมุ่ย ฆ้องโข่ง และระนาดทอง ซึ่งตีประโคมอึกทึกกึกก้องไม่หยุดหย่อน แล้วก็ต่อสู้กันด้วยแทงพุ่ง แทงทิ่ม และตีกันแต่ในการสู้รบนั้น กุดาประวีระและกุดาปะรันจาสองคนนั้น มีท่วงทีท่าทางเป็นกิริยาสตรี คือว่ามือไม่ปล่อยจากยึดหน้าอกเสื้อเสียเลย ดูประหนึ่งเกรงว่าเสื้อจะเปิด
แล้วคนจะเห็นว่าเป็นหญิง ถ้าเห็นดังนั้น แน่เทียว ความลับก็จะเปิดเผยขึ้น แล้วก็จะต้องได้อาย จึงพยายามจนสุดสามารถที่จะปิดไว้ซึ่งระหัส ความลับสองผลณอุระประเทศ เพื่อมิให้ใครเห็นแจ้งในขณะนั้น กุดาประวีระเข้ากระทบกันกับดะหมัง ฝ่ายกุดาปะรันจากระทบกับตำมะหงง แล้วก็พุ่งหอกพุ่งดาบทิ่มแทงซึ่งกันและกัน เมื่อดะหมังมันตาหวันชักกริสจากฝักเพื่อจะแทงอก กุดาประวีระก็รับไว้ด้วยปลายกริส แล้วก็แทงตอบไป แต่ผิด ฝ่ายกุดาปะรันจาก็เช่นกัน เมื่อตำมะหงงเอาไม้ตีที่หน้าอก
ก็รับไว้แล้วโดดถอยไปข้างหลัง ถ้าตีข้างขวาก็โดดไปเบื้องซ้าย เมื่อจะจับและตีทางเบื้องซ้ายก็โดดหลบไปข้างขวา ทหารเอกทั้งสองสู้รบอยู่อย่างนี้ด้วยอาการอันฉับไวและน่าสพึงกลัวเสียงสนั่นพรรฤกสุดประมาณ รี้พลมันตาหวันก็พินาศ๑๔๓ไปมากหลาย เพราะถูกกุดาปะรันจาฟันและเพราะแผลถูกปลายกริสปลายมีดดาบเครื่องรบนั้น ที่แขนขาดนิ้วด้วนก็มาก บ้างก็ขาหักเข่าเคลื่อนเดิรไม่ได้ เพราะถูกตีถูกตัดจากพวกของตนเอง และที่พินาศไปด้วยเหตุประการอื่นๆ ก็มาก
กุดาปะรันจา และกุดาประวีระนั้นก็สู้รับแทงกันดะไปกับดะหมังและตำมะหงง ถ้อยทีโดดหนีไล่ตีฟัน ไม่นานดะหมังนั้นก็ทนสู้กุดาประวีระไม่ไหวเช่นเดียวกัน ตำมะหงงก็ทนสู้กุดาประรันจาอยู่ไม่ได้ แท้จริงทหารเอกทั้งสองนั้นก็เป็นเพียงสตรีเพศ แต่หากเก่งกาจกล้าหาญยิ่งไปเสียกว่าชาย ขณะนั้นกุดาประวีระแทงพุ่งถูกอกดะหมังโลหิตตกกระจายราวกับรินเท ฝ่ายตำมะหงงรบกับกุดาปะรันจา เวลานั้นกระโดดพลาดจึ่ง
ถูกคู่ต่อสู้เตะม้วนกลิ้งล้มลงยังพื้นพสุธา กุดาปะรันจาก็รุกเข้าแทงถูกท้อง ตำมะหงงปัดป้องไม่ทันก็ถูกแทงที่ท้องตาย โลหิตไหลกระจัดกระจายไส้ทะลักออกนอกท้อง จึงดะหมังและตำมะหงงมันตาหวันม้วยมรณด้วยถูกทหารเอกทั้งสองนั้นฆ่า ครั้นรี้พลมันตาหวันเห็นดะหมังและตำมะหงงถูกทหารเอกทั้งสองนั้นฆ่าเสียชีพไปแล้วดังนั้น ก็ออกวิ่งหนีตลีตลานระส่ำระสายไปทางโน้นทางนี้ การสู้รบนั้นก็เป็นอันยุติลงเพียงนั้น
กุดาประวีระกับกุดาปะรันจาก็ปรีเปรมเกษมสันต์และทันใดนั้นก็ไล่ต้อนพลมันตาหวันไป ที่จับได้มัดไว้ก็มี บ้างก็วิ่งหนีเข้าป่าไป บ้างก็ยังซื่อสัตย์ภักดีต่อดะหมังและตำมะหงง เต้นโลดไปมาอย่างคลั่งไคล้ไร้ประโยชน์เสียเปล่า แล้วในที่สุดก็ถูกจับหรือใครไม่ยอมให้จับก็ถูกฆ่าสิ้น
แต่ก็ยังมีที่มีความคิดยาวไกล ใคร่ไว้ชีวิตรเอาตัวรอด ก็วางอาวุธยอมแพ้เสียโดยดี ที่ยอมแพ้แล้วแต่ขอให้ฆ่าตนเสียก็มี เพื่อมิให้ต้องอยู่ทนบาดแผลและความเจ็บปวดที่ขาแขน หรือที่ศีรษะหรือที่อื่น ๆ ซึ่งได้รับในเวลาสู้รบกันนั้น ผู้รจนาเรื่องนี้กล่าวว่าในเวลานั้นบรรดารี้พลมันตาหวันตกเป็นเชลยและถูกจับมัดไว้สิ้น กุดาประวีระ กุดาปะรัน
จาก็ชื่นชมโสมนัศยิ่งนัก จึงพาตัวเชลยพลมันตาหวันทั้งนั้นเข้าไปเฝ้าถวายแด่กะละหนา ปันหยี สะมิหรัง อัสมารันตะกะนั้น บ้างก็มัดเท้ามัดมือ บ้างก็ปล่อยไว้มิได้มัด รี้พลมันตาหวันที่พาเข้าไปเฝ้ากะละหนา ปันหยี สะมิหรังนั้นเป็นจำนวนมากมายสุดประมาณ ครั้นไปถึงวัง ปันหยี สะมิหรังนั้นกำลังประทับอยู่เหนือสุวรรณสิงหา
ศน์๑๔๔งามราวกับอินทราธิราช๑๔๕ แต่พอพลมันตาหวันเห็นพระราชาซึ่งยังทรงเยาววัย งามปลั่งกระจ่างดังแสงตวันฉนั้น ก็น้อมศิโรตน์ถวายบังคมพร้อมทั่วหน้ากันถึงเจ็ดคาบ แทบธุลีบาทบงกชกะละหนา ปันหยี สะมิหรัง นั้น ปันหยี สะมิหรัง ก็สุขจิตต์โสมนัศยิ่งนัก พลันเสด็จลงจากสิงหาศน์ หัตถุ์กุมฝักกริสพยักพักตร์ยิ้มลไมในทีอย่างอ่อนหวาน แม้กระทั่งผู้ซึ่งเป็นบุรุษเพศได้ทอดทัศนาก็เว้นไม่ได้ที่จะกำหนัดกระศัลย์พรั่นใจ.
ปันหยี สะมิหรังตรัสแก่กุดาปะรันจาว่า “แนะ กุดาปะรันจา บัดนี้ท่านจงปล่อยรี้พลเหล่านี้ให้หลุดพ้นจากผูกมัดพันธนาการเถิด ด้วยเขาได้ยอมตนสวามิภักดิ์แก่เราแล้ว เราจะให้เป็นพลเมืองในปกครองของเรา แล้วเราให้เครื่องอุปโภคบริโภคให้พอเพียง”
พวกรี้พลมันตาหวันได้ฟังตรัสดังนั้นก็ชื่นชมโสมนัศทั่วหน้ากัน จึงทูลว่า “ข้าพระองค์ทั้งปวงนี้ยินดีได้เจ้านายเป็นพระราชาที่งามเลิศกล้าหาญมีอิทธิฤทธิฦๅชา๑๔๖ เป็นกระษัตริยชาตินักรบทรงพระคุณวุฒิ๑๔๗ เห็นปานนี้ พระเจ้าข้า”
ครั้นกุดาประวีระ กุดาปะรันจา ได้ฟังรับสั่งดังนั้น จึงแก้เชือกที่ผูกมัดรัดรึงปล่อยพลมันตาหวันนั้น ๆ สิ้น ครั้นปล่อยแดัวพลมันตาหวันทั้งนั้นก็น้อมเกล้าบังคมบาทกะละหนาผู้เยาว์นั้น ครั้นถวายบังคมแล้ว กะละหนา ปันหยี สะมิหรังนั้นก็ประทานอาหาร และของมีกลิ่นหอมจรุงจรวย และตรัสให้ประกอบการรื่นเริงบันเทิงใจทั่งทิวาราตรี
กาลไม่หยุดยั้ง และให้บรรเลงดุริยดนตรีเจ็ดวันเจ็ดคืน ทั้งโขนลคอนก็เล่นไม่หยุดหย่อน เพื่อให้เป็นที่ร่าเริงบันเทิงใจแก่พวกรี้พลนั้น ๆ ฝ่ายพลมันตาหวันทั้งปวงก็คล้อยตามสนุกสนานเริงใจระคนไปกับพวกพลเมืองของกะละหนาผู้เยาว์นั้น ยินดีปรีดาเป็นข้าของกะละหนา ปันหยี สะมิหรัง ด้วยได้รับความเบิกบานบันเทิงใจ และได้รับแจกเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มอย่างงาม ๆ
เพราะเหตุไพร่บ้านพลเมืองของกะละหนา ปันหยี สะมิหรัง นั้นมีจำนวนมากขึ้นแล้ว จึงจัดตั้งปาติ๊ห์๑๔๘ บูปาติ๊๑๔๙ ขึ้น และที่ทรงอนุเคราะห์๑๕๐ขึ้นไว้ในตำแหน่ง ยศชั้นดะหมังก็มี ที่ตั้งไว้ในยศตำมะหงงก็มี ทั้งหมดนี้เป็นพลเมืองมันตาหวัน เมือง
ดาหาและกุรีปั่นซึ่งสวามิภักดิ์เป็นข้าแล้ว ส่วนเครื่องดุริยางค์ดนตรีก็มีอยู่พร้อมเพรียง ด้วยที่ตีชิงมาได้ก็มาก นักขับนักฟ้อนก็ไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะนอกจากที่ได้จับไว้แล้ว ยังมีที่มาขอเป็นไพร่บ้านพลเมืองนี้ด้วยยินดีสมัครเอง ครั้นได้วางระเบียบตามแบบอย่างราชประเพณีพร้อมมูลแล้ว ปันหยี สะมิหรัง จึ่งตรัสแก่กุดาประวีระและกุดา
ปะรันจาว่า “แนะ ทหารเอกทั้งสองของเรา บัดนี้จะว่ากระไรต่อไป เราใคร่จะให้ราชามันตาหวันอ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้นเมืองออกแก่เรา มาเถอะ เราจงไปจับราชานั้น ทั้งไปรบและปล้นเมืองนั้นเสียด้วย เพื่อเราจะได้ขึ้นบังลังก์ครองเมืองมันตาหวันนั้น ถ้าไม่ยอมยกเมืองให้แก่เรา ๆ ก็จะฆ่าเสีย ถ้ายอมแก่เราโดยดี และต้อนรับเราด้วยความเคารพ ก็ให้มีชีวิตอยู่ต่อไป”
กุดาประวีระฟังตรัสปันหยี สะมิหรัง ดังนั้น ก็ยินดี จึงทูลว่า “ดีแล้ว เจ้ากู ข้าพระองค์จะได้ประชุมรี้พลสกลไกรในวันเช้าพรุ่งนี้ให้พร้อมเพรียงเพื่อการประยุทธ”
จึงกะละหนา ปันหยี สะมิหรัง อัสมารันตะกะ พยักพักตรพลางกุมกริสตรัสว่า “ดีแล้ว ในกาลวันนี้เจ้าจงไปบอกแจ้งแก่บรรดารี้พลพหลโยธา ดะหมัง ตำมะหงง ด้วยวันรุ่งพรุ่งนี้เช้าเราจะยกไป”
ครั้นแล้วกุดาปะรันจาและกุดาประวีระ ก็ก้มเกล้าบังคมกะละหนาผู้เยาว์นั้น ออกไปที่ชุมนุมมนตรี ดะหมัง ตำมะหงง แถลงข่าวให้ทราบทั่วกัน บรรดารี้พลมนตรี ดะหมัง ตำมะหงงนั้นๆ ก็ยินดีปรีเปรมทั่วกัน แล้วก็บริโภคอาหารเครื่องดื่มด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจ
กุดาประวีระ และกุดาปะรันจาก็กลับเข้าเฝ้า เพลานั้นพนักงานก็เชิญเครื่องสังเวยมาตั้ง แล้วก็โปรดเลี้ยงอาหารเครื่องดื่มแก่บรรดาผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นทั่วกัน อีกสักครู่หนึ่งพนักงานก็แจกจ่ายผลไม้ต่าง ๆ น้ำผึ้ง๑๕๑กับน้ำนมและน้ำหวานส่งไปโดยรอบที่ประชุมซึ่งกำลังสนุกสนานปรีเปรมเริงใจนั้น ครั้นเสวยแล้ววันก็พลบค่ำลง แสงบุหลัน
สว่างกระจ่างหล้า แสงดาราส่องใสแวดล้อมดวงศศิธรประหนึ่งว่าจะแทนที่แสงรวีวร อันโคจรหลบลับไปแล้ว ถึงเวลานั้นคนทั้งหลายที่อยู่ในที่เฝ้าต่างก็ทูลลากลับ ผู้ที่อยู่ในบริเวณวังก็กลับยังสำนักสถาน ฝ่ายดะหมัง ตำมะหงงและมนตรี ก็กลับสู่กะดะหมังงันกะตำมะหงงงันและกะมนตรีงัน๑๕๒ ส่วนรี้พลกลับยังสำนักอาศรัย
ในค่ำคืนวันนั้นปันหยี สะมิหรัง เสด็จออกไปสรงน้ำ มีแต่นางมหาเดหวีเท่านั้นไปด้วย ทอดพระเนตรเห็นดวงจันทรแขไขจรัสดวงแวดล้อมไปด้วยปวงดารากร ก็อาวรณ์คนึงในถึงยามประทับอยู่ ณ กรุงดาหา พร้อมด้วยข้าหลวงสาวสรรกำนัลในนั่งเป็นแถว ผ่องแผ้วเบิกบานเล่นแสงเดือน พลางน้ำเนตรก็เคลื่อนไหลหลั่ง หวนรำฤกถึงความร้ายของท่านลิกู และก้าหลุอาหยังนั้น แล้วก็เจ็บแสบหฤทัยทุกขระทมอารมณ์ก็มืดมัวมนดังเมฆบัง แล้วก็ทอดถอนหทัยตรัสว่า “อุวะ๑๕๓ เคราะห์กรรมของตัวเราผู้กำพร้าเป็นดังนี้และ”
ครั้นแล้วปันหยี สะมิหรัง ก็บทจรไปยังที่สรง ซึ่งล้อมรั้วด้วยศิลาสูง แล้วยังบังมิดชิดอีกชั้นหนึ่งด้วยต้นไม้ดอกเพื่อมิให้ใครเลยล่วงรู้ระหัสในข้อที่เธอเป็นสตรีเพศ ครั้นสำเร็จสูจิกรรม๑๕๔แล้ว ก็เสด็จกลับคืนเข้าสู่พระบุรี๑๕๕ เปลี่ยนภูษาภรณ์เป็นเครื่องทรงเพศหญิง สยายเกษาทาน้ำมันหวี และทรงแป้งอยู่ในห้องที่บรรธมนั้น อันประดับด้วยนานาบุบผาชาติ และองค์มหาเดหวีได้ทรงอบรมแล้วด้วยควันไม้หอมรื่นชื่นนาสา กลิ่นตระหลบไปทั่วห้องนั้น
ถึงยามดึกล่วงคืน ในวังนั้นก็เงียบสงัด จะได้ยินเสียงมนุษย์แต่สักน้อยหนึ่งเลยก็หาไม่ ยินแต่เสียงไก่ขันกะก้อกก้อก ก้อกก้อกอยู่ในไพร
กษณนั้นปันหยี สะมิหรัง ก็ทุกข์ระทมตรมตรอมชลเนตรไหลหลั่งลงกระทั่งปราง แลนางก็หยิบเอาตุ๊กตาทองคำของขวัญของคู่ตุนาหงัน ระเด่นอินู กะระตะปาตีนั้นขึ้นอุ้มชู ตุ๊กตานี้แลเป็นเครื่องปลอบหฤทัยนาง พลางก็เอาขึ้นแกว่งไกวร่อนโยน จนคลายหายทุกข์พลางก็กล่าวกล่อมเป็นคำกลอน ดังนี้.-
มระปาตี๑๕๖เผือกคู่บินร่อน
นกหนึ่งติดดักที่ครัว
โชคดีลูกเราเยาว์อ่อน
ใจสบายค่อยคลายมึนมัว
นกหนึ่งติดดักใกล้ครัว
บริหารเลี้ยงไว้จงดี
ลูกแม่เพื่อนพลอดเพื่อนหวัว
พ่อเจ้าอยู่ไกลธานี
มระปาตีนกถูกดักนั้น
ถูกดักที่ใกล้ต้นนุ่น
กรตะปาตีพงศ์กุรีปั่น
ลูกนี้แก้เศร้าซบซุน
มระปาตีร่อนไปในอุธยาน
จิกจับทับทิมรสดี
กรตะปาตีคนพุฑฒิมาน๑๕๗
ส่งมาแล้วซึ่งลูกหัวปี
มระปาตีเสพย์ผลดะสีมะ๑๕๘
หล่นลงยังเศละปถพี
ส่งมาแล้วซึ่งบุตรปฐมะ๑๕๙
ลูกอ่อนคนแรกของแม่นี้
ครั้นแล้วก็แกว่งไกว และกอดจูบตุ๊กตานั้นอยู่จนเพลาจวนปัจจุสมัยรุ่งสว่าง
โฆษณา