27 ม.ค. เวลา 07:38 • หุ้น & เศรษฐกิจ

DeepSeek จากจีน ตัวพลิกเกม AI สู้อเมริกา

ข่าวใหญ่ที่สุดในวันนี้ DeepSeek โมเดล AI ของจีน ที่ทุกคนกำลังมองว่าจะกระทบอุตสาหกรรม AI ของสหรัฐอเมริกาทั้งระบบ
การผลิตทุกอย่างในโลกนี้ ดูเหมือนว่าสหรัฐอเมริกาจะยอมให้กับจีนไปแล้ว
2
ยกเว้นเรื่อง AI
สหรัฐอเมริกาทำทุกวิถีทางในการรักษาความได้เปรียบในการเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นการกีดกันไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตชิปคุณภาพสูงของ ASML หรือการแบนส่งออกชิปรุ่นใหม่ของ Nvidia
2
แต่มาวันนี้ DeepSeek กำลังบอกว่า บางที ชิปคุณภาพสูง ราคาแพง ก็ไม่จำเป็นสำหรับการได้โมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพ
DeepSeek กำลังทำเหมือนที่อุตสาหกรรมรถ EV ของจีน ทำกับรถ EV ของสหรัฐอเมริกา
จริง ๆ แล้วมันรวมไปถึงอุตสาหกรรมอื่นทั่วโลก
นั่นก็คือ ทำของที่มีคุณภาพใกล้เคียง แต่ราคาถูกกว่า จนคนซื้ออดใจไม่ได้..
1
และทำไมเรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ที่เปลี่ยนภาพอุตสาหกรรม AI ไปทั้งหมด ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
OpenAI ก่อตั้งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีพนักงาน 4,500 คน ใช้เงินลงทุนต่อปี 168,500 ล้านบาท
1
DeepSeek ก่อตั้งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว มีพนักงาน 200 คน ใช้เงินในการพัฒนาเพียง 190 ล้านบาท
1
ก่อตั้งไม่นาน
ใช้พนักงานน้อยกว่า 20 เท่า
และใช้งบประมาณน้อยกว่าเป็นหลายร้อยเท่า
3
มาวันนี้ DeepSeek กำลังท้าชนกับ ChatGPT ของ OpenAI โดยตรง โดยที่ต้นทุนถูกกว่ามหาศาล
DeepSeek เป็นใคร ?
1
DeepSeek เป็นโมเดล AI ที่ก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี 2023 หรือเมื่อ 2 ปีก่อนเท่านั้น.. โดยคุณ Liang Wenfeng
1
ในขณะที่ OpenAI ก่อตั้งมาได้เกือบ 10 ปี
2
ซึ่งคุณ Liang Wenfeng เป็นคนก่อตั้งบริษัทจัดการกองทุน High-Flyer ที่ใช้ AI เข้ามาช่วยในการซื้อขายหุ้น
1
ด้วยความเชี่ยวชาญด้าน AI ของบริษัท ผสมกับความหลงใหลด้าน AI ของคุณ Liang Wenfeng จึงกลายเป็นที่มาของการก่อตั้ง DeepSeek
2
ซึ่งเงินทุนส่วนใหญ่ในการพัฒนาโมเดล AI ก็มาจากบริษัท High-Flyer นั่นเอง
2
แต่ก็ต้องบอกว่า โครงการ DeepSeek อาจถูกพัฒนามาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะในปี 2021 คุณ Liang Wenfeng ทุ่มซื้อชิปจาก Nvidia หลายพันตัว เพื่อซุ่มทำโปรเจกต์ AI
1
จนในปี 2023 ก็ได้เอาโครงการ AI ออกมาก่อตั้งเป็นบริษัท DeepSeek ด้วยการสร้างโมเดล AI ที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงมาก
DeepSeek แจ้งว่าใช้เงินลงทุนเพื่อพัฒนาโมเดลแค่ 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 190 ล้านบาท
1
ในขณะที่ OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT ใช้เงินลงทุนต่อปี เพื่อพัฒนาโมเดล AI ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นเงินไทยราว 168,500 ล้านบาท
นี่ยังไม่รวมบริษัทอเมริกันรายอื่น เช่น Alphabet, Microsoft ที่ใช้เงินลงทุนด้าน AI ของตัวเอง ไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 338,000 ล้านบาท
และโครงการ AI ล่าสุดอย่าง Stargate ของสหรัฐอเมริกาที่จะมีหลาย ๆ บริษัทร่วมลงทุนกันกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยสูงถึง 17 ล้านล้านบาท
4
เรียกได้ว่า DeepSeek ใช้เงินลงทุนเพื่อพัฒนาโมเดล AI หลักร้อยล้านบาท เพื่อสร้าง AI ที่มีความสามารถน่าทึ่ง
แต่บริษัทอเมริกันใช้เงินหลักแสนล้าน หลักล้านล้านบาท
1
คำถามต่อมาคือ แล้วทำไม DeepSeek ถึงมีต้นทุนที่ถูกมากขนาดนั้น ?
1
คำตอบคือ แทนที่ DeepSeek จะเดินตามรอยการพัฒนาโมเดล AI แบบเดิม แต่กลับทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป
DeepSeek ใช้วิธีที่เรียกว่า MoE หรือ Mixture of Experts เข้ามาทำให้ต้นทุนถูกลง
2
สมมติว่า มีคำถามหนึ่งถูกถามเข้ามา DeepSeek
จะดูก่อนว่าคำถามนี้เหมาะกับการให้ผู้เชี่ยวชาญคนไหนเป็นคนตอบ เพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราถามเรื่องการเงิน โมเดลก็จะเปิดโหมดผู้เชี่ยวชาญการเงิน และเลือกปิดโหมดผู้เชี่ยวชาญในด้านอื่นแทน
วิธีนี้ทำให้ DeepSeek ลดต้นทุนได้มหาศาล เพราะเลือกเปิดโมเดลที่เกี่ยวข้องกับคำถามนั้นแค่อย่างเดียว
2
ที่น่าสนใจคือ เวอร์ชันล่าสุดของ DeepSeek ใช้ชิปประมวลผลกราฟิกจาก AMD ไม่ได้ใช้ชิปจาก Nvidia
ที่เป็นบริษัทเจ้าตลาดชิปนี้ในปัจจุบัน
1
ทำให้เรื่องนี้ ก็อาจกลายเป็นคำถามที่ตามมาว่า จริง ๆ แล้วชิปประมวลผลจากเจ้าอื่นนอกจาก Nvidia ก็สามารถพัฒนาโมเดล AI ได้ไม่ต่างกันหรือไม่
1
ซึ่งความสามารถใน AI ของ DeepSeek ตอนนี้
คือ แก้โจทย์คณิตศาสตร์ง่าย ๆ ไปจนถึงแคลคูลัส
สะท้อนให้เห็นความสามารถในการคิดเรื่องตรรกะได้ดี
2
นอกจากการใช้เงินพัฒนาโมเดลที่น้อยลงแล้ว
DeepSeek ยังตบหน้าสหรัฐอเมริกาต่อ ด้วยการเปิดโมเดล ให้ทุกคนเข้าถึงได้ในราคาถูก
3
ไม่ใช่ถูกแบบที่ต่างกันไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ถูกกว่ากันหลักร้อยเท่า..
1
และแทนที่จะพัฒนาจากคนในองค์กรแค่อย่างเดียว DeepSeek กลับเลือกเปิดโมเดลเป็น Open Source
ให้นักพัฒนาต่าง ๆ มาออกแบบต่อยอดเองได้
จึงช่วยให้ DeepSeek ลดต้นทุนมหาศาลได้อีก เพราะสามารถให้นักพัฒนาต่อยอดโมเดล AI โดยที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องลงทุนพัฒนาทั้งหมดเอง เหมือนบริษัทอเมริกันเจ้าอื่น
พอต้นทุนถูกก็ทำให้คิดราคาขายได้ต่ำลง
รายได้หลักของ AI ส่วนหนึ่งนั้นก็มาจากการขายชุดโปรแกรม API สำหรับนักพัฒนาที่อยากมาเชื่อมต่อ
1
DeepSeek สามารถตั้งราคาขายชุดโปรแกรม API ต่ำกว่า OpenAI ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงหลายเท่าตัว
1
โดยราคาเริ่มต้นของ DeepSeek อยู่ที่ 1-2 ดอลลาร์สหรัฐ
หรือราว 67 บาทเท่านั้น แต่ OpenAI มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 15-60 ดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 2,000 บาท
1
นี่เป็นราคาเริ่มต้นเท่านั้น เพราะยิ่งโมเดลซับซ้อนมากขึ้น
ต้นทุนชุดโปรแกรมตรงนี้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
1
ดังนั้น DeepSeek เลยเหมาะกับบริษัทขนาดเล็กมากกว่า
เพราะสามารถใช้เงินลงทุนไม่สูงมากนัก ก็เข้าถึง AI ล้ำ ๆ ได้
แต่ในอีกมุมก็น่าคิดเหมือนกันว่า
ที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Google, Amazon, Meta ต่างกระหน่ำลงทุน ด้วยการซื้อ GPU ของ Nvidia มาลงทุนพัฒนา AI
1
พอเห็นต้นแบบจาก DeepSeek ที่ใช้ต้นทุนต่ำกว่ามาก และทำออกมาได้ประสิทธิภาพไม่ต่างกัน
ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่า งบการลงทุนในอนาคตของแต่ละบริษัททั้งอุตสาหกรรมนี้ อาจจะถูกหยิบขึ้นมาตัดสินใจกันใหม่..
และในระยะยาว บริษัทที่ต้องการใช้เทคโนโลยี AI อาจจะใช้เงินลงทุนใน AI ลดลงกว่าที่เคยวางแผนเอาไว้
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นของ DeepSeek เท่านั้น ในตอนนี้ DeepSeek อาจโดนตั้งคำถามเรื่อง ความโปร่งใสและความปลอดภัยของข้อมูล
1
รวมถึงการตอบคำถามของ AI ที่อาจโดนเซนเซอร์โดยรัฐบาลจีน
3
นอกจากนี้ โมเดลแบบที่ให้ทุกคนเข้าถึงได้แบบ Open Source ก็ยังต้องมีผู้ใช้งานจำนวนมาก ถึงจะได้รับการยอมรับว่าใช้งานได้จริง
1
ถึงตรงนี้ แม้ DeepSeek อาจดูเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่จากจีน ถึงสหรัฐอเมริกา ก็จริง แต่ก็อาจเป็นผู้เล่นที่กำลังแข่งขันกันคนละตลาดก็เป็นได้
เรื่องนี้จะเห็นได้ว่า..
ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเน้นการพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนและใช้เงินลงทุนสูง จีนกลับเลือกพัฒนาโมเดล AI ที่อาจซับซ้อนน้อยลง ใช้เงินลงทุนน้อย แต่ราคาถูกลงมหาศาล
3
ซึ่งเรื่องนี้ก็อาจจะอยู่ในทุกธุรกิจจีนเช่นกันว่า ทำอย่างไรให้ทุกคนเข้าถึงสินค้าคล้ายกัน ในราคาที่ถูกลง
2
ไล่ตั้งแต่ เครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ตโฟน รถ EV แบตเตอรี่ แผงโซลาร์เซลล์ และในวันนี้ มาเป็นอุตสาหกรรมที่เรานึกไม่ถึงอย่าง AI
ในทุก ๆ ศตวรรษ ประเทศที่มีอำนาจในโลกนี้ จะถูกท้าทายจากประเทศใหม่ ๆ เสมอ
1
อย่างในศตวรรษก่อนหน้า ที่มีอังกฤษเป็นผู้นำ ก็ได้ถูกท้าชิงโดยสหรัฐอเมริกา และสหรัฐอเมริกาก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกได้สำเร็จในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ในตอนนี้
ถ้าจะหาประเทศไหนในโลก ที่จะมาท้าชิงสหรัฐอเมริกา
ก็คงต้องยอมรับว่า ไม่มีประเทศไหนในโลกนี้แล้ว จะมาเป็นภัยคุกคามสหรัฐอเมริกา ได้เท่ากับประเทศจีน..
1
โฆษณา