Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
มินิซีรี่ย์
•
ติดตาม
4 ธ.ค. 2024 เวลา 03:33 • ประวัติศาสตร์
15
สิงหมนตรีจึงมาคิดว่า “ทำไมหนอรูปโฉมเธอจึงงามนักและสังระตูก็ทรงสิเนหาอาลัยในกะละหนานั้น เหตุใดจึงไม่โปรดปรานตัวเราเหมือนอย่างกะละหนานั้น ดีละ คืนนี้แหละ เราจะจับกะละหนานั้นทิ้งทะเลเสีย เพื่อองค์สังระตูจะได้โปรดเราบ้าง
ในเวลาที่เสวยอยู่นั้นกาลัง วิรุนและสะมาร์นั่งอยู่หลังสิงหมนตรีจึงพูดจาตลกคะนอง ล้อสิงหมนตรีว่า “เคราะห์ดีจริงหนอ นายเรานี้องค์สังระตูโปรดปรานเปนนักหนา ถ้าเราดูรูปโฉมนายของเราแล้ว คนทั้งเมืองกากะหลังนี้จะหาเปนคู่เปรียบไม่ได้สักคนเดียว”
สะมาร์ และวิรุน พูดเย้าอยู่อย่างนี้ ด้วยเสียงเบาเหมือนเสียงกระซิบ
ขณนั้นสีโตคก๒๒ก็นั่งอยู่ไม่ว่ากระไร แล้วสิงหมนตรีก็หยิบเอากับข้าวซึ่งเขาตั้งเลี้ยงวิรุนและสะมาร์นั้นมาเสวยเสีย แม้แต่ส่วนที่วิรุนจะบริโภคนำเข้าปากไป
ครึ่งหนึ่งแล้ว ก็แย่งชิงเอามาเสวย
วิรุน และสะมาร์ก็เปนอันรู้ว่าอัธยาศัยความประพฤติของสิงหมนตรีนั้น มีอาการวิกลวิกาลแปลกๆ จึงกล่าวคำสัพยอกหลอกล้อต่อไปว่า “นายของเรางามนัก ถ้าใครอยากได้รูปงามอย่างรูปนายของเราบ้าง ฉันมีอาคมจะบอกให้ได้”
สิงหมนตรีได้ยินคำสะมาร์พูดดังนั้น ก็ขอให้สะมาร์สอนอาคมให้เพื่อจะได้รูปงามเหมือนปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา
สะมาร์ก็ว่า “ได้ ประเดี๋ยวจะสอนให้ แต่เอาเข็มขัดที่ท่านคาดอยู่นั้นมาให้ฉันก่อน”
สิงหมนตรีก็ปลดสายรัดองค์ประทานแก่สะมาร์
แล้วสะมาร์ก็ว่า “ดูสิ บัดนี้รูปของท่านเริ่มจะงามขึ้นแล้ว”
สิงหมนตรีได้ฟังคำสะมาร์ดังนั้นก็ยินดี
ครั้นเสร็จเสวยแล้ว ท้าวกากะหลังจึงตรัสแก่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา “อ้อ ลูกพ่อ ถ้าเธอไม่ถือโทษ พ่อใคร่จะถามว่า เธอมีคู่ครองแล้วหรือยัง”
ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็ยิ้มและทูลสนองว่า “ตวนกูมีพระบุตรีอยู่กับหม่อมฉันสองนางๆ หนึ่งเปนพระบุตรีจกรกา อีกนางหนึ่งเปนพระบุตรีสะดายุ”
จึงสังระตูดำริในหทัยว่า “ถ้าอย่างนั้นชายนี้ก็มิใช่คนสามัญเสียแล้ว”
แล้วสังระตูจึ่งตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้น ควรที่เธอจะสั่งให้คนไปรับนางบุตรีทั้งสองที่ยังอยู่นอกเมืองนั้นเข้ามา”
จึงดำรัสสั่งให้ไปรับนางทั้งสองนั้นเข้ามา พนักงานก็ไปเชิญเสด็จนางบุตรีทั้งสองนั้นมา ตรัสสั่งให้พักแรมในตำหนักหลังหนึ่ง ซึ่งสร้างไว้ ณ บ้านการัง ปะสันตะเหร็น อันพระราชทานพระราชานุเคราะห์ให้เปนที่พัก
สังระตูตรัสว่า “จะให้ดีแล้ว เธอจงอยู่เสียที่นครของอานี้ ด้วยอาไม่มีลูกเหมือนอย่างเธอ เธอมาจากเมืองไหน และได้เดิรทางผ่านมากี่เมืองแล้วภูมิลำเนาของเธออยู่ที่ไหน ใครเปนบิดามารดา”
ระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาทูลว่า “อ้อ พระบิดาหม่อมฉันนี้เปนคนมะงุมบาหรา ความมุ่งมาดของหม่อมฉันมิใช่ว่าจะมาตีเมืองกากะหลังนี้ ใคร่แต่จะมาชมเครื่องประดับประดาความสวยงามของเมืองเท่านั้น ก็และภูมิลำเนาที่อยู่ของหม่อมฉันนั้นไม่เปนที่แน่นอน ด้วยหม่อมฉันนี้ประหนึ่งดังว่าคนหลงทาง ย่อมเดิรทางวนเวียนอยู่เปนนิตย์”
ครั้นสนทนากันดังนี้แล้ว ต่างคนต่างกลับคืนยังที่อยู่แห่งตนๆ ฝ่ายปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็กลับไปยังบ้านการัง ปะสันตะเหร็น มีกาลัง สะมาร์ และวิรุนตามเสด็จไปด้วย
สิงหมนตรีก็กลับดุจกัน แล้วแต่งองค์ด้วยภูษาภรณ์อันไพจิตรนอกจากสนับเพลา สายรัดองค์และฉลององค์อย่างสีงามๆ ยังทรงธำมรงค์ซ้อนทุกนิ้ว เพื่อจะให้ประชาชนพลเมืองชมว่างามกว่าปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา แต่งองค์เสร็จแล้วก็ดำเนิรยาตร์กรายไปยังบ้านการัง ปะสันตะเหร็น เพื่อจะพบกับสะมาร์ และวิรุน และจะได้เรียนอาคมทำหน้างามจากสองนายนั้น แล้วจะได้ใช้แก่ตนให้มีความสวยงามวิรุนและสะมาร์จะเดิรไปไหน เธอก็คอยเดิรตามไปไม่ให้คลาดได้สักขณเดียว สะมาร์และวิรุน
ก็สนุกใจนัก ด้วยได้ลาภทรัพย์สิ่งของต่างๆ จากสิงหมนตรีนั้น เพราะธำมรงค์และสายรัดองค์ที่ทรงอยู่ สิงหมนตรีก็ประทานแก่สะมาร์สิ้นแล้ว และผ้าคาดแพรสีเหลืองแดงกับสนับเพลาก็ยกประทานแก่วิรุน สะมาร์ก็หัวเราะและพูดว่า “บัดนี้ท่านงามยิ่งกว่านายหม่อมฉัน ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้นแล้ว” แล้วสะมาร์ก็ได้ของประทานจากระเด่นสิงหมนตรีเพิ่มขึ้นอีก ประวัติการของสิงหมนตรีมีมาดังนี้ ด้วยเดชเทพเจ้าบรรดาลนั้นแล
ฝ่ายปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น อยู่ในกรุงกากะหลัง ณ บ้านการัง ปะสันตะเหร็น ก็เสวยสุขารมณ์ร่วมกับนางนิลวาตีและนางก้าหลุ นาหวัง จันตะหราเปนนิตย์ตลอดมา ฝ่ายระเด่นวิรันตะกะเห็นความเปนไปของสิงหมนตรีก็พิศวงอัศจรรยใจ ด้วยวิรุนและสะมาร์ประสงค์อไรก็ดูตามใจยินยอมไปเสียทุกอย่าง
ก็และการที่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมามายังกรุงกากะหลังนั้น เป็นมงคลให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าขึ้น ด้วยยิ่งนานไปก็ยิ่งเพิ่มความแน่นหนาฝาคั่ง เพราะนายกำปั่นชอบมาแวะค้า และพ่อค้าวานิชคนสมบูรณด้วยโภคทรัพย์ กับช่างผีมือต่างๆ ก็พากันมาแต่ไหนๆ ทั่วทิศานุทิศเข้ามาอยู่ในกรุงกากะหลังนั้น การณเปนดังกล่าวนี้แล
บัดนี้จะย้อนกล่าวถึงก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา และนางทั้งหลายเพื่อนร่วมเดิรทาง คือเกน บาหยัน เกน ส้าหงิด กับทั้งนางบุตรีบุษบาส้าหรี บุษบาชูวิต และพี่เลี้ยงของนางทั้งสองนั้น คือเกน ปะมอหนัง เกน ปะสิเหรียน๒๓ ต่างก็แต่งกายตามเยี่ยงสตรีเพศทั่วกัน
ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาทรงเครื่องอย่างนารี แล้วก็ทวีความงามรูปงามโฉมขึ้นอีกเปนอันมาก นางอื่นๆ ผู้ตามเสด็จก็เช่นกันจนเปนประดุจดังดวงดาราประดับฟ้าเคียงกันอยู่เปนเทือก ก็แต่ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนานั้น ถึงแม้พักตร์จะงามสักเพียงใด ก็ดูลักษณะดุจดวงบุหลันอันเมฆปกคลุม เพราะมีอารมณ์ยุ่งเหยิงกระสับกระส่าย ด้วยแบกทุกข์โศกาดูรพูนเทวศคิดถึงคนึงหาระเด่นอินู กะระตะปาตีอยู่เปนนิตย์นิรันดร์
ท่านเล่าแถลงต่อไปว่า เมื่อก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา กับบริวารได้ประทับอยู่บนกุหนุงวิลิสนั้นนานหลายวันแล้ว ถึงเวลาวันหนึ่งจึงเข้าเฝ้าบีกู คันฑะส้าหรี พวกอีหนังก็เชิญเครื่องตั้งเลี้ยงไม่ขาดสาย คือว่า หน่อมัน เผือก กล้วย ถั่วลิสงเปนต้น
ณกาลนั้น บีกู คันฑะส้าหรีตรัสว่า “นี่แน่ะ อาหนะ ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา ถ้าเธอมุ่งมาตรจะให้สมความปรารถนาในหทัยเธอนั้นแล้ว เธอจงออกเดิรไปจากนี้แต่ในวันนี้นี่เทียว และควรจะแปลงตัวเปนคนกำบู๒๔
ก้าหลุ จันตะหรา กิระหนา จึงปรึกษากับบริวาร ก็ชื่นชมยินดีพร้อมใจกันปฏิบัติตามรับสั่งของบีกู คันฑะส้าหรีนั้นทุกประการ ครั้นปรึกษากันแล้ว บีกู คันฑะส้าหรีนั้นก็ตรัสว่า “ถ้าหลานจะให้เปนไปดังนั้นแล้ว ควรหลานจะใช้เสื้อผ้าอย่างชาย เพื่อจะได้ไม่มีภัยอันตรายในกลางทาง”
แล้วบีกู คันฑะส้าหรีก็ทรงตัดเกศาบรรดานารีนั้นๆ ให้สั้นเพียงคอ และประทานเสื้อผ้าอย่างชาย จนงามราวกับบะตาระลงมาจากฟากฟ้ากะยาหงัน แล้วก็ให้แปลงนามทุกๆ คน จึงก้าหลุ จันตะหรา กิระหนาได้นามว่า กำบู วาระคะ อัสมาหรา และนางบุษบาชูวิต ชื่อกำบู มะลาหรี นางบุษบาส้าหรี ชื่อกำบู อันจิ อัสมาหรา เกนบาหยันชื่อ กำบู สะการ์ส้าหรี เกนส้าหงิด ชื่อกำบู มะลาหงี เกนปะมอหนัง ชื่อกำบู ผิงคะ ปังราสา และเกน ปะสีเหรียน ชื่อกำบู อัสมาหรา ดันตะ แต่ผู้ที่สวยงามเปนเยี่ยมในหมู่นั้น คือ กำบูวาระคะ อัสมาหรา
ครั้นแล้วบีกู คันฑะส้าหรีก็ตรัสว่า “แน่ะหลาน จะให้ดีแล้วจงลงเขาไปแต่ณบัดนี้ เดิรบ่ายหน้าสู่ทิศที่ตั้งกรุงกากะหลัง”
แล้วบีกู คันฑะส้าหรีก็จุมพิตที่เศียรเกล้าของนางนั้นๆ ทุกนางพลางร่ายมนต์บูชาเทพเจ้าสังหยัง ผู้ทรงมเหศรศักดานุภาพ อวยพรให้เดิรทางโดยสวัสดี จบคาถาแล้วเป่าไปที่ขนองนางนั้นๆ
ทันใดนั้นกำบูทั้งเจ็ดก็ก้มลงบังคมคัลแล้วก็ลงกุหนุงวิลิสนั้นไปเดิรตามทางแคบเรียงตัวตามกัน ประดุจดอกบุษบันต้องแสงตวันอันเพิ่งจะไขดวง ฝ่ายนางอิหนังทั้งหลายก็ตามไปส่ง
พอไปถึงเชิงเขา พวกอิหนังนั้นๆ ก็กลับคืนขึ้นเขาไป กำบูทั้งเจ็ดก็ออกเดิรแปรพักตร์สู่นครกากะหลัง ผ่านลุยรั้วแขวงหมู่บ้านร้านถิ่นนาๆ พวกชาวบ้านก็ยินดีปรีดาพากันเดิรตามกำบูนั้นๆ ไม่ว่าจะไปไหน พวกเด็กรุ่นดรุณวัยมีใจติดพันพวกกำบู ก็ทิ้งบ้านทิ้งเรือนไม่คิดถึงบิดามารดาอีกต่อไป แล้วก็เดิรตามพวกกำบูไป บ้างก็ทำความคุ้นเคยรู้จักกัน บ้างก็สิ้นกระดากกระเดื่องยอมเปนข้าเข้าหาบหามสิ่งของเสื้อผ้าเครื่องแต่งของพวกกำบูนั้น
ก็และกำบูนั้นๆ มีพฤติการณ์ดีมาก การเล่นก็เปนที่สนุกสนานเบิกบานบันเทิงใจแก่คนทั้งหลาย จนมีพ่อค้าและเศรษฐีคหบดีชอบเรียกหาไปเล่นที่เคหะสถานบ้านเรือนเนืองๆ คนที่มีใจรักติดพันกำบูนั้นก็มีมาก ถึงแก่ขอเข้าเปนคนตีเครื่องดนตรี ยิ่งเด็กๆ ด้วยแล้วอดใจไม่ได้ และคอยแต่ตามใจสนุกของตนเท่านั้น ก็มีเปนอันมากที่ลืมถิ่นฐานครอบครัว และหากลอุบายที่จะได้เข้าเปนผู้ช่วยตีฆ้องกลองดนตรีของกำบูนั้นๆ๒๕
และสินจ้างการเล่นของพวกกำบูนั้น ราคาสิบสองสุกู ค่าจ้างคนดนตรีแปดสุกู๒๖ ต่อเพลง๒๗ ถ้าและเล่นเรื่องลคอน๒๘ อย่างที่เปนเรื่องราวดีๆ เช่นลคอนระเด่น เจเก็ลวาเน็ง ปาตี รักกับ เกน ลิละ บะรังตี เปนต้น บรรดาคนที่ฟังและดูลคอนนั้นก็มีใจกระศัลย์เพลิดเพลินลืมตัวดังคนมัวเมา
แล้วพวกกำบูก็เดิรต่อไป ปีนเขาลุยป่าฝ่าดง ผ่านตรอกซอกทางใหญ่น้อยหมู่บ้านร้านถิ่นตลอดทางที่เดิรไปสู่นครกากะหลังนั้น
ไม่ช้านานนักก็ไปถึงย่านตลาดอันหนึ่ง ขึ้นพักแรมบนร้านๆ หนึ่งแล้ววันก็ดับ ถึงเพลาราตรียามดึกสงัดเงียบเสียง ผู้คนเข้านอนหมดแล้ว กำบู วาระคะ อัสมาหราก็ตื่นขึ้นด้วยอาการคล้ายคนวิกลจริต แล้วก็หยิบตุ๊กตาทองคำนั้นมากอดจูบแกว่งไกวพลางว่า “นี่แน่ะเธอ แม่นี้เข้าตาจนแล้ว เพราะมีลูกนี้เท่านั้นแม่จึงยังอยู่ได้ดังนี้”
แล้วก็จูบแก้มตุ๊กตาและเจรจาประการอื่นอีก กำบู วาระคะ อัสมาหรา มีอันเปนดังกล่าวมานี้ ครั้นรุ่งเช้าก็ตื่นและเดิรทางต่อไปมุ่งมาตรสู่นครกากะหลังนั้น
ต่อไปท่านเล่าแถลงถึงสะมาร์ กับทั้งกาลัง วิรุน และอันดากาว่า ณกาลนั้น แต่งกายโอ่อ่าหลายสี เพราะได้รับประทานเนืองๆ จากราชบุตรีซึ่งมีนามว่าสิงหมนตรีนั้น กาลัง และอันดากา กับทั้งวิรุนและสะมาร์นั้น ย่อมเดิรเที่ยวเล่นไปมาโดยรอบนครกากะ
หลังนั้น มาวันหนึ่งไปถึงตลาดอันหนึ่งก็เห็นประจักษ ซึ่งกำบูทั้งเจ็ดคนนั้นแล้วจึงเข้าไปใกล้ ครั้นเห็นแล้วก็ใจเต้น ด้วยรูปร่างกำบูทั้งหมดนั้นราวกับนางฟ้าลงมาจากสวรรค์ แล้วก็พากันคิดว่า “กำบูสามคนนั้นรู้สึกว่าได้เคยพบแล้ว น่าเสียดายจริงหนอสามคนนั้นกลายเปนกำบูนักฟ้อนรำไปเสียแล้ว มิฉนั้นก็อาจเปนแม่ทัพได้ดังเช่นกะละหนาปันหยีสะมิหรัง”
วิรุน ว่า “แน่ะ พี่สะมาร์ พี่กาลัง มาเถอะเราไปทูลเจ้านายเรา เพื่อจะโปรดทอดพระเนตรและทรงฟังลคอนนี้บ้าง ฉันเองยังไม่เคยเห็นการเล่นอย่างนี้ จะให้ดีแล้วเราไปทูลขออนุญาตเจ้านายของเรา เรียกเอาไปเล่นถวาย ด้วยการเล่นอย่างใหม่นี้ในกรุงของเราก็ยังไม่มี เราเพิ่งจะเคยมาเห็นที่นี่และ”
กาลังตอบว่า “แกว่าถูกแล้ว”
สะมาร์ ตะโกนถามว่า “เฮ้ย ช่างฟ้อนช่างรำ การเล่นอย่างนี้เรียกว่าอะไร”
หัวหน้ากำบูก็ตอบว่า “การเล่นนี้เรียกว่า กำบู และเล่นฟ้อนรำทำเพลงกับแสดงเรื่องละคอน”
สะมาร์ว่า “ฉันอยากจะหาเล่น จะเอาสักเท่าไร”
กำบู วาระคะ อัสมาหราตอบว่า “ค่าจ้างคนดนตรี แปดสุกู ค่าจ้างกำบูสิบสองสุกู”
สะมาร์ว่า “เรียกแพงอย่างนั้นฉันจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ได้ ฉันเปนแต่คนเล็กคนน้อยไม่มีทรัพย์มีสิน”
พวกนักดนตรีทั้งปวงก็ตอบว่า “การเล่นอย่างนี้จะลดราคาให้ไม่ได้ เพราะเปนการเล่นอย่างใหม่ ยังไม่เคยมีที่นี่ แต่ฉันอยากจะเล่นแต่ที่วังเจ้านาย กับที่ตามจวนมนตรี นายทหาร และประธานมนตรีกับตำมะหงงเท่านั้น”
แล้ววิรุนและกาลังก็ตบศีรษะสะมาร์ บรรดาคนที่อยู่ที่นั่นเห็นกิริยาอาการของสี่เกลอนั้นก็หัวเราะก๊ากๆ ขึ้นทั่วกัน วิรุนว่า “ดีแล้วเราไปทูลขอเจ้านายของเรา ให้รับสั่งให้หาไปเล่นก็แล้วกัน ปันหยียาเหย็งกะสุมา คือเจ้านายของเรานั้น คงจะโปรดทอดพระเนตรเหมือนกัน ครั้นแล้ววิรุนและกาลัง ทั้งสะมาร์และอันดากานั้นก็กลับเข้าวังที่ตำบลบ้านปะสันตะเหร็นอันเปนที่ประทับนั้น วิ่งแข่งแย่งขึ้นหน้ากันไป
จะกล่าวถึงปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ในกาลหนึ่งกำลังประทับอยู่กับก้าหลุ นาหวังจันตะหรากับนางนิลวาตี จึงนางทั้งสองนั้นอัศจรรย์ใจในอันเห็นอากัปกิริยาของกะกันดาปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น ไปๆ ก็ไม่ทำอะไร นั่งแต่จูบผ้าแพรคาดองค์เท่านั้น
นางบุตรีนิลวาดีจึงทูลถามว่า “กะกันดาปันหยี ทำไมเล่าไปๆ จึงเฝ้าแต่จูบผ้าคาดองค์นั้น ผ้านั้นศักสิทธิ์มีฤทธิขลังอไรหรือ”
ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็ยิ้มลไมอยู่ในที พลางซับและถูพักตร์ถึงสองสาม
ครั้งด้วยผ้าคาดองค์นั้น แล้วก็ตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนหวานไพเราะดุจเสียงขลุ่ยว่า “กะกันดานี้มิได้จูบผ้าคาดดอก จูบคุณความดีของคนๆ หนึ่ง เพื่อมิให้ลืมกลิ่นเขา ด้วยก่อนนี้กะกันดามีสหายคนหนึ่ง ซึ่งเปนคนกว้างขวางและคนดีมาก ชื่อว่ากะละหนา ปันหยี สะมิหรัง ใจคอซื่อตรง และมีปกติพุฒิ๒๙ดีมาก อันพี่จะลืมเสียมิได้เลย พี่ยกย่องเขาไว้ในฐานเปนพี่น้องกัน เมื่อถึงเวลาเขาจะจากไปเขาให้ผ้าแพรคาดเอวผืนนี้ซึ่งเขากำลังใช้อยู่เองแก่พี่ เพื่อเปนที่ระลึก”
จึงนางบุตรีนิลวาตีโต้ว่า “เปนไปไม่ได้เลย สหายของกะกันดานั้นเปนผู้ชาย จะมารักใคร่ถึงแก่คลึงเคล้าผ้าคาดเอวอย่างนั้นได้อย่างไร ชะรอยกะกันดาจะมีสหายเปนหญิงด้วยเหมือนกันจึงทำดังนั้น ชายคบเพื่อนชายและทำบุญคุณต่อกันนั้นมีถมไป แต่คุณความดีก็ย่อมพึงตอบแทนกันด้วยคุณความดี ไม่ใช่อย่างกะกันดาทรงกระทำนั้น”
ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็ยิ้มละไม พลางตรัสว่า “เออ อะดินดาคนที่ชื่อว่าปันหยีสะมิหรังนั้นเปนแม่ทัพนักรบอย่างเก่งกาจกล้าหาญมาก ตัวเขาสูงใหญ่ผิวหนังดำ และมีหนวดมีเคราแก้มเคราคาง ตาแดง แต่ก็จะว่าอย่างไรได้ กะกันดาเปนหนี้บุญคุณเขาอยู่ ถึงแม้กะกันดาจะไม่อยากพบตัวของบุคคลนั้นก็ควรที่จะระลึกถึงคุณความดีของเขา”
ในเวลาที่กำลังตรัสสนทนากันอยู่นี้ สะมาร์ วิรุน กับกาลัง ก็กระหืดกระหอบเข้ามา หายใจยาวสั้น ท้องแขม่ว ไหล่สูงทีตำที คิ้วยักขึ้นยักลง ทูลว่า “ขอประทานอภัยตวนกู นับพันอภัย เมื่อกี้นี้หม่อมฉันทั้งสามได้ไปเห็นกำบู ซึ่งหน้าตาสวยงามดีนัก เที่ยวเร่เล่นไปทั่วทุกแห่ง การเล่นของเขาก็ดี สนุก คิดค่าจ้างสิบสองสุกูสำหรับพวกกำบู
กับแปดสุกูสำหรับพวกดนตรี กำบูนั้นมีอยู่เจ็ดคนแต่ล้วนหน้าตาสวยงามยากที่จะหาที่เปรียบได้ เขาเล่นและเล่าเรื่องลคอนต่างๆ กับฟ้อนรำเปนเพลงๆ ประณีตและไพเราะนัก มือและนิ้วเขาเคลื่อนไหวน่าดูสุดจะพรรณนา หม่อมฉันทั้งสามนี้ดูเสียเปนที่พิศวง และคลั่งไคล้ไปทีเดียวในวิธีการและท่าฟ้อนรำของเขา”
ก้าหลุ นาหวัง จันตะหรา ได้ฟังคำพี่เลี้ยงสามนายนั้นก็แย้มสรวล
ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ตรัสว่า “ดีละไปเรียกมาเล่นที่นี่”
วิรุนกับสะมาร์ก็วิ่งรีบไปด้วยยินดีปรีเปรม
ก็และกำบูทั้งหลายนั้น ไปถึงจวนประธานมนตรีแล้วก็เล่นที่นั่น ใช้เรื่องลคอนเกนสะมิปุรี ซึ่งเปนคู่ตุนาหงันกับมะงุนส้าหรี แต่ไปรักเสียกับปันหยี ลิลา ผู้ที่เล่นเปนตัวสะมิปุรีนั้นคือ กำบูมะลาหรี ที่เปนตัวมะงุนส้าหรีนั้น อันจิ อัสมาหรา และที่เปนตัวปันหยีลิ
ลา คือกำบู วาระคะ อัสมาหรา ซึ่งงามรูปงามโฉมอย่างยิ่งยวด แล้วก็ออกร้องรำทำเพลงและฟ้อนด้วยกันทั้งหมด แถลงเรื่องและทำท่าเล่นไปตามบทแห่งเรื่องลคอนนั้น จนถึงตอนปันหยีลิลา ได้เสวยรมย์ชมชื่นอยู่กับเกนสะมิปุรีในสวนดอกไม้อันหนึ่งเกนสะมิปุรีนอนอยู่บนตักปันหยีลิลา
ถึงเวลานี้ที่ทั้งสองนั้นกำลังเชยชมสมสุขกันอยู่นั้น มะงุนส้าหรีก็มา พากริสมาด้วยเข้าไปในสวนนั้น พอเห็นคู่ตูนาหงันของตนอยู่กับปันหยีลิลา ก็โกรธสุดที่จะอดทนได้ จึงชักกริสจากฝักแล้วก็แทงคู่ตุนาหงันนั้นตายในบัดดลนั้น
บรรดาคนทั้งหลายที่ดูอยู่นั้นก็พากันชอบและใจประหวั่นไปหมดด้วยกัน ในอันเห็นท่าทางและฟังเสียงของพวกกำบูนั้น
ฝ่ายวิรุนกับสะมาร์ บัดดลก็ไปถึงที่นั้นเห็นพวกกำบูกำลังเล่นอยู่ทั้งสองนั้นก็เลยดูและฟังเรื่องลคอนด้วยความต้องติดใจ
ครั้นกำบูนั้นเล่าจบลงก็ถูกเรียกหาไปเล่นที่บ้านตำมะหงงอีก ณที่นั้นพวกนางสาวบุตรีดรุณีสาวพรหมจารี บริวารทั้งหลายออกมาดูแล้วก็ตกตลึงจังงังไปทั่วกัน ประดุจบุถุชนสิ้นสมฤดี
เล่นที่นั่นเสร็จแล้ว วิรุน และสะมาร์ก็พาพวกกำบูไปบ้านการัง ปะสันตะเหร็น เข้าในวังของนางนาหวัง จันตะหรา และนางนิลวาตี ก็และนางนิลวาตีนั้น ก็เกิดสิเนหาขึ้นในกำบูวาระคะ อัสมาหรา เพราะดูท่าทางและท่วงทีที่เล่นนั้นเปนที่ต้องใจ บัดนั้นวันก็ค่ำคืนลง จึงระเด่นปันหยี กะสุมาเข้าต้อนรับจับมือกำบู วาระคะ อัสมาหรา เพื่อจะ
จูงพาไปยังที่นอน กำบู วาระคะ อัสมาหรานั้นก็ใจเต้นชักมือหลุดออกมาเสีย แล้วระเด่น ปันหยีก็ทำซื่อ ไต่ถามข่าวคราวถึงปันหยี สะมิหรังว่า “อ้อ กำบู วาระคะ อัสมาหรา ท่านเดิรเวียนวนจากเมืองหนึ่งไปเมืองหนึ่งมาช้านานแล้วท่าน ได้ไปถึงไหนบ้าง ได้ประสบพบปะกับปันหยี สะมิหรังบ้างหรือเปล่า”
พวกกำบูได้ฟังดังนั้นก็นั่งลงชิดกับนางทั้งหลาย ซึ่งประทับอยู่ตรงหน้าระเด่นปันหยี พลางพูดว่า “อ้า ตวนกู กระหม่อมฉันทั้งปวงนี้ได้ไปเล่นในที่ต่างๆ ผ่านบ้านเมืองมาแล้วประมาณ สี่สิบหัวเมืองในดินแดนชวานี้ แต่ชื่อและเรื่องของปันหยีสะมิหรังนั้นยังไม่เคยได้ยินเลย ถิ่นฐานที่อยู่ของเขาจะชื่อว่าเมืองอะไรก็ไม่ทราบ เพราะพวกหม่อมฉันนี้เปนคนหลงทางถูกทิ้งขว้างออกมะงุมบาหราไปมา ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ และไม่ทราบว่ามีเชื้อวงศ์เผ่าพันธุ์มาอย่างไร”
สะมาร์ วิรุน และอันดากา พิศดู วาระคะ อัสมาหราก็เกิดความพิศวงงงงวยด้วยไม่เห็นผิดแผกกับเจ้านายของตน คือว่ามีรูปร่างก็สูงพอทัดเทียมกัน จะเทียบท่วงทีกิริยาก็ไม่เห็นผิดกัน จะยิ้มแย้มก็เหมือนกัน แต่ทว่าผิวของพวกกำบูนั้นขาวเหลืองนวล ประดุจผิวลางสาด๓๐ หรือขมิ้นหัวเมื่อหัก แต่ฉวีวรรณของเจ้านายตนนั้นคล้ามดำประดุจเปลือกมังคุด เมื่อเพ่งพิศหนักเข้าแล้วดูประหนึ่งดังว่าทั้งสองนั้นได้เคยพบปะรู้จักกันแล้ว แม้วิรุนก็รู้สึกว่าได้พบมาแล้ว แต่จำได้เพียงเลือน ๆ
แล้วระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็คลั่งใคล้ใหลหลงในกำบูอัศมาหรานั้น แต่ด้วยเหตุสำคัญว่าเปนชายจึงรับรองเอาเปนสหายคนหนึ่งเท่านั้น ตามความรู้สึกในหทัยไม่อยากจะจากพรากกันไปอีกเลย เวลาขึ้นเฝ้าสังระตูกากะหลัง ก็ชวนกำบูวาระคะ
อัสมาหรานั้นไปด้วย ทั้งกำบูคนอื่นๆ ก็ตามไป เมื่อสังระตูมีราชกระทู้ถามก็ทูลสนองด้วยเคารพว่า “นี่เปนสหายของข้าพระองค์” ฝ่ายสังระตูก็ทรงพิศวงยิ่งนักในอันเห็นรูปและท่วงทีกิริยาของกำบูนั้น ดูราวกับว่าเปนพี่น้องกับระเด่นปันหยี ก็และในที่เฝ้าสังระตูนั้นก็นั่งอยู่ใกล้เคียงกัน และวิรุนกับสะมาร์ และกาลัง คือพี่เลี้ยงทั้งสามนั้นนั่งเปนแถวอยู่ข้างหลัง
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย