6 ม.ค. เวลา 22:34 • ปรัชญา

เริ่มจาก..หนึ่งชีวิตที่กำเนิดขึ้นมาวันแรกบนโลกใบนี้

ด้วยภาพชีวิตแรกเกิดเป็นจุดเริ่มต้นที่สื่อถึงความงดงามและความเปราะบางของการเดินทางที่กำลังจะตามมา..
เป็นเรื่องราวที่มาจากความว่างเปล่าและกลายเป็นชีวิตเล็กๆที่มีความหวัง..
เหมือนกับการสร้างความหมายขึ้นในจักรวาลที่กว้างใหญ่ บางที่อาจไม่มีอะไรมากไปกว่าการเกิดการเติบโตควบคู่ไปกับการค้นหาความหมายและการสร้างความเป็นตัวตนที่เกิดขึ้นจากการซึมซับประสบการณ์รอบตัว
ตั้งแต่วัยทารกที่เริ่มเรียนรู้จากคนรอบตัวและสภาพแวดล้อมไปจนถึงการแสวงหาความเข้าใจโลกและตัวเองที่มากขึ้นขณะโตขึ้นซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เราก้าวหน้าในทุกๆวันได้นั้นต้องมีความสมดุลในการดำเนินชีวิตอันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด..เมื่อเติบโตและดำเนินชีวิตโดยเคารพและเข้าใจต่อสิ่งรอบตัว ความสุขที่แท้จริงก็มักจะตามมา ไม่ใช่เพียงการประสบความสำเร็จทางวัตถุแต่เป็นความอิ่มเอมภายใน..
แต่..ในยุคสมัยที่ต่างกัน ภูมิหลังทางสังคม วัฒนธรรมและการเมืองก็มักจะสร้างสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมเด็กในรูปแบบที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการเติบโตและพัฒนาการของเด็กเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันวัฒนธรรมก็มีส่วนในการสร้างแบบแผนความคิด ความเชื่อ พฤติกรรมของแต่ละเจเนอเรชั่นคน ทำให้เกิดการสร้างค่านิยม ความเข้าใจที่ต่างกันเรื่องความสำเร็จ การพัฒนาตัวตน..โดยในแต่ละรุ่นอายุก็จะมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาสังคมในรูปแบบที่แตกต่างกันไปล้วนมีความสำคัญต่อการสร้างสังคมในแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน.
ถ้าเรามองลึกลงไปในความอิ่มเอมภายในของแต่ละรุ่นอายุ
ความรู้สึกที่เต็มอิ่มกับชีวิตมักแตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อม ประสบการณ์ วัฒนธรรม การดำเนินชีวิตที่เขาเเต่ละคนผ่านและซึมซับมาตลอดนั้น..มักจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย มีลักษณะที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งตายตัว
มีที่เหมือนกันคือความไม่จีรังและไม่มีอยู่จริงคงทนถาวร การเติมเต็มจะเกิดขึ้นเมื่อเราปล่อยวางจนอยู่ในสภาวะที่ยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น การรับรู้ถึงความอิ่มเอมภายใน จึงเป็นเรื่องเฉพาะแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและมุมมองของเขาเหล่านั้น..ความท้าทายที่สุดคงเป็นการปล่อยวางความพยายามที่จะบรรลุถึง..บ่อยครั้งเมื่อเราหยุดค้นหา เราอาจจะได้พบกับความลงตัวที่เป็นธรรมชาติของชีวิตสร้างสรรค์มาให้..
ฉนั้น..การเติบโตและการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในช่วงวัยเด็กหรือช่วงใดช่วงหนึ่งเฉพาะเจาะจง ย่อมส่งผลให้มนุษย์ไม่หยุดพัฒนาเพราะทุกช่วงชีวิตมักมีการค้นหาตัวตนและแสวงหาความหมายที่ซ่อนอยู่..ควบคู่ไปกับการค่อยๆค้นพบและเข้าใจ “ความอิ่มเอมภายใน”ที่เป็นรูปแบบเฉพาะของตนเอง การเติบโตจากภายในเกิดจากการเรียนรู้ที่จะเข้าใจและยอมรับตัวตนของตนเองในช่วงขณะนั้นๆพร้อมกับเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับผู้อื่นและสังคม สิ่งแวดล้อมรอบตัวของเขา..
เมื่อ..คนเราบรรลุถึงความต้องการขั้นพื้นฐานของชีวิต ความรัก ความมั่นคงปลอดภัยและการยอมรับจากผู้คนรอบข้างแล้ว..พวกเขาจะเริ่มแสวงหาความสำเร็จในเป้าหมายที่อยู่สูงกว่าระดับของการมีชีวิตอยู่เพื่อความสุขส่วนตัว..การตั้งคำถามและหาคำตอบเพื่อค้นหาความหมายที่เพิ่มพูนและชัดเจนมากขึ้นอย่างมีคุณค่า..ย่อมทำให้เกิดความอิ่มเอมภายในที่ลึกซึ้งขึ้นพร้อมกับ
การเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งในธรรมชาติของสรรพสิ่งและจักรวาล.
.จะแสดงถึงการใช้ชีวิตอย่างมีสติรับรู้ความเป็นหนึ่งเดียวกันของมนุษยชาติกับธรรมชาติรอบตัว..การที่เราสามารถเข้าใจตัวตนของเราเองและรับรู้ถึงการเชื่อมต่อและอยู่ร่วมกับธรรมชาติรอบตัวคือหนึ่งในรูปแบบของการสร้างความอิ่มเอมที่ไม่ต้องมี “ตัวตน”คือไม่ยึดมั่นกับการบรรลุในสิ่งใดอย่างเฉพาะเจาะจง..
ท้ายที่สุด “ความอิ่มเอมภายใน”อาจจะไม่ใช่ปลายทางของการใช้ชีวิตแต่เป็นการยอมรับและอยู่กับปัจจุบัน ใช้ชีวิตทุกขณะจิตอย่างมีสติจะทำให้สงบและอิสระอย่างแท้จริง.
ดังนั้น..การที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดและหล่อหลอมขึ้นได้ย่อมเป็นไปในแต่ละบุคคล ใครผ่านและซึมซับประสบการณ์ชีวิต ความเชื่อ ปัจจัยสิ่งแวดล้อมมาเช่นไรก็จะสะท้อนออกมาในมุมมองและมีความเข้าใจในสิ่งต่างๆ แตกต่างกัน การรับรู้ที่แท้จริงจึงขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความหมายที่แต่ละคนสร้างขึ้นมาจากการดำรงชีวิต
ทำให้การตีความ ความจริงเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคลอย่างแท้จริง..ในอีกมุมหนึ่งการที่แต่ละบุคคลเห็นและเข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้แตกต่างกัน..ทำให้โลกมีความหลากหลายทางความคิด ประเพณี วัฒนธรรมและความเชื่อ ความแตกต่างเหล่านี้เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรในการอยู่ร่วมกันของสังคมมนุษย์ ในบางครั้งก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน..หากขาดซึ่งการยอมรับในความแตกต่าง
การพยายามหาความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ในวิถีชีวิตและในสิ่งที่เรียกว่า “ตัวตน”เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถพยายามค้นหาและกระทำได้..แม้ว่าสิ่งที่ได้รับจะไม่มีใครผู้ใดมารับรู้ถึงความเข้าใจของคน คนนั้น แต่..ความเข้าใจนั้นเป็นเส้นทางของการเรียนรู้ไปไม่สิ้นสุด โดยไม่จำเป็นต้องหาบทสรุปที่ชัดเจน..บทจบที่งดงาม อาจไม่ใช่บทสรุป แต่..คือความสามารถในการยอมรับและตีความคำตอบจากการตั้งคำถามเหล่านี้ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าในตัวของมันเอง ให้ตัวเราได้รู้จัก ยอมรับ
“การอยู่กับปัจจุบันขณะ”พร้อมทั้งยอมรับว่าชีวิตของแต่ละคนไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็นการเดินทางหลากหลายเส้นทางที่มาบรรจบแล้วค่อยผ่านพ้นไปในทุกขณะพร้อมกับการเรียนรู้และเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้น
การเข้าใจและยอมรับว่า “ตัวตน”ที่เรายึดมั่นมาตลอดอาจเป็นเพียงแค่สิ่งชั่วคราว เปรียบเหมือนบ้านเช่าที่เรามาอาศัยอยู่เพื่อใช้ในการเรียนรู้และเติบโต
การรับรู้ถึงการไม่มีตัวตนย่อมทำให้เรารู้จักปล่อยวางไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆทำให้เราสามารถจากไปอย่างสงบและเต็มใจ..ดังนั้นการเดินทางของชีวิตจึงเป็นเรื่องของการค้นหาและทำความเข้าใจกับสิ่งที่ลึกซึ้งในตัวเรา..เมื่อรู้จักตัวตนและยอมรับความไม่เที่ยงของร่างกายนี้อย่างแท้จริงแล้วการจากไปก็อาจไม่ใช่จุดจบ..แต่เป็นเพียงการกลับสู่ธรรมชาติที่แท้จริงของเราและพร้อมที่จะจากไปจากร่างกายนี้ที่มิใช่ของเรามาตั้งแต่แรก..จากครั้งแรกที่เรามาอาศัยอยู่.
Cr.Chat GPT วิรัตน์
 
สถิตโพธิ์เชย 12/11/67 21.45น.
เป็นเรื่องราวที่มาจากความว่างเปล่า.
โฆษณา