24 ม.ค. เวลา 04:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

หนักมาก! เกินเยียวยา พิมพ์เงินดอลลาร์ ทำสงครามต่อไปไม่ไหว

...ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ มีการขุดทองคำไปแล้วประมาณ 205,000 ตัน แต่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ มีรายจ่ายสูงมากกว่ารายรับมาตลอด จนเกิดการขาดดุลงบประมาณติดลบ เกิดหนี้สาธารณะไปแล้ว 36.38 ล้านล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1,233.72 ล้านล้านบาท
มูลค่าเทียบเท่าทองคำ 605,000 ตัน หรือเกือบ 3เท่า ตั้งแต่ที่มนุษย์ขุดทองคำมาใช้ อะไรทำให้เกิดเหตุนี้? อาจเคยได้ยินว่ารัฐบาลสหรัฐฯ สามารถ "พิมพ์เงินใช้ได้เอง ตามที่ต้องการไม่มีที่สิ้นสุดนั้น" เป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก
5
เพราะกระทรวงการคลังแต่ละประเทศ ก็สามารถพิมพ์เงินเองได้เช่นกัน แต่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันในมูลค่าเทียบ เท่ากับเงินที่จะพิมพ์ออกมา เช่น ทองคำ หรือน้ำมัน เป็นต้น แต่การพิมพ์เงินดอลลาร์ในอเมริกาประหลาดมาก ไม่เหมือนชาวโลก เพราะ "ไม่ได้กระทำโดยหน่วยงานของรัฐ"
แต่ทำโดย "กลุ่มธนาคารยักษ์ใหญ่ของเอกชน" รวมกันคล้ายสมาคม เรียกว่า "ธนาคารกลาง (FED)" แต่เงินจะมีลายเซ็นต์รัฐมนตรีคลัง เบื้องหลังองค์กรนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล แต่เป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวยไม่กี่ตระกูล ที่ผูกขาดระบบเงินตรามาหลายทศวรรษ
5
สามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้เองจาก 0% ไปเรื่อยๆ ถึง 5.75% ก็ทำได้ เหมือนช่วง 2 ปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน โดยภาครัฐทัดทานอะไรไม่ได้ ส่งผลให้กระทรวงการคลังสหรัฐ ที่มีทองคำลม และตัวเลข ต้องออกพันธบัตรระยะเวลาต่างๆ ค้ำประกันขอกู้เงินจากธนาคารกลางเอกชน
ที่พิมพ์เงินออกมาให้รัฐบาลกู้ และจ่ายดอกเบี้ยแต่ละปีมหาศาลไม่จบไม่สิ้น ส่งผลให้หนี้สินของรัฐ จึงบานปลายเป็นดินพอกหางหมู ยังไม่รวมหนี้สินเจ้าหนี้ต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น จีน และชาติต่างๆทั่วโลกอีกนับไม่ถ้วน
4
รัฐบาลสหรัฐ ก็เหมือนประเทศทั่วๆ ไป คือมีรายได้หลักเข้าคลัง จากภาษี และศุลกากร รวมถึงรัฐวิสาหกิจ และสัมปทานต่างๆ แต่ต้องนำรายได้เหล่านั้น ไปจ่ายหนี้ให้บรรดาธนาคารเอกชน ในอัตราดอกเบี้ยตามแต่ที่พวกเขากำหนด
ผลที่ตามมาคือ การต้องเพิ่มภาษีพลเมืองชาวอเมริกัน บางรัฐภาษีทะยานลิ่วสูงไปเกือบ 60% ของรายรับ คนชั้นกลางและชั้นล่างทำงานหนักเท่าไร จึงถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายแทบไม่มีเหลือ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ปี 2567 ที่ผ่านมามีธนาคารขนาดต่างๆ ปิดกิจการมากถึง 754 แห่ง แสดงถึงปัญหาหมักหมมวิกฤติ
4
การที่สหรัฐ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศเป้าหมาย จริงแล้วผู้ส่งออกไม่ต้องจ่ายภาษีนั้น ยังรับเงินค่าสินค้าเท่าเดิม แต่ผู้จ่ายภาษีนั้นคือ "บริษัทนำเข้าสินค้าในสหรัฐเอง" แล้วจึงไป "บวกภาระราคาขายให้ชาวอเมริกัน" แบกรับภาษีส่วนนั้นไปเต็มๆ
จึงไม่อาจขึ้นกำแพงภาษีสูงในสินค้าโภคภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพพื้นฐานของคนส่วนใหญ่ได้ เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม พลังงาน วัตถุดิบการผลิต แต่จะทำได้กับสินค้าฟุ่มเฟือยกลุ่มคนร่ำรวยเท่านั้น เช่น สินค้าแบรนด์เนมหรู เครื่องประดับอัญมณี แอลกอฮอล์ รถยนต์ เป็นต้น
6
การที่รัฐบาลใหม่สหรัฐ ขู่ว่าจะขึ้นภาษี 60% กับจีน , ราว 10-20% ในอาเซียน หรือ 100% ประเทศที่หลีกเลี่ยงใช้ดอลลาร์ ก็หมายความว่า "ชาวอเมริกันที่ใช้สินค้าเหล่านั้น คือผู้รับภาระจ่ายภาษี และผู้เดือดร้อนตัวจริง" ที่ราคาสินค้าจะขายแพงขึ้นทั้งแผ่นดิน
จะวนเข้าสู่วัฏจักรเดิม คืออัตราเงินเฟ้อสูง ธนาคารกลางเอกชนสหรัฐ จะขึ้นดอกเบี้ยอ้างว่าต้องการลดเงินเฟ้อ แต่ผู้จ่ายดอกเบี้ยรายใหญ่ ก็คือกระทรวงการคลัง จนบักโกรกหนี้ท่วมทำเนียบขาว สุดท้ายเงินคงคลังหมด ก็ขอสภาช่วยขยายเพดานหนี้
8
และวนลูปออกพันธบัตรใหม่ กู้เงินธนาคารกลาง เอาไปจ่ายหนี้เงินต้นค้างเก่าและดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ ในขณะที่กลุ่มทุนเอกชนโยกหมุนเงินไปมา ปั่นตลาดหุ้นขึ้น แต่ละทิ้งภาคการผลิต ยิ่งดันให้ติดลบดุลการค้าพุ่งทะยาน ซ้ำเติมด้วยทั่วโลกต่าง พยายามหลีกเลี่ยงใช้เงินดอลลาร์
ตราบใดที่กระทรวงการคลังสหรัฐ ไม่ปลดแอกแก้ต้นเหตุ มีหน่วยงานธนาคารกลางเป็นของรัฐอย่างแท้จริง ควบคุมธนาคารเอกชน หนี้สินรัฐบาลก็จะไม่มีโอกาสลดลง หรือหมดไป เกิดภาวะงูกินหาง กินกลางตลอดตัว ไปถึงกินหัวนั่นเอง
5
⏩😁 ดูวิดีโอที่เกี่ยวข้องกดที่ลิ้ง👇👇
⏩ ติดตามทางยูทูป ⤵️
👇👇กดรูปหัวใจ/แชร์ไปได้เลย ⤵️⤵️
โฆษณา