24 ธ.ค. 2024 เวลา 05:30 • ปรัชญา

บวชหรอ EP. 7/9 นิมนต์ไปหาคุณยาย

ตอนที่แล้วผมได้เล่าประสบการณ์การเทศน์ของผม ตอนนี้จะมาเล่าประสบการณ์การนิมนต์ไปหาคุณยายนะครับ
ต้องเล่าย้อนไปก่อนว่าคุณยายผมไม่สามารถมางานบวชผมได้ เนื่องจากยายผมจัดอยู่ในผู้สูงอายุกลุ่ม homebound กึ่ง wheelchair-bound
พูดง่ายๆ คือไม่ถึงกับติดเตียงแต่ก็ไม่สามารถไปไหนไกลได้ จะออกไปไหนก็ต้องนั่งวิลแชร์ ต้องมีคนคอยดูแล
ทำให้ทุกคนตัดสินใจว่าไม่ต้องพายายไปงานบวชผมเพราะว่าลำบากยาย สงสารยาย ผมที่เดินเหินได้สะดวกกว่าก็จะเป็นฝ่ายไปหายายแทนตอนบวชแล้ว เพื่อให้ยายได้เห็นหลานในผ้าเหลือง และได้ทำบุญใส่บาตรกับพระหลาน ผมจะได้ให้พรยายให้สุขภาพแข็งแรง
ซึ่งก็ต้องเป็นเสาร์อาทิตย์ตอนที่แม่ผมว่างสามารถพามารับที่สิงห์บุรีแล้วพาไปหายายที่ปทุมธานีได้
ผมบวชวันที่ 14/07 เสาร์อาทิตย์ถัดไปคือ 20-21/07 เป็นวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา
เสาร์อาทิตย์ถัดไป วันที่ 28/07 ก็มีกิจนิมนต์ไปตักบาตรอาหารแห้งเฉลิมพระเกียรติในหลวง แล้วแม่ก็ไม่ว่างด้วย
เสาร์อาทิตย์ถัดไปผมเทศน์วันที่ 04/08 ตอนแรกก็คุยกับแม่ว่าอาจจะให้แม่มารับนิมนต์ผมกลับไปหายายวันที่ 03/08 ดีไหม
แต่ว่าแม่บอกว่าอยากให้ไปเสาร์อาทิตย์ถัดไปมากกว่า ก็คือวันที่ 10/08 เพราะว่าหยุด 3 วัน เนื่องจากวันที่ 12/08 เป็นวันแม่แห่งชาติ แม่จะได้ไม่เหนื่อยมากเพราะว่ามีเวลาพักสุดสัปดาห์บ้าง
และอีกอย่างวันที่ 03/08 ก็จะผมก็จะมีเวลาเตรียมตัวซ้อมเทศน์เยอะขึ้นด้วย ผมกับแม่ก็เลยตัดสินใจว่าวันที่ 10/08 จะนิมนต์ผมไปหายาย
เมื่อญาติๆ รู้เขาก็อยากจะทำบุญกับผมบ้าง เพราะว่าส่วนใหญ่คนที่บวชก็มักจะบวชใกล้บ้าน แล้วญาติพี่น้องก็อยากทำบุญกับพระที่เป็นญาติตัวเอง
แต่ผมมาบวชไกล ญาติหลายคนที่อยากมาทำบุญกับผมที่สิงห์บุรีแต่ไม่สะดวกมา ก็เลยใช้โอกาสนี้ที่ผมกลับไปหายาย
ทำให้ญาติหลายคนก็เลยอยากจะทำบุญเลี้ยงอาหารเพลด้วยเลย กลายเป็นว่ามีการจัดเตรียมงานเลี้ยงเพลผมที่บ้านยายเลย
ผมก็ตั้งใจเฝ้ารอที่จะได้ไปหายาย เพราะว่ายายเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก
ภาพยายเลี้ยงผมตอนเด็ก
ตอนเด็กคุณยายจะมาเลี้ยงผมจันทร์ถึงศุกร์ คุณปู่กับคุณย่ามาเลี้ยงผมศุกร์เย็น-เสาร์อาทิตย์ ส่วนคุณตาเสียตั้งแต่ผมยังไม่เกิด แล้วคุณปู่ผมก็เสียไปตอนผมอายุ 17 ทำให้คนที่มางานบวชผมมีคุณย่าคนเดียว
จนมาถึงวันที่ 07/08 วันนั้นตอนเย็นผมก็ไปทำวัตรเย็นที่โบสถ์ตามปกติ ซึ่งผมไม่ได้พกโทรศัพท์ไปด้วย
ตอนทำวัตรฝนตกหนักมาก ฟ้าร้อง พอทำวัตรเย็นเสร็จผมก็ลุยฝนกลับมาที่กุฏิ เห็นโทรศัพท์มี missed call แม่หลายสายเลย
ปรากฏว่า แม่บอกว่ายายผมเข้า ICU ตอนแรกหมอบอกว่าหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว แต่หมอปั๊มหัวใจแล้วใส่เครื่องช่วยหายใจ สักพักยายกลับมามีชีพจรใหม่ แต่หมอบอกว่าน่าจะอยู่ได้ไม่เกินเที่ยงคืน
พยาบาลเลยทักว่า คุณยายรอใครอยู่หรือเปล่า แม่และญาติก็นึกได้ทันทีว่าวันที่ 10 ที่จะถึงนี้จะนิมนต์ผมไปหายายและมีงานเลี้ยงเพลผม ทุกคนก็เลยตัดสินใจว่าจะมารับผมที่สิงห์บุรีเพื่อไปหายายที่โรงพยาบาลที่ปทุมธานี
ผมก็รีบอาบน้ำ เตรียมของใส่กระเป๋า ระหว่างรอก็นั่งสมาธิ แต่ไม่ค่อยมีสมาธิเลย พอมีสมาธิแล้วก็อธิษฐานให้กลับไปถึงโรงพยาบาลทันตอนที่ยายยังมีชีวิตอยู่ เพื่อที่ผมจะได้ให้พรยาย
หรือถ้าให้ดีกว่านั้นก็คือขอให้ยายหายดี กลับมาเห็นหลานในผ้าเหลืองและจะได้ให้ยายใส่บาตรทำบุญเลี้ยงเพลพระหลานตามที่ได้วางตั้งใจเตรียมงานไว้
แม่และญาติมาถึงวัดตอนเกือบ 4 ทุ่มครึ่ง นิมนต์ผมขึ้นรถ เป็นการนั่งรถที่ลุ้นมาก ถนนบางช่วงไฟไม่ติด ขับเร็วก็กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ ขับช้าก็กลัวจะไปไม่ทัน
นั่งรถจากสิงห์บุรีไปหายายที่โรงพยาบาลที่ปทุมธานี
ไปถึงโรงพยาบาลเที่ยงคืนกว่า ยายยังหายใจอยู่ แต่นอนหลับไม่ได้สติ ใช้เครื่องช่วยหายใจท่อระโยงระยางเต็มไปหมด
ผมก็ไปพูดข้างหูยายว่า ยายรอหลานนานไหม ยายเก่งมาก อึดมากที่รอได้ตั้งหลายชั่วโมง
จากนั้นก็ให้พรยายตามที่ตั้งใจไว้ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ตรงตามที่ตั้งใจไว้ 100% คืออยากให้พรยายตอนที่ยายมีสติ แต่อย่างน้อยก็ได้ทำเท่าที่ทำได้ แม่และญาติๆ ก็เข้ามาล้อมเตียง
ตอนนั้นชีพจรยายอยู่ที่ประมาณ 65 - 75 พยาบาลบอกว่า มาเยี่ยมได้อีกทีพรุ่งนี้ 10 โมงเช้า แต่ถ้าชีพจรต่ำหรือมีอะไรเค้าจะโทรมา
พอผมถึงบ้านตอนประมาณตี 4 ยังไม่ทันปิดประตูบ้านเลย พยาบาลโทรมาบอกว่ายายชีพจรต่ำ ให้รีบมาดูใจครั้งสุดท้าย แล้วก็ให้เตรียมเสื้อผ้า, บัตรประชาชนยายมาด้วย
ถึงโรงพยาบาล ชีพจรยายอยู่ที่ประมาณ 15 แต่ก็ยังหายใจอยู่เหมือนเดิม แล้วพยาบาลก็เอาเครื่องอะไรไม่รู้มามาติดที่ตัวยายอีก ผมก็ถามพยาบาลว่า แล้วนี่คือต้องตามหมอหรือยังไง เขาตอบว่าหมอรับรู้แล้ว
ระหว่างนั้นชีพจรก็ดังติ้ดๆๆๆๆ อยู่ ยายยังหายใจอยู่ ผมก็รอว่าเป็นเส้นตรงตี้ดยาวเมื่อไหร่ ก็เตรียมใจไว้ละจะได้ดูเวลาเสียยายด้วย อยู่ๆ พยาบาลเดินมาบอกว่าขอปิดเครื่องนะคะ ผมก็งงว่าทำไมไม่รอให้ยายชีพจรเป็นเส้นตรงไปเอง
คือผมก็ไม่ได้จะหวังให้มีปาฏิหาริย์อะไรนะ เพราะถึงแม้ว่ายายจะไม่ได้ใส่บาตร, ไม่ได้เห็นผมในผ้าเหลือง แต่อย่างน้อยก็ได้มาให้พรยายทันก่อนยายเสียชีวิตในขณะที่ยายหลับตาใส่เครื่องช่วยหายใจ (ผมก็หวังว่ายายจะรับรู้นะ)
แม่และญาติๆ ก็มากราบขอขมายาย แต่เหลือเวลาแค่ไม่ถึง 5 นาทีในการกล่าวลา เพราะพยาบาลบอกว่าให้อยู่ได้ถึงตี 3 แม่ผมก็ยังอาลัยอาวรณ์อยู่ พยาบาลก็เชิญแม่ออกมา แล้วบอกว่าให้รอถ่ายรูปหลังจัดการศพเสร็จ
ทุกคนก็มาออกมานั่งรอหน้าห้อง ICU จนถึง ตี 4 กว่า มีบุรุษพยาบาลมารับศพยาย คลุมผ้าขาวออกมาแล้วเข็นไปเลย ญาติทุกคนก็งงว่าไหนบอกจะให้เราถ่ายรูปไม่ใช่หรอ สุดท้ายก็ไม่ได้ถ่ายรูป
จากนั้นผมก็กลับบ้านไปนอน แล้ววันเย็นวันนั้นก็ไปร่วมพิธีสวดอภิธรรม ซึ่งตัดสินใจว่า จะอยู่บ้านที่กรุงเทพจนถึงวันฌาปนกิจเลย เนื่องจากผมไม่ได้บวชแบบอธิษฐานเข้าพรรษา และไม่มีใครว่างไปรับไปส่งสิงห์บุรีหลายรอบ เพราะญาติทุกคนก็ยุ่งอยู่กับงานศพกันทั้งนั้น ซึ่งผมก็บอกตรงๆ ว่า ไม่ได้รู้สึกสบายใจเลยที่เป็นพระแล้วมาอยู่บ้าน
สวดอภิธรรมคืนแรก
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมสังเกตได้คือ การเตรียมจัดงานศพนั้นมันกะทันหันและเหนื่อยมาก ทั้งติดต่อวัด แจ้งตายที่เทศบาล พิธีสวดอภิธรรมก็ต้องมาคุยกันอีกว่าจะกี่วัน (3 วัน 5 วัน 7 วัน) ทำการ์ดงานฌาปนกิจ แจ้งข่าวทุกคน หาพวงหรีด สั่ง Snack Box หรือทำอาหารเลี้ยงแขก เลือกของชำร่วย หาประธานในพิธีฌาปนกิจ เป็นต้น
เมื่อเปรียบเทียบกับงานสำคัญอื่นๆ ในชีวิต เช่น งานบวช, งานแต่งที่เราเลือกวันได้ แต่วันตายนั้น ไม่มีใครรู้ว่าความตายจะมาเมื่อไหร่
และที่สำคัญ ทุกคนสามารถบวชได้มากกว่า 1 ครั้ง หรือบางคนก็มีงานแต่งงานมากกว่า 1 ครั้ง แต่งานศพนี้มีได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น ดังนั้นงานศพจึงควรทำออกมาให้ดีที่สุด
ถ้าใครที่เป็นลูกคนเดียว การจัดงานศพให้พ่อหรือแม่ก็อาจจะเหนื่อยหน่อย เพราะอย่างในกรณีของยายผมคือมีลูกหลายคน แม่และลุงๆ ป้าๆ ก็ช่วยกัน กระจายงานกัน
หรือยิ่งไปกว่านั้น สำหรับบางคนที่เพิ่งสูญเสียอาจจะอยู่ในภาวะช็อคและปฏิเสธความจริง แล้วยังต้องมาเตรียมงานศพอีก ก็จะยิ่งทำให้ทุกอย่างถาโถมเข้ามาเกินกว่าจะรับไหว
ถึงแม้ว่ามันจะกระทันหันและเหนื่อยแค่ไหน แต่ในมุมมองของผมคือมันก็ยังมีข้อดีอยู่คือ ทำให้เราไม่ว่าง ยุ่งตลอดเวลา ทำให้ไม่ว่างไปฟุ้งซ่าน เพราะว่างเมื่อไหร่เราจะฟุ้งซ่านแล้วก็เศร้าโศกเสียใจ คิดวนไปวนมา
วันที่ 10/08 ญาติๆ ก็นิมนต์ผมไปเลี้ยงเพลที่บ้านยาย เนื่องจากบางอย่างซื้อของมาเตรียมทำไว้แล้ว บางอย่างก็สั่งที่ร้านไว้แล้ว
ถึงแม้ญาติๆ จะมากันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ก็ขาดคุณยายคนเดียวที่เป็นจุดประสงค์หลักที่ผมตั้งใจจะมากลับมาหายาย
ทุกคนต่างก็ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ ที่ยายเสียชีวิตแค่ 2 วันก่อนถึงวันที่ตั้งใจจะเลี้ยงเพล
เหตุการณ์นี้สอนผมว่า ถ้าอยากจะทำอะไร หรืออยากจะบอกอะไรกับใคร ก็ให้รีบทำก่อนที่จะสายเกินไป เพราะเราไม่รู้ว่าเขาหรือเราจะได้เจอกันอีกไหม พรุ่งนี้อาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็ได้
ผมก็ไปร่วมพิธีสวดอภิธรรมทุกคืน จนถึงคืนสุดท้ายก็จะมีพระมาแสดงพระธรรมเทศนา เมื่อถึงวันฌาปนกิจ ช่วงเช้าจะเป็นการสวดมาติกา ซึ่งมีพระมาจากวัดนี้ 7 รูป รวมผมเป็น 8 รูปแล้วก็เณรหน้าไฟที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมอีก 3 รูป
ผมและเณรหน้าไฟที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมอีก 3 รูป
แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่า ผมเคยพูดเล่นๆ กับพระพี่เลี้ยงผม หลังจากที่ผมถูกนิมนต์ไปสวดมาติกาที่สิงห์บุรีเมื่อเดือนก่อน ว่าผมอยากไปงานแบบนี้อีก มันจรรโลงใจดี เพราะว่าทำให้เรามีมรณานุสติ แต่ไม่นึกเลยว่าวันนี้ผมจะต้องมาสวดมาติกาในงานของคุณยายตัวเอง
จากนั้นก็เป็นพิธีทอดผ้าบังสุกุล กรวดน้ำ และถวายอาหารเพลแด่พระสงฆ์
มาติกา บังสุกุล
ช่วงบ่ายก็เป็นการเคลื่อนย้ายศพจากศาลาขึ้นราชรถ นำศพเวียนทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบเมรุ ซึ่งสื่อถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วนำศพเคลื่อนขึ้นไปตั้งไว้บนเมรุ
นำศพเวียนรอบเมรุ 3 รอบ
ช่วงเย็นก็จะเริ่มพิธีการด้วยการกล่าวชีวประวัติผู้วายชนม์ ซึ่งผมได้ถูกนิมนต์ขึ้นไปกล่าวชีวประวัติคุณยาย ตอนนั้นผมตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นทำไมก็ไม่รู้
และผมได้อ่านกลอนที่ผมแต่งเองให้คุณยายผมด้วย เพราะผมเป็นคนที่ชอบแต่งกลอนมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งวิชาภาษาไทยก็เป็นหนึ่งในวิชาโปรดของผมเลย แต่พอขึ้นมหาลัยก็ไม่ได้มีโอกาสนำทักษะนี้ไปใช้ พึ่งมีโอกาสนี้นี่แหละ
กล่าวชีวประวัติคุณยาย
ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการวางดอกไม้จันทน์ เมื่อแขกทุกคนมอบดอกไม้จันทน์เสร็จ แจกของชำร่วย ส่งแขกอะไรเรียบร้อย สัปเหร่อก็จะเรียกญาติๆ ขึ้นไปข้างบนเมรุ
วางดอกไม้จันทน์
จากนั้นสัปเหร่อก็จะนำลูกมะพร้าวมาเฉาะล้างหน้าศพ เพราะเชื่อว่าน้ำมะพร้าวคือน้ำที่บริสุทธิ์ เนื่องจากเป็นน้ำจากธรรมชาติที่มีที่อยู่ในเปลือกมะพร้าวห่อหุ้มอยู่
แล้วก็มาถึงขั้นตอนสุดท้าย สัปเหร่อให้ญาติผู้ชายยกโลงศพดันเข้าไปในเตา ปิดประตูเตา แล้วเขาก็เรียกเณรหน้าไฟให้ไปทำอะไรสักอย่าง
แต่เขาก็บอกว่าเปลี่ยนเป็นพระ (ผม) แทนดีกว่า จากนั้นเขาก็ให้ผมเอาดอกไม้จุ่มน้ำมนต์แล้วพรมใส่ประตูเตา 3 รอบพร้อมท่องตามเขา
พอพิธีทุกอย่างเสร็จฝนก็ตกพอดีเลย
เสร็จพิธี
ใครจะไปคิด ว่ายายผมจะเสียชีวิตเพียง 2 วันก่อนวันที่นัดกันจะนิมนต์ผมไปหายาย เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนครั้งสำคัญในชีวิตของผมที่สอนว่า ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง เราควรอยู่กับปัจจุบันให้ได้มากที่สุด
และตอนแรกตั้งใจแค่จะเขียนบอกเล่าขั้นตอนการจัดงานบวช ไม่คิดเลยว่าจะต้องเขียนบอกเล่าขั้นตอนการจัดงานงานศพด้วย
ตอนต่อไป เป็นช่วงสุดท้ายของการเป็นพระของผมในครั้งนี้แล้วนะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา