4 ธ.ค. 2024 เวลา 03:39 • ประวัติศาสตร์

16

บัดนี้จะกล่าวถึงระตูล่าสำ กับสังระตู ปูดัก สะตะคัล ทั้งสอง​นี้เปนพี่น้องกับระตูจกรกา๓๑
ครั้นทั้งสององค์ได้ทรงฟังข่าวพี่น้องเธอ คือระตูจกรกาถูกปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ฆ่าเสียในที่รบแล้ว สององค์ก็พิโรธโกรธกริ้วกิริยาอาการดังพยัคฆชาติคำรามจะตะครุบ ทันใดนั้นจึงชุมนุมพลเสนาโยธาทัพทั้งสองกรุง แล้วออกยาตราเพื่อจะเสาะหาตัวปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะจับตัวฆ่าเสียให้อื่มหนำใจ เดิรทัพไปแซ่เสียงอึกทึกพรรฤกกำปนาท ผ่านบ้านเมืองหลายแห่งแต่ก็ยังหาพบไม่ จนกระทั่งวันหนึ่งไปถึงนครสะดายุ
ถึงที่นั้นก็ได้ทราบข่าวว่า ท้าวสะดายุได้ยอมออกและอยู่ใต้ปกครองของปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาแล้ว
ท้าวสะดายุแจ้งว่า “เวลานี้คงจะไปถึงและอยู่ที่เมืองจกรกาแล้วกระมัง”
สองระตูนั้นก็เร่งทัพรีบไปยังที่นั้น
ก็และผู้ปกครองสะดายุเวลานั้น คือผู้สำเร็จราชการแทนราชาที่วายชนม์ กล่าวคือมนตรีผู้ชราภาพนั้น
จึงผู้แทนราชานั้นว่า “ถูกแล้ว ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาผู้ซึ่ง​ฆ่าระตูจกรกานั้น ได้ปราบเอาเมืองนี้เปนเมืองขึ้นแล้วแต่บัดนี้ไป จากเมืองนี้แล้ว จะไปไหนไม่ทราบ อาจไปเมืองกากะหลัง เพื่อจะตีเอาเมืองนั้นก็ได้”
ทันใดนั้นระตูปูดัก สะตะคัล กับระตูล่าสำ ก็รีบยกไปยังเมืองกากะหลัง ไม่ช้าก็ไปถึงยับยั้งอยู่นอกนครกากะหลัง ตรัสสั่งให้ยกประสังคราหันขึ้นหลังหนึ่ง ครั้นเสร็จสร้างประสังคราหันแล้วราชาทั้งสองนั้นก็ชื่นชมสโมสร ให้เลี้ยงดูด้วยอาหารเครื่องดื่มสนุกสนานส่งเสียงสำเริงสำราญอึงมี่อยู่
ถึงวันรุ่งขึ้น ดวงตะวันยังมิทันจะยอแสง และดาวเดือนมิทันดับ รี้พลพหลโยธาสองกรุงนั้นก็ถืออาวุธคุมเชิงอยู่พร้อมสรรพ กล่าวคือปืนใหญ่ปืนเล็ก ทั้งศรธนูและหอกกริสกับอาวุธอย่างอื่นๆ อีก พร้อมเพรียงกันดีแล้วก็ออกเดิรไปสู่สนามรบสมรภูมิชัย
แล้วระตูล่าสำกับระตูปูดัก สะตะคัลก็ส่งทูตสองนายซึ่งเปนผู้กล้าหาญ สั่งให้ถือหนังสือข่าวสารเข้าไปยังในพระราชวังกรุงกากะหลังนั้น ก็และทูตนั้น นายหนึ่งชื่อคังคะ สุหรา อีกนายหนึ่งชื่อคชเมตา สองนายนี้ก็รีบเดิรเข้าไปสู่วังกากะหลังนั้นส่งเสียงตะโกนว่า “อยู่ไหนเล่า ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา กูใคร่จะประลองฤทธิกับมึง และจับเหนี่ยวเอามึงดึงไปดึงมาที่สนามรบ ด้วยกูนี้และคือศัตรูของมึง”
ไม่ช้าทูตทั้งสองนั้นก็ไปถึงวังและเข้าเฝ้าท้าวกากะหลัง ก็และท้าวกากะหลังขณนั้นกำลังประทับอยู่กับปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา กับบรรดากำบูทั้งหมดนั้น สังระตูทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ตกพระหทัย ฝ่ายระเด่นปันหยี ก็โกรธแสนสาหัสแล้วทูลสังระตูว่า ​“ดีแล้ว หม่อมฉันจะไปต่อสู้กับข้าศึกศัตรูนั้นและจับตัวมันให้ได้”
ฝ่ายอันดากากับวิรุนและกาลังก็โกรธทูตนั้นมากดุจกัน ทันใดนั้นก็เข้าตบและเตะและพูดว่า “เราแลจะเปนผู้ต่อสู้กับราชาของมึง”
ทูตทั้งสองนั้นก็เฉยไม่เอาธุระ แล้วก็กลับไปเฝ้าราชาของตนขณนั้นก็เกิดการโกลาหลในนครกากะหลัง ด้วยจะถูกระตูสองตนเข้าตีเมือง
ฝ่ายระเด่น ปันหยี ก็แต่งองค์ทรงเครื่องทัดดอกไม้สวมมาลัย๓๒ เหน็บกริสซึ่งมีนามว่ากาละมิตานีจับเลื่อนไปเลื่อนมา และขึ้นทรงอาชาอันมีชื่อว่ารังคะรังคิตนั้น แล้วก็ประทับเหนืออัศวพาหนะเสด็จออกงามดังสังหยัง บะตาระเทวราช วิรุน กาลัง และรี้พลสกลไกรทั้งมวลก็ตามเสด็จไปสู่สมรภูมิชัย ต่างโห่ร้องก้องกัมปนาทอึงมี่ไม่ขาด
เสียงเพื่อจะต่อสู้กับข้าศึกนั้น วิรุนเข้ากระทบกับทูตผู้มีนามคังคะสุหรา และกาลังผจญกับคชเมตา แล้วก็ต่อสู้รบกันเปนสามารถต่างคว้าเอวกันและยกตัวขึ้นลงส่งเสียงอึกทึกครึกโครม เมื่อใดมีทหารเอก หรือตำมะหงงตายลง พวกไพร่พลก็โห่ร้องสนั่น ทั้งตีฆ้องหม่ง ฆ้องตับ ฆ้องหมุ่ยและกลองยุทธเภรีไม่มีหยุดยั้ง
การเล่าแถลงถึงผู้ซึ่งกำลังทำสงครามอยู่นั้น บัดนี้จะหยุดยั้งไว้ก่อน จะย้อนกล่าวถึงพวกกำบู ซึ่งกำลังอยู่ในที่เฝ้าองค์สังระตูนั้น
นางนิลวาตีตรัสว่า “นี่แนะ กำบู วาระคะ อัสมาหรา บัดนี้เราพากันกลับไปตำหนักฉันเถิด ด้วยกะกันดาระเด่นปันหยีก็กำลังไป​รบพุ่งอยู่กับข้าศึก”
กำบูทั้งปวงก็น้อมเกล้าถวายบังคมลาองค์สังระตู แล้วก็เดิรไปกับสองนางบุตรีนั้น พอไปถึงจึงพาพวกกำบูไปตำหนักก้าหลุนาหวัง จันตะหราก่อน ล่วงไปไม่ช้าก็พาไปตำหนักนางนิลวาตี ก็และนางนิลวาตีนั้นมีความรักใคร่สิเนหาในกำบูวาระคะ อัสมาหรา กาลนั้นจึงสั่งให้กำบูวาระคะ อัสมาหราเล่นเรื่องละคอนปันหยี สะมิหรัง แล้วนางนิลวาตีก็ยิ่งทวีความสิเนหารักใคร่ขึ้นในหทัย จึงให้เสื้อผ้าและบุหงาต่างๆ แก่กำบูวาระคะ อัสมาหรานั้น
ก็และขณนั้นระเด่นปันหยี ยังไม่กลับจากสงคราม และยิ่งนานไปนางนิลวาตีก็ยิ่งทวีมัวเมาความรักใคร่ในกำบูนั้นยิ่งขึ้น ถึงแก่พาเอาเข้าห้องที่ไสยา
กำบูวาระคะ อัสมาหราก็ทูลว่า “โอ้ ตวนกู หม่อมฉันขอประทานอภัยนับพันอภัย ด้วยหม่อมฉันนี้เปนเพียงคนหลงทางมา ที่มาถึงนี่ก็หวังจะถวายตัวเปนข้า ควรตวนกูจะอดพระหทัยไว้ก่อน เพราะการเรื่องนั้นเปนสิ่งไม่ดี และเปนที่หวงห้ามแม้ทางโลก วันอื่นบางทีจะได้สมประสงค์ของตวนกูได้”
แล้วพวกกำบูก็ค้างแรมอยู่ ณที่นั้น
จะกล่าวถึงระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ซึ่งเวลานั้นกำลังรบอยู่กับระตูล่าสำ และระตูปูดัก สะตะคัลนั้น ระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาต่อสู้กับระตูล่าสำ ทั้งสององค์ต่างก็ตีฟัน แทงพุ่ง แทงทิ่ม และแทงหอก ส่วนระตูปูดัก สะตะคัลไม่อยากรบกับสะ
มาร์ ด้วยเหตุ​ว่าจะหนีไปทางไหน สะมาร์ก็ไล่ติดตามไป ก็และการรบและท่วงทีของปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้นว่องไวรวดเร็วมาก จนข้าศึกต่อสู้ต้านทานไม่ไหว ไพร่พลล้มตายไปเปนอันมาก ฝ่ายวิรุนกับกาลังก็ไล่ต้อนข้าศึกกระหน่ำไปไม่หยุดหย่อน และเมื่อจับได้ตัวนายทหารเอกหรือมนตรีก็ขึ้นขี่หลังเอาทำม้า ฝ่ายปาติ๊ของระตูล่า
สำนั้นเห็นรูปร่างปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ก็ตกตะลึงจังงัง ด้วยเห็นราวกับองค์สังหยังบะตาราเพิ่งลงมาจากกะยาหงันชั้นฟ้า จนรู้สึกเสียใจและลอายใจ ส่วนระตูปูดัก สะตะคัลยังวิ่งหนีสะมาร์ไล่อยู่ ไม่ช้าก็พบกันเข้ากับระตูล่าสำ ซึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น แล้ววิรุนก็เข้าผจญกับคังคะสุหรา ซึ่งดูท่าทางจะทนสู้ไปอีกไม่ไหว เพราะวิรุนจับตัวโยนขึ้นไปเบื้องบนไปลอยอยู่แล้วก็ม้วนตกลงมา การสู้รบของกาลังกับคชเมตาก็เปนอย่างว่านี้ดุจกัน
ครั้นแล้วคังคะสุหรา กับคชเมตานั้นก็วิ่งหนีไปเฝ้าราชาแห่งตนซึ่งกำลังผจญอยู่กับกะละหนาปันหยี ยาเหย็ง กะสุมานั้น พอไปถึงจึงคังคะสุหราตั้งท่าจะเข้าคว้าบั้นเอวกะละหนานั้นจากข้างหลัง แต่ทันใดนั้นกะละหนาก็ชักม้าซึ่งชื่อรังคะรังคิตนั้นกลับหลังและกระโดดไปข้างขวา และม้านั้นก็เตะและชนเอาคชเมตา ๆ ก็ล้มกลิ้งลงยังพื้นปถพี ส่วนคังคะสุหราก็ล้มคว่ำแต่ว่ากลับลุกขึ้นได้
กะละหนา ยาเหย็ง กะสุมานั้นก็ชักกริชซึ่งมีนามว่า กาละมิตานีนั้นออกจากฝักแล้วแทงเอาคังคะสุหรา ถูกที่ใต้อุระประเทศถึงทะลุโลหิตไหลใส้ทะลักออกมาข้างนอก คังคะสุหราก็ม้วยมรณ์ ฝ่าย​พหลพลนิกรกากะหลังก็โห่ร้องขึ้นพร้อมกัน
ฝ่ายคชเมตาเห็นคังคะสุหราเสียทีตายลงดังนั้น ก็โกรธ และโดดเข้าแทงสีข้างกะละหนา
ก็แต่ม้าของกะละหนานั้นโดดถอยหลังไปข้างขวาและร้อง ระเด่นปันหยีก็กะระตะอาชานั้น จึงม้ารังคะรังคิตเข้าชนทางโน้นทางนี้ จนรี้พลข้าศึกระส่ำระสาย ใครถูกเตะหรือเหยียบย่ำ ก็ล้มเหยียดลงแทบพื้นดิน หมดกำลังสิ้นสมฤดี ฝ่ายคชเมตานั้นก็โดด
เข้ามาหมายจะคว้าคอม้ารังคะรังคิต จึงกะละหนาปันหยีแทงเข้าให้ถูกที่สีข้าง คชเมตาถูกแทงถนัดดังนั้นแล้วก็ร้อง และโลหิตไหลใส้ทะลัก แล้วก็ตายในกาลนั้นดุจกัน ฝ่ายระตูล่าสำเห็นทูตทั้งสองถูกฆ่าตาย ก็พิโรธโกรธกริ้วสาหัศ วิ่งเข้าประจัญบานจะจับตัวระเด่นปันหยี ยาเหย็งกะสุมานั้นแล้วก็สู้รบกันเปนสามารถ
ก็และท่านผู้เจ้าของเรื่องนี้ ท่านเล่าแถลงต่อไปว่า เมื่อได้รบพุ่งชิงชัยกันอยู่นานแล้ว ในที่สุดระตูล่าสำกับระตูปูดักสะตะคัลนั้นก็ยอมแพ้ และการสงครามก็สุดสิ้นยุติลงเพียงนั้น องค์ท้าวกากะหลังก็ยิ่งเพิ่มพูนสิเนหาอาลัยในระเด่นปันหยีนั้นขึ้นอีกเปนอันมาก แล้วระเด่นปันหยีนั้น ก็มีนามกรเลื่องชื่อฤๅชาไปทั่วถิ่นทิศานุทิศโดยรอบกรุงกากะหลังนั้น.
จะกล่าวถึงระเด่นวิรันตะกะ ซึ่งตามระเด่นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมามาด้วยนั้น ขณนั้นก็ได้ประสบกับบิตุลา คือระตูล่าสำ กับระตูสะตะคัล จึงเข้าสวมกอดกันและกรรแสง ก็และระตูปูดักสะตะ​คัลนั้นมีราชบุตรีองค์หนึ่ง ซึ่งวงพักตรงามยิ่งนัก ทรงนามว่านางบุตรีกะสุมะวาตี ครั้นได้ยอมแพ้เปนเมืองออกแล้ว จึงถวายธิดานั้นแก่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ฝ่ายระตูล่าสำ ก็มีราชบุตรีองค์หนึ่งเหมือนกัน ซึ่งโฉมงาม ทรงนามว่านางบุ
ตรีสุมบะส้าหรี นางนี้ก็ถวายแด่ระเด่นปันหยีดุจกัน แล้วก็ชื่นชมสมสมรกษมสำราญเปนสุขทุกทิพาราตรีกาล ก็และนางซึ่งถวายและรับไว้แล้วนั้น ต่างองค์ก็ได้รับประทานที่อยู่จากระเด่นปันหยีต่างๆ แห่งกันไปในตำบลนั้น เรื่องมีมาด้วยเดชเทวานุภาพบรรดาล มีประการดังกล่าวมานี้แล
ในระวางเวลาที่ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาไปสมสู่อยู่กับนางนิลวาตีนั้น ฝ่ายก้าหลุ นาหวัง จันตะหราก็เรียกกำบูวาระคะอัสมาหราไปนอนค้าง และสั่งให้เอาเรื่องละคอนปันหยีสะมิหรังออกเล่น เพราะฉลาดสามารถเล่นเรื่องนี้ได้ดีมาก กำบูก็เล่นณที่นั้น การที่กำบูวาระคะอัสมาหราไปอยู่ที่ตำหนักก้าหลุ นาหวัง จันตะหรานี้ทราบถึงนางนิลวาตี นางก็เศร้าใจและขุ่นเคือง จึงคิดจะทูลฟ้องต่อระเด่นปันหยีว่าก้าหลุ นาหวัง จันตะหรารักกับกำบู วาระคะ อัสมาหรา
ครั้นปันหยีเสด็จกลับมายังตำหนักนางนิลวาตี นางก็ทูลฟ้องว่า “กะกันดา นางนาหวังจันตะหรานั้นกำลังรักใคร่ใหลหลงกับกำบู วาระคะ อัสมาหรา”
ระเด่นปันหยีได้ฟังนางนิลวาตีทูลดังนั้นก็พิโรธแรงกล้า จึงเสด็จไปยังที่นางนาหวังจันตะหรา ด้วยจำนงว่าจะฆ่านางเสียเทียว พอไปถึงตำหนักนางนาหวัง จันตะหรา ก็ตั้งกระทู้ถามแก่นางนั้น
​นางจึงทูลว่า “จะเปนไปได้อย่างไรที่หม่อมฉันจะไปรักกับกำบู วาระคะ อัสมาหรานั้น หม่อมฉันสั่งให้เขามาเล่นที่นี่ ก็เพราะอยากจะฟังเรื่องปันหยี สะมิหรัง ด้วยตามที่เขาว่ากันนั้นละคอนเรื่องนี้ดีและเปนเรื่องที่สนุกสนานไพเราะมาก”
หฤทัยปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็อ่อนลง แล้วก็เสด็จกลับคืนยังตำหนักนางนิลวาตี
นางนิลวาตีว่า “กะกันดานี้ชรอยจะหลงรักกำบู วาระคะ อัสมาหราเสียด้วยแล้ว ด้วยตามความคิดเห็นของหม่อมฉันนั้น กำบูนี้น่าจะเปนผู้หญิง และเปนตัวปันหยีสะมิหรังนั้นเองทีเดียวและ ควรกะกันดาจะทรงตรวจตราสอบสวนความประพฤติและความเปนไปของเขาทุกอย่างไป หม่อมฉันจะเรียกเขามานี่ แล้วจะขอให้เล่นที่นี่ เพราะเขาชอบนอนค้างที่ตำหนักหม่อมฉัน”
จึงปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา ยิ้มและตอบว่า “จะอย่างไรก็ตามใจอะดินดาเถิด”
กาลล่วงไปอีกสองวัน ก็ให้คนไปเรียกและพากำบูนั้นมายังตำหนักนางนิลวาตี และสั่งให้เล่นละคอนปันหยีสะมิหรัง กำบูนั้นก็เล่นแสดงเรื่องด้วยฟ้อนรำบิดตัวไปมา ขณนั้นตัวปันหยีสะมิหรัง กับกุดาปะรันจาและกุดาประวีระก็ออกโรง แสดงตอนท้าวกุรีปั่นสั่งให้นำเงินไปกรุงดาหา คือต่อเรื่องตอนที่เล่นค้างไว้วันก่อน ทูตกุรีปันจะไปดาหา
ถูกกุดาปะรันจากับกุดาประวีระเข้าตีชิง แล้วก็สู้รบกันเปนสามารถไม่ช้าทูตก็แตกทัพหนีกลับไปทูลความแก่ระเด่นอินู บัดดลระเด่นอินูกะระตะปาตีนั้นก็มา (ผู้ที่เล่น​เปนตัวระเด่นอินูนั้นคือ กำบู วาระคะ อัสมาหรา) แล้วก็เข้าไปในตำหนักพบกับปันหยีสะมิหรัง เลยนั่งสนทนากันอยู่จนเวลาค่ำคืน แล้วก็เลยบรรธมอยู่ที่ตำหนักนั้น
เล่นยังค้างอยู่ไม่ทันจบ แต่เพราะเหตุค่ำคืนลงแล้ว จึงหยุดยั้งไว้ก่อน แล้วพวกกำบูทั้งนั้นก็เลยนอนค้างอยู่ ณ ที่นั้น
ปันหยียาเหย็งกะสุมาก็คอยสอบสวนตรวจตราอยู่เสมอทุกอิริยาบถและกิริยาอาการของกำบูวาระคะอัสมาหรานั้น ถึงเพลาราตรีจึงเห็นกำบูวาระคะอัสมาหรากำลังร่อนแกว่งไกวตุ๊กตาทองคำภายในม่านกั้นที่นอนนั้น เพลานั้นดึกสงัดเงียบเสียงผู้คนกำลังหลับสนิธ ก็พูดกับตุ๊กตาทองคำนั้นด้วยเสียงเบาๆ กระเส่ากระซิบ ระเด่นปันหยี
ยาเหย็งกะสุมาเห็นการณ์ทั้งนี้ด้วยแอบมองที่ช่องประตูห้องนอน หฤทัยเต้นสุดที่จะทนสิเนหาเสียวกระศัลย์ได้ต่อไป จึงค่อยๆ ย่องเข้าไปในห้องที่ไสยาของกำบูวาระคะอัสมาหรานั้น ฝ่ายกำบู วาระคะอัสมาหราก็ยังพูดกับตุ๊กตาทองคำนั้นเรื่อยไปว่า “ลูกเอ๋ย ดวงยิหวาของแม่ บัดนี้พระบิดาของเธออยู่ในนครนี้แล้ว ลูกแม่คงจะได้ประสบพบกับเธอเปนแม่นมั่น”
แล้วก็กอดจูบตุ๊กตานั้น และพูดพร่ำต่อไปเปนคำกลอนว่า
โอ้อะนะกันดายอดดวงจิตต์
จงรู้เถิดเจ้าเปนกมลสิทธิ์๓๓
ของชนกระเด่นอินูทรงฤทธิ์
มารดาก้าหลุแน่ไม่ผิด
​นามเธอจันตะหรากิระหนา
ก่นแต่ถูกปองร้ายนานา
ชีพนี้ไร้ประโยชน์ไร้พาศนา
ตกเปนกำบูให้คนทัศนา๓๔
ชีพสนุกสุขเกษมไม่เคย
มีแต่กำศรดโศกไร้เสบย
เห็นสิ้นมานะ๓๕แล้วลูกเอ๋ย
ดังฤทัยท่วมน้ำจมเลย
ถ้ายังยืดเยื้อไปอย่างนี้
มัจจุราชจงคร่าห์พาหนี
รักษาใจบริสุทธิ์ดุจมณี
พร้อมแล้วยอมม้วยด้วยดุษณี
ขณนั้นปันหยี ยาเหย็ง กะสุมาก็สิ้นสติลืมองค์ โดดเข้าเปิดม่านที่ไสยานั้นแล้วจับมือกำบูวาระคะอัสมาหรานั้นไว้ ฝ่ายกำบูอื่นๆ ก็วิ่งหนีไปซ่อนตัวสิ้น เพราะคาดว่าครั้งนี้ระหัสความลับของกำบู วาระคะ อัสมาหรานั้นจะต้องเปิดเผยขึ้น เพราะระเด่นปันหยีนั้นมาล่วงรู้แล้ว ต่างก็รู้สึกมีความอาย จึงพากันวิ่งไปซ่อนตัว แต่ก่อนนี้เมื่อระเด่นปันหยีนังเฝ้าสังระตูกากะหลังอยู่พร้อมด้วยชายา ก็ได้เคยรับเอากำบูทั้งเจ็ดเปนสหาย เพราะสำคัญว่าเปนชาย แต่บัดนี้​ย่อมประจักษ์แจ้งแล้ว ว่าพวกกำบูนั้นเปนหญิงทั้งสิ้น
ระเด่นปันหยีจับมือกำบูวาระคะอัสมาหราไว้ แล้วก็จุมพิต
โฆษณา