3 ธ.ค. 2024 เวลา 06:17 • ประวัติศาสตร์

10

ระเด่นอินูได้ฟังคำปันหยีสะมิหรังดังนั้นแล้ว ข้อลำอัษฐิก็อ่อนล้าไปหมด จึงสรวมดาพเข้าฝัก ผลักกริสไปไว้ข้างขนอง พลางตรัสว่า “ข้านี้คือระเด่นอินู กะระตะปาตี โอรสเจ้ากรุงกุรีปั่น กะกันดานี้มิได้จำนงจะมาสู้รบกับเธอ เป็นแต่มุ่งจะไปยังกรุงดาหาตามพระบัญชาขององค์สังระตู”
ปันหยีสะมิหรังยิ้มแล้วตอบว่า “กะกันดาระเด่นอินูเราทั้งสองนี้จะไม่เผชิญหน้ากันเพื่อสงครามอีกต่อไป มาเถอะ ถ้ากะกันดาเต็มพระหทัยจงพากันเข้าไปในบุรีอันเป็นที่อยู่ของหม่อมฉัน”
ระเด่นอินูตอบเป็นเชิงสัพยอกว่า “ทำไมเล่ากะกันดานี้จะไม่เต็มใจ แต่ม้าของพี่ยังไม่ยอมสู้รบแล้ว พี่นี้ไม่เต็มใจอย่างไรได้ สิ่งใดเป็นที่พอใจแก่อะดินดา ย่อมเปนที่พอใจแก่กะกันดาตั้งพันเท่าเทียว”
แล้วสององค์นั้นจึงสัมผัสหัตถ์กันและพากันเข้าไปยังวัง ในรวางที่ม้าเดิรไปนั้น ต่างก็ทรงจินตนามิหยุดหย่อนถึงพฤติการณที่เป็นมานั้น และตลอดทางผู้คนเป็นอันมากทัศนาก็เห็นเป็นประหนึ่งดวงดารา๑๖๙คู่หนึ่ง ซึ่งส่องแสงสว่างอย่างสุกใส ระเด่นอินูเหลือบไปเห็นยะรุเดะจึงตรัสว่า “แนะ ยะรุเดะ จงสั่งรี้พลทั้งหลายบอกเลิกสงคราม แล้วนำเข้าไปสู่พระบุรี”
รี้พลทั้งสองฝ่ายก็เข้าเมืองโดยความสงบ ด้วยเจ้านายได้ปรองดองเปนไมตรีกันแล้ว ก็ดีตามกันไป เปนหางก็ย่อมตามหลังหัวเป็นธรรมดา ครั้นระเด่นอินูไปถึง ปันหยีสะมิหรังก็ลงจากหลังม้าแล้วประนมบังคมทูลเชิญเสด็จระเด่นอินูประทับเหนือสิงหาศน์
ทั้งสององค์นี้สมควรยิ่งแล้วที่จะเปนมิตรภาพภราดรต่อกัน ด้วยว่าดีงามเสมอเหมือนกัน ฝ่ายอินูก็เกิดความปฏิพัทธรักใคร่ในปันหยีสะมิหรังด้วยรูปโฉมเป็นที่ต้องหฤทัย แต่ก็หาทราบไม่ว่าปันหยีสะมิหรังนั้นเป็นผู้หญิง สำคัญว่าเป็นชายด้วยกัน ประทับอยู่ดังนั้นมิช้าระเด่นอินูก็ตรัสว่า “แนะ อะดินดา มาเถอะ เรามากินเข้าด้วยกัน”
ปันหยีสะมิหรังตอบว่า “โอ กะกันดา เสวยแต่ลำพังองค์เดียวก่อนเถิด แล้วหม่อมฉันจึงจะรับประทาน”
อินูก็ว่า “ทำไมเล่า อะดินดา มิได้พาพี่มานี่ด้วยความพอใจดอกหรือ เธอไม่เต็มใจให้พี่มานี่หรือ”
ปันหยีสะมิหรัง ยิ้มแล้วทูลว่า “ที่น้องจะไม่เต็มใจนั้นหามิได้ แต่กลัวต่ำสูงเปนตุหลา ตุอะห์๑๗๐ เสนียดจัญไร ด้วยผู้มีเผ่าพันธุ์หินชาติต่ำช้า หาควรไม่ที่จะร่วมกับผู้สูงศักดิ์ ชอบแต่จะรับประทานเหลือเครื่อง”
ระเด่นอินูจึงเสวยองค์เดียว เสร็จแล้วปันหยีสะมิหรังจึงเสวยพร้อมด้วยกุดาประวีระ และกุดาปะรันจา ชื่นชมปรีดาทั่วหน้ากัน ครั้นเสวยแล้วเครื่องที่เหลือนั้นก็ยกไปตั้งให้แก่ยะรุเดะกับการะตาหลา แล้วเลื่อนต่อลงไปจนถึงไพร่พล ครั้นแล้วพนักงานก็แจกจ่ายของหอมและมีคนนั่งดูปันหยีสะมิหรังกับระเด่นอินูนั้นอยู่แน่นหนาล้นหลาม ครั้นวันล่วงไปไกลถึงรัตติกาล ระเด่นอินูก็ชวนบรรธม ตรัสว่า “เออ อะดินดา พี่นี้ง่วง หนังตาเบื้องบนเกือบจะผนึกติดกับหนังตาเบื้องล่างอยู่แล้ว”
ปันหยีสะมิหรังยิ้มพลางตรัสตอบว่า “หม่อมฉันไม่เข้าใจความที่ตรัสนั้น ถ้าพระพี่ยาหาวบรรธม ก็เชิญบรรธมก่อนเถิด ด้วยตาหม่อมฉันยังไม่ง่วง ที่ถูกหม่อมฉันควรจะนอนกับกุดาประวีาะ และกุดาปะรันจา”
อินูก็พิศวงสงสัยยิ่งนัก จึงจินตนาในหฤทัยว่า “อะอินดานี้ชรอยจะเป็นหญิงเสียกระมัง จึงไม่อยากจะนอนด้วยกับเรา”
ปันหยีสะมิหรังตอบว่า “ใช่ว่าอะดินดาจะไม่อยากนอนร่วมกับกะกันดาเมื่อไรมี แต่ไม่วางใจ ด้วยน้องนี้มีไข้อย่างหนึ่ง กลัวว่าจะติดต่อไปถึงกะกันดา”
ระเด่นอินูก็บรรธมแต่ลำพังองค์เดียว ปันหยีสะมิหรังทูลลากลับตำหนักเพื่อไปพบกับมหาเดหวี เห็นองค์มหาเดหวีกำลังเล่นอยู่กับนางบุษบาชูวิต และบุษบาส้าหรี ปันหยีสะมิหรังจึงว่า “อไร ยังเล่นกันอยู่จนดึกดื่น”
มหาเดหวีก็แย้มสรวลพยักพักตร ณกาลนั้นก็เป็นเวลาล่วงคืน ใครๆ ก็เข้านอนแล้วตามที่แห่งตนๆ ปันหยีสะมิหรังก็เข้าสู่ที่บรรธมแล้วก็ร่อนไกวตุ๊กตาทองคำ ขับร้องกล่อมด้วยถ้อยคำบางประการ จนเพลาใกล้จะรุ่งปัจจุสมัย
จึงไสยาพร้อมด้วยตุ๊กตานั้น ก็และบรรธมนั้นเพียงสักพริบตาเดียวก็ตื่นขึ้นแต่งองค์ทรงเครื่อง ฝ่ายพี่เลี้ยงผู้มีนามว่าเกนบาหยัน และเกนส้าหงิด ก็ล้างหน้าแต่งกายเยี่ยงเพศชายพร้อมสรรพ
ครั้นแล้วก็จรลีไปยังที่ระเด่นอินูกะระตะปาตี และระเด่นอินูนั้นตื่นบรรธมอยู่ก่อนแล้ว ประทับให้เสนาข้าราชการเฝ้า คือยะรุเดะ และปูนตาเปนต้น ระเด่นอินูเห็นปันหยีสะมิหรังมากับทหารเอกทั้งสองผู้มีรูปร่างลออองค์ดังบุหงาส่องสว่างด้วยแสงตวันนั้น ก็แย้มสรวล พลางจินตนานิ่งนึกถึงการณ์ที่เป็นมาด้วยความพิศวงจังงัง แล้วจึงตรัสแก่ปันหยีสะมิหรังว่า “เออ อะดินดา พี่นี้ขุ่นเคืองน้องด้วยช่างมีแก่ใจทิ้งให้กะกันดานี้นอนอยู่แต่เดียวดาย”
ปันหยีสะมิหรังยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบประการใด ระเด่นอินูจึงตรัสต่อไปว่า “กะกันดานอนคนเดียวคืนหนึ่งนี้ รู้สึกดังว่าต้องพรากจากน้องไปตั้งเดือน พี่ฝันไปว่านอนร่วมกับเธอในที่นอนอันเดียวกัน”
ปันหยีสะมิหรังก็ยิ้ม ฝ่ายระเด่นอินูนั้นยิ่งนานวันก็ยิ่งเพิ่มพูลประฏิพัทธพิศวาสดิ์ ปันหยีสะมิหรังก็นั่งเฝ้าระเด่นอินู พนักงานก็เชิญเครื่องเสวยมา ระเด่นอินูจึงตรัสว่า “มาเถอะน้องมาเสวยกับกะกันดา”
ปันหยีสะมิหรังตอบว่า. “เชิญพระพี่ยาเสวยก่อนเถิด หม่อมฉันจะรับประทานทีหลัง เพราะกลัวต่ำสูงตุหลาตุอะห์เสนียดจัญไร”
ระเด่นอินูก็เสวย พลางใคร่ครวญในหฤทัยว่า “ปันหยีสะมิหรังนี่ชรอยเป็นหญิงเสียแน่แล้ว ถ้าเช่นนั้นเราจะเอาเป็นเมียแล้วจะไม่มีเมียอื่นอีกเลย นอกจากปันหยีสะมิหรังนี้”
ครั้นเพลาใกล้รัตติกาล ระเด่นอินูก็ตรัสว่า “มาเถอะ อะดินดาเรามานอนด้วยกัน ถ้าเธอไม่ปลงใจด้วยจะต้องเห็นเปนแน่เทียวว่าเธอไม่พอใจให้พี่ค้างแรมอยู่ที่นี่”
ปันหยีสะมิหรังตอบว่า “ที่หม่อมฉันจะไม่เต็มใจนั้นเปนไปไม่ได้ กะกันดาอย่าตรัสดังนั้นอีก หม่อนฉันหวังว่า ถ้ากะกันดาเสด็จไปดาหาเป็นคู่สมรสอภิเศกแล้ว เมื่อจะเสด็จกลับคืนกรุงกุรีปั่น คงจะพอพระหทัยแวะที่นี่อีก ถึงเวลานั้นและ น้องจึงจะร่วมบรรณฐรณ์ด้วยกับกะกันดา”
ระเด่นอินูแยมสรวลตรัสว่า “แน่เทียวอะดินดา ถ้ากะกันดาอยู่ดาหาไม่สบายเป็นไข้ใจด้วยพิศวาสดิ์สิเนหานี้แล้ว อยู่ที่นั่นไม่ได้ ก็จะรีบกลับมานี่”
แท้จริงเวลานั้นราตรีก็ล่วงเข้ายามดึกแล้ว บุหลันทรงกลดส่องสว่างดังกลางวัน พวกเสนารี้พลกุรีปั่นทั้งหลายก็ยังใคร่จะเล่นหวัวอึกทึกอยู่ในแสงเดือน จึงเข้ากลุ่มชุมนุมคุยกันเล่นกันระคนไปกับไพร่บ้านพลเมืองของปันหยีสะมิหรังนั้น
ณ กาลนั้นการะตาหลา ปูนตา และยะรุเดะ กับทั้งเสนาข้าราชการทั้งปวงก็ขับลำทำเพลงตบมือและรำเต้นอยู่ไม่หยุดหย่อน และพากันสรวลเสเฮฮาเมื่อเหนปูนตากับการะตาหลารำเต้นและร้องว่า
รู้สึกแล้วหากเพิ่งจินดา
สุดคิดสุดคาดสุดคณนา
เสียงจังหรีดสำคัญว่าแมลงดานา๑๗๑
อยู่ที่ใจมิใช่ที่ปากเพ้อหา
โฆษณา