27 ม.ค. เวลา 08:02 • ประวัติศาสตร์

๑๐๑ ไป่เป็นที่ชอบเนื้อ พึงใจ ท่านนา

ผิดจากปัญหาความ โยกโย้
จึงห้ามมิให้ดไนย มาณวิก
ขับต่อท่อถ้อยโต้ ตอบสนอง
๑๐๒ แต่ไท้นาคราชให้ ธิดา
เพียรขับโดยทำนอง แนะไว้
ทุกวันปักษ์คณนา กำหนด
บว่างบเว้นไท้ เที่ยวจร
๑๐๓ พรรษกาลก็ล่วงพ้น พันนา
ตราบเท่าพุทธันดร หนึ่งสิ้น
ไป่ทราบพุทธุปปา ทะรหัสย์
แดฤดีท้าวดิ้น ประดักดาน
๑๐๔ แถลงปางสรรเพ็ชร์เจ้า จอมไตร ภพแฮ
ปางเมื่อพระผจญมาร หมดแกล้ว
ปองโปรดพุทธเวไนย นิกรสัตว์ โลกนา
เฉกชิเนนทร์โพ้นแล้ว ล่วงไป
​๑๐๕ คาบหนึ่งพระสถิตห้อง มหาวิหาร
จวบรุ่งพระตรวจไตร โลกกว้าง
ทราบเหตุแห่งอุรคาน ควรโปรด เขานา
เพียงแต่พอเขยื้อนบ้าง แบ่งเบา
๑๐๖ พระอนันตญาเณศร์แจ้ง จารึก
โดยพุทธดำเนินเนา ฝ่ายใต้
ฉายาโคกควงทรึก โสภิศ
เฉกฉัตรกางกั้งไท้ ทศพล
๑๐๗ ภูมิเพียงทิพยอาสน์ท้าว เทพา
วชิระมณฑล ที่ใกล้
พาราณสีสา กลเขตต์ เขาแฮ
เดียรดาษไปด้วยไม้ กลิ่นหอม
๑๐๘ ชรเดียดชรดื่นด้วย ดอกดวง
ทวยกิ่งทอดก้านคอม ค่อมค้อม
ทรงช่อเชิดชูพวง บุปเผศ
วัลลิ์ตวัดเวียนไม้ล้อม เวียวน
๑๐๙ พระผู้มีภาคไท้ ทัศนา
ฉะเพาะพักตรมณฑล ที่แจ้ง
บงสบอุตตระมา พหนุ่น
แรกรุ่นโฉมกล้องแกล้ง กรีดกรอ
​๑๑๐ โดยจิตต์เขาเพ่งตั้ง ตรงไป
ขันแข่งขับเพลงซอ คิดสู้
กับอนงค์อรดไนย นาคราช
ความคิดผิดเพี้ยนผู้ กระวี
๑๑๑ สรรพัญญูรู้แจ้งชัด ใจชนา
จึงเปล่งพระพุทธสีห นาทเยื้อน
ตรัสเรียกอุตตระมา นพสู่ พระแฮ
ทรงซักทราบแล้วเอื้อน โอษฐ์สอน
๑๑๒ เพลงขับสูคิดเพี้ยน ผิดความ
ปนโลกย์นิวรณ์กลอน กล่าวพ้อง
จูงเจือเกลศกาม กองทุกข์ เห็นฤๅ
จึงพระสาสน์ให้ต้อง แต่ธรรม
๑๑๓ อุตตระมานพซ้อม สัชฌาย์
สามารถปัญญาจำ จบได้
บรรลุพระโสดา ปัตติ ผลแฮ
โดยพระสาสน์ซ้อมไว้ ชัดเจน
๑๑๔ ครั้นเสร็จน้อมศิรเกล้า กราบลา
บัวบาทพระชิเนนทร์ นารถแคล้ว
จรเสริดสู่นาคมา ณวิก
ยังที่น่านน้ำแล้ว สดุดี
​๑๑๕ กัลยามาณวิกน้อย นาคินทร์
เอื้อนโอษฐ์จำเรียงที ชะม้อย
บันสานสอดเสียงพิณ เพลงขับ
ภาสิตเพราะพร้องถ้อย กล่าวไข
กึสุ อธิปติ ราชา
๑๑๖ โลกชนเกิดร่วมฟ้า ดินเดียว
เป็นใหญ่ในสิ่งใด จึ่งได้
นามราชดังฤๅเยียว ว่ายศ พระนา
ใหญ่ยิ่งสิ่งสร้างให้ หากมี
กึสุ ราชา รชสฺสิโร
๑๑๗ ดังฤๅขัติยราชได้ พระนาม
ศิโรตม์ล้วนธุลี เล่ห์ไล้
เพราะสิ่งดังฤๅความ ดำริ ท่านนา
ใดราชจะเปลื้องได้ ดังฤๅ
กถํสุ วิรโช โหติ
๑๑๘ ขัตติยาธิเบศไท้ ธิบดี
ดำริดังฤๅคือ ว่าไท้
สร่ายเสียซึ่งธุลี ลามก
เปลื้องจากศิรเกล้าได้ ดุจมาน
​กถํ พาโลติ วุจฺจติ
๑๑๙ บุคคลในโลกนี้ โลกไหน ก็ดี
โดยโลกเรียกว่าพาล แพร่พร้อง
ดังฤๅเหตุไฉนใน นาเมศ นั้นแฮ
มนุษยทั่วหล้าร้อง เรียกพาล
เกนสฺสุ วุยฺหติ พาโล
๑๒๐ คนพาลประพฤตินั้น กลใด
ดูดดื่มซึมสันดาน จึ่งต้อง
วนเวียนว่ายอยู่ใน วัฏฏทุกข์
เที่ยวเที่ยวในห้วงห้อง สมุทัย
กถํ นูทติ ปณฺฑิโต
๑๒๑ นรโลกฤๅจะได้ บรรเทา
เสียซึ่งสิ่งใดไฉน ใคร่รู้
จึงเรียกว่านามเขา เป็นปราชญ์
ยินชอบทุกถ้วนผู้ นิยม
โยคกฺเขมิ กถํ โหติ
๑๒๒ โลกชนเชื่อว่าได้ สบความ
เกษมจากโยคารมณ์ เริศร้าง
มีเบญจพิธกาม เป็นเหตุ
เพราะสิ่งใดรู้บ้าง บอกรา
​ตมฺเม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโต
๑๒๓ ปัญหาภาษิตซึ่ง สำคัญ
ยากจะวิสัชชนา นึกได้
ดั่งฤๅท่านผู้บัณ ฑิตชาติ ชาญนา
จงกล่าวจงแก้ให้ ขจัดความ
๑๒๔ อุตตระมานพได้ ฟังขับ
ล้วนแต่ภาษิตถาม ทุกข้อ
ไป่แผกไป่เพี้ยนกับ ชินสาสน์ ไว้นา
ปราโมทย์มิได้ท้อ ที่ถาม
๑๒๕ พลางขยับขับไม้ครั่น ครวญเสียง
คลายคลี่กระแสความ ขับร้อง
ไพเราะเรื่อยจำเรียง พิณคล่าว คลอนา
ปฐมบาทบทต้นพร้อง พจนไข
ฉทวาราธิปติ ราชา
๑๒๖ นรชนในโลกนี้ นามขนาน
เป็นปิ่นธิปไตยใน ที่ตั้ง
โดยห้องแห่งทวาร ทั้งหก
ไตรตรวจรอบรู้รั้ง รักษา
๑๒๗ จักษุโสตประสาททั้ง ทางฆาน
ชิวหาศกายทวา เรศร้อง
ที่สุดมโนทวาร ร่วมหก แห่งแฮ
เป็นนิจค่ำเช้าต้อง ตรวจกรม
๑๒๘ รูปรสเสียงกลิ่นสิ้น สารพรรณ์
โผฏฐัพพ์ธรรมารมณ์ ดานดับ เสียนา
รึงรัดจิตต์กระสัน อย่าให้
กันเกียจอย่าให้ใกล้ แกล่สกนธ์
๑๒๙ ผู้นั้นได้ชื่อพร้อง พระยา
ผ่านแผ่นภูมิมณฑล ที่ตั้ง
นคเรศรัฐกายา ยศโยก
ใหญ่ยิ่งผองผู้ทั้ง ธาษตรี
รชมาโน รชสฺสิโร
๑๓๐ ข้อสองซึ่งกล่าวอ้าง องค์กษัตริย์
ศิโรตม์ล้วนธุลี หลั่งล้น
โดยเหตุดั่งฤๅขัติย์ ราชริ รังแฮ
จะบริหารให้พ้น พิศวง
๑๓๑ นฤศวรราชโอ้ องค์ใด ก็ดี
เมามุ่นสันดานหลง โลภล้ำ
รูปรสกลิ่นเสียงใส สัมผัสส์
กลืนแกล่รสห้ากล้ำ เกลศกาม
​๑๓๒ ตันเหิมเติมจิตต์เอื้อ อารมณ์
โดยเหตุดังนี้นาม ว่าเกล้า
ตากเต็มธุลีลม ลงหลั่ง ล้นนา
ฉันทราคแรงร้อนเร้า ฤดี
อรชํ วิรโช โหติ
๑๓๓ ข้อสามนามว่าเจ้า จอมไผท
ศิศะจากธุลี หล่นแล้ง
ปัญหาปุจฉาใน ตรีบาท นี้นา
จะธิบายให้แจ้ง ชัดฉาน
๑๓๔ ได้แก่กษัตริย์ผู้ เพ็ญยศ
พระบวรสันดาน ไป่ได้
ยินดีรูปเสียงรส สัมผัสส์ กลิ่นแฮ
กันเกียจบให้ใกล้ แกล่กราย
๑๓๕ อารมณ์ทั้งหกไท้ เสียสละ
จากจิตต์สันดานหาย เหือดแห้ง
ธุลีเล่ห์ฉันทะ ราคเริศ ร้างแฮ
โดยราชรอบรู้แจ้ง จบเจน
๑๓๖ ผิราชยังเอิบเอื้อ อารมณ์ หกแฮ
ฤๅเบื่อฤๅบากเบน บั่นได้
นามราชศิโรดม โดยกล่าว
ปังสุเล่ห์ไล้ไว้ ตากเต็ม
​๑๓๗ โดยความเสน่ห์เกื้อ กำหนัด
หนาแน่นสันดานเล็ม ลอกล้าง
ฉวีวรรณที่สุดมัต ถะลุงคะ ประเทศแฮ
มีรูปเป็นต้นอ้าง อนุกรม
๑๓๘ เพราะเหตุดั่งนี้หาก เห็นชัด
เห็นสันดานบรม กษัตริย์แผ้ว
ฉันทราคธุลีสลัด หลุดหล่น
จากพระศิรเกล้าแกล้ว เกริกนาม
รชํ พาโลติ วุจฺจติ
๑๓๙ ในข้อจตุรบทเบื้อง ปัญหา
นรชาติเนื่องในสาม ภพนี้
นักปราชญ์เรียกพาลา ชาติเฉก ไฉนนอ
เป็นดั่งฤๅให้ชี้ ชื่อเสียง
๑๔๐ บุคคลในโลกทั้ง หญิงชาย
เมามุ่นสันดานเพียง เพียบด้วย
รูปรสกลิ่นเสียงกาย สัมผัสส์
รึงรัดไป่รู้ม้วย มืดโมห์
๑๔๑ ดั่งนี้นักปราชญ์ร้อง เรียกนาม
ทุรชนชาติพาโล กล่าวไว้
โดยเหตุที่เมากาม กำหนัด
มีรูปเป็นต้นได้ ชื่อพาล
​โอเฆน วุยฺหติ พาโล
๑๔๒ ปฤศนาที่ห้าว่า บุคคล
ประกอบกรรมใดดาน จิตต์ให้
เที่ยวท่องวัฏฏ์วังวน เวียนว่าย อยู่นา
แลว่าผู้นั้นได้ ชื่อพาล
๑๔๓ ข้อนี้ได้แก่ผู้ มีโอฆ
อันฦกเหลือประมาณ มากล้ำ
พานพัดสัตวโลก ลอยล่อง อยู่นา
ในสี่แห่งห้วงน้ำ ป่วนวน
๑๔๔ กามโอฆอาบซึ้งสุด สายตา แลเอย
ภวะโอฆอรรณพชล เชี่ยวกว้าง
ทิฏฐิโอฆอวิชชา เป็นชื่อ โอฆแฮ
ฟองเฝื่อนฟูมน้ำกว้าง กว่าไกล
๑๔๕ จตุรโอฆแอ่งนี้ รวมเป็น
ธรรมสี่ประการใน ที่อ้าง
นามเรียกว่าโอฆเห็น เหตุแห่ง ห้วงแฮ
ฦกยิ่งดูเวิ้งว้าง วิจารณ์
๑๔๖ ดั่งหนึ่งจะถั่งท้น เทลง
ท่วมทับสัตว์สันดาน ดึกน้ำ
เวียนว่ายแหวกวัฏฏ์สง สารทุกข์ นั้นนา
เอิ้นโอฆอันกว้างล้ำ ฦกเหลือ
​๑๔๗ ความว่านรชาติผู้ ใดไฉน
ยังโอฆทั้งสี่เฝือ เฝื่อนฟุ้ง
พานพัคสัตว์ลอยไหล ลงจ่อม
จมอยู่ในคู้คุ้ง คู่กัลป์
๑๔๘ รวมความนัยนี้ว่า บุคคล
จมจ่อมในโอฆอัน กล่าวไว้
สังสารวัฏฏ์วน เวียนว่าย อยู่นา
โดยเหตุดั่งนี้ได้ ชื่อพาล
โยคา นูทติ ปณฺฑิโต
๑๔๙ ข้อหกยกบทเบื้อง ปัญหา
ความว่านรชาติชาญ เชี่ยวนั้น
คือมละสิ่งใดมา มีชื่อ
ว่าปราชญ์รอบรู้ชั้น ฉลาดเฉลียว
สพฺพโยควิสํยุตฺโต
๑๕๐ คือผู้เพียรข้ามอ่าว โอฆะ
ทั้งสี่ห้วงน้ำเขรียว คิดค้น
ได้โดยอุตสาหะ เห็นเลศ
แจ้งจบจึ่งข้ามพ้น เพราะเพียร
๑๕๑ พยายามข้ามโอฆพ้น สงสาร
โดยสมัปปธานเสถียร ที่ตั้ง
วิริยะสี่ประการ ประกอบ
ทำจิตต์บให้พลั้ง พลาดธรรม
๑๕๒ โดยเพียรเพื่อมิให้ อกุศล
ทุจจริตวิบากกรรม แกล่ใกล้
สันดานแห่งตนคน ควรเรียก นามแฮ
ว่าปราชญ์เที่ยงแท้ได้ ชื่อชา
โยคกฺเขมีติ วุจฺจติ
๑๕๓ ปัญหาข้อเจ็ดพร้อง พจนะ
ความว่าเหตุไฉนชนา จะได้
นามเรียกว่าโยคะ เขมิ นั้นนา
โดยดั่งฤๅนั้นให้ อธิบาย
๑๕๔ ได้แก่ชนผู้เสพย์ สันดาน
เกษมจิตต์สุขุมหมาย ออกพ้น
โยคธรรมสี่ประการ ประกอบ
โดยเลศรอบรู้ล้น ล่วงกราย
๑๕๕ กามโยคภวะทั้ง ทิฏฐิ
อวิชาโยคขยาย ยากพร้อม
นามธรรมจตุรสิริ รวมเรียก
โยคะกอบเกื้อน้อม มนัสนำ
​๑๕๖ กอบสัตวโลกไว้ ในกอง
กำเนิดคติกำ หนดไว้
ละสิ่งละสี่ปอง เป็นบ่วง
รึงรัดสัตว์นั้นให้ ว่ายเวียน
๑๕๗ สันดานนรชาติผู้ เผด็จเข็ญ
ขาดจากโยคธรรมเบียฬ บีบคั้น
มีกามะโยคเป็น อาทิ
นามว่าชนผู้นั้น นักธรรม
๑๕๘ ปริศนาทั้งเจ็ดข้อ ความขับ
ประกอบปัญหากรรม กล่าวแก้
โดยพุทธพจนศัพท์ ภาษิต สาสน์นอ
ไพเราะเพราะพร้องแท้ ถ่องธรรม
๑๕๙ นาคินทร์ยินมลากด้วย มานพ
แก้กล่าวปัญหากรรม ถูกต้อง
พุทธภาษิตภาคจบ จำแนก ธรรมนา
กระจ่างทุกข้อขล้อง กาพย์กลอน
๑๖๐ ธแสนโสมนัสปลื้ม ปรารภ
เกินกว่าพุทธันดร หนึ่งแล้ว
ไป่เคยประสพพบ เพลงขับ
ไพเราะดั่งนี้แจ้ว จับใจ
​๑๖๑ คิดพลางทางกล่าวถ้อย สุนทรา
อ้าพ่อผู้มีไวย วุฒิแกล้ว
สมเด็จพระสัมมา สัมพุท โธแฮ
ผู้ประเสริฐพร้อมแล้ว เลื่องบุญ
๑๖๒ อดุลอดิเรกด้วย ดำรง
ศีลสุตาธิคุณ คู่แก้ว
สว่างหล้าอุบัติลง ในโลก
ส่องสัตว์สู่ฟ้าแล้ว เที่ยงธรรม์
๑๖๓ ปฤดีโดยด่วนด้วย มนิมนา
ขึ้นจากห้วงมหรร ณพเต้า
เอาเพศอย่างบุริสา โสภิศ
มาณพนำน้อมเฝ้า ชินะมาร
๑๖๔ ซอนซบศิรเกล้าเกลือก กันแสง
ปริเวทนาการ กล่าวถ้อย
กราบทูลพระผู้แรง สิบศาส ดาแฮ
เดิมเหตุแห่งข้าน้อย หนึ่งมี
๑๖๕ ปางเป็นบรรพชิตใช้ ชลยาน
ลอยแล่นในวารี รีบจ้ำ
โดยกรรมหากบันดาล ดวงจิตต์ ข้านา
ดนเด็ดใบตะใคร้น้ำ หน่อยเดียว
๑๖๖ วิบากกรรมนำจิตต์ให้ ปฏิสน ธิแฮ
เป็นนาคกายใหญ่เพรียว เพราะต้อง
อาบัติบแสดงตน จึ่งเกิด
เป็นนาคบได้พ้อง เพศชน
๑๖๗ ขยมบาทบห่อนรู้ จักรส
พระสัทธรรมสักหน สักครั้ง
ไป่สบพระสุคต เคารพ เลยนา
ภัทกัลปหนึ่งแล้วตั้ง แต่แสวง
๑๖๘ ใฝ่ฟังตั้งโสตแพ้ว ตาคอย
สยัมพุทธพระผู้แสดง ดับเศร้า
เฉกพระประทีปลอย ส่องโลก มานา
สมนึกวันนี้เกล้า กริ่มใจ
๑๖๙ ดั่งฤๅดั่งได้พบ พุทธองค์ พระเอย
เป็นอรรคบุรุษใน โลกนี้
ขอเดชพระผู้ทรง สวัสดิภาค
อนุเคราะห์แก่ข้าชี้ มรรคญาณ
๑๗๐ พระไตรโลกนารถเจ้า จอมสงฆ์
เอื้อนพจน์พุทธปริหาร พระพริ้ม
ดูกรบพิตรจง ตั้งจิตต์
เงี่ยโสตสดับแล้วลิ้ม รสธรรม
​กิจฺโฉ มนุสฺสติลาโภ กิจฺฉํ มจฺจานชีวิตํ
กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท
๑๗๑ บุทคลจะเกิดได้ โดยยาก
ยากยิ่งเพราะบุญกรรม กอปร์เกื้อ
ยากจะพบปรัถภาคย์ ภูมิเทศ
ที่พระตรัสรู้เมื้อ มรรคญาณ
๑๗๒ ยากนักที่จักได้ ทรงสดับ
พระสัทธรรมปริหาร แห่งห้อง
ทศพลพจนศัพท์ แสนยาก ยินแฮ
ยากนักจักได้ซ้อง สดับฟัง
๑๗๓ ฟังธรรมในที่แจ้ง จำเพาะ
สยัมพุทธพระผู้ยัง สัตว์ให้
แจ้งธรรมที่ไพเราะ ฤๅพบ
ฤๅพะฤๅพ้องได้ ทัศนา
๑๗๔ สรรเพ็ชรพุทธเจ้าจะ บัณฑูร
พระสัทธรรมเทศนา เอกอ้าง
คัมภีร์พุทธวรรคมูล ธรรมบท
โดยวิตถารให้กว้าง ตรัสแสดง
​๑๗๕ ดูกรบพิตรผู้ ภุชงค์ ราชเอย
ตถาคตจะกล่าวแถลง แต่ต้น
ปฏิสนธิ์สัตว์ประสงค์ เป็นมนุษย์
ใช่ง่ายยากล้นพ้น พิสัย
๑๗๖ จะยังอาตมภาพได้ เป็นมนุษย์
บุรุษสตรีใน แผ่นกว้าง
ยากนักยากที่สุด แสนยาก
ได้เพราะเพรงได้สร้าง กุศล
๑๗๗ ชีวิตแห่งสัตว์ทั้ง หลายใด
ได้ยากจะยังตน อยู่ได้
โดยสิ่งเสพย์อาศัย ปรุงชีพ เขานา
ตามเลศแต่ล้วนให้ ชอบธรรม
๑๗๘ จำต้องประกอบเกื้อ กสิกิจ
เอาเพศพานิชกรรม กอบเกื้อ
ฉนำมาศค่ำเช้านิจ นึกกอบ การนา
ปรุงชีพบร้างเรื้อ รักษา
๑๗๙ หวังให้ชีพิตนั้น ยืนยาว
เพราะชีพิตินทรีย์หา ยากได้
จะได้ละคาบคราว แสนยาก
สัตว์จะได้ด้วยไร้ อกุศล
๑๘๐ เหตุว่าชีวิตตั้ง อยู่ใน
ปริตะขณะกล ต่อมน้ำ
ไป่ยั่งไป่ยืนไป ยาวเยิ่น เลยนา
พลันจะแตกม้วยซ้ำ ดับพลัน
๑๘๑ โดยขณะอันน้อยสุด จะทรง อยู่นา
ชีวิตินทรีย์สรรพ์ สัตว์นี้
ฤๅจะยั่งยืนคง แตกดับ พลันแฮ
มีแต่จะลิ้วลี้ ลับสูญ
๑๘๒ นัยหนึ่งซึ่งจะได้ สดับฟัง
พระสัทธรรมบัณฑูร ที่ตั้ง
บุญบาปอุบัติบัง เกิดกอบ
คุณโทษถี่ถ้วนทั้ง ประโยชน์ผล
๑๘๓ สัตว์ในไตรภพพื้น พสุธา
หายากในมณฑล ทั่วแคว้น
ซึ่งจะตรัสเทศนา นำสัตว์
ผิดชอบสิ่งแร้นแค้น ใคร่เห็น
๑๘๔ สัตว์ได้โดยยากพ้น ประมาณ
อเนกนับกัลป์เป็น ที่ตั้ง
จะพบบุคคลาจารย์ จำแนก ธรรมนา
บอกสวรรค์ให้ทั้ง พระนิพพาน
​๑๘๕ ผิวพระพุทธเจ้า จอมนรา ศภฤๅ
พระปัจเจกะพุทธญาณ แก่กล้า
อีกองค์พระสงฆ์สา วกวิ ทูแฮ
โดยมากในเบื้องหน้า ปัจจุบัน
๑๘๖ จะตรัสเป็นพระสร้อย สรรเพ็ชร แลฤๅ
ประเตฺยกโพธิอัน เอกอ้าง
สราพกพุทธญาณเผด็จ ดับเกลส หล่นแฮ
จะตรัสในพื้นกว้าง กล่าวธรรม
๑๘๗ ทั้งหลายจะได้พบ เห็นเป็น
ทัศนานุตตริยกรรม แกล่ใกล้
โดยยากที่จะเห็น จะพบ พระนา
ยากสัตว์จะแจ้งได้ ทฤษฎี
๑๘๘ อันพระอริยผู้บุคค ลาจารย์
โดยมากกอปร์การี ห่อนยั้ง
จะเสร็จแก่อภินิหาร เพราะเพิ่ม เพียรแฮ
ไป่ทดไป่ท้อตั้ง ต่อฌาน
๑๘๙ อนึ่งพระอริยผู้ บุทคล
จะเสร็จอภินิหาร ห่อนพลั้ง
โดยความวิริยสน ใจส่อง แสวงนา
เพียรเพ่งจิตต์นั้นตั้ง วิริยการ
​๑๙๐ นัยหนึ่งพระอริยผู้ บุทคล
และยังอภินิหาร หากให้
อุบัติบริบูรณ์กล จิตต์เพ่ง เพียรนา
โดยด่วนบได้ได้ แต่นาน
๑๙๑ กำหนดนับด้วยโกฏิ์ แสนกัลป์
โดยสมิทธิ์ภินิหาร จึ่งได้
ตรัสเป็นพุทธสัพพัญ ญูเยี่ยง พระนา
ยังเหตุดังนี้ไซร้ สืบมา
๑๙๒ สรรเพ็ชรพระพุทธเกล้า เวไนย
ตรัสเทศนาภา ษิตซึ้ง
ควรแก่อุปนิสสัย สงเคราะห์
บุญบาปบอ้ำอึ้ง อธิบาย
๑๙๓ พระยาเอระกะปัตได้ สดับรส
พระสัทธรรมบรรยาย อย่างแก้ว
แจงธรรมจัตุรบท อุบัติภาพ
เป็นมนุษย์ในหล้าแล้ว ว่าบุญ
๑๙๔ ทั้งหลายได้ด้วยยาก เหลือเข็ญ
ผิกุศลค้ำจุน จึ่งได้
อุบัติในภพโลกเป็น บุญลาภ ยิ่งนา
สบพบจอมเจ้าไท้ ทศพล
๑๙๕ แม้ตนผิวตั้งอยู่ ในมนุษย์ ชาติแฮ
จะเสร็จโสดาผล พักนั้น
นี่หากว่าเป็นภุช ชงค์เพศ อยู่นา
จึ่งบได้ด้วยชั้น ชาติทราม
๑๙๖ เพราะว่าตนตั้งอยู่ ในชาติ
ดิรัจฉานคตินาม นาคนั้น
ไป่สฤทธิ์เพราะอำนาจ กำเนิด
แห่งนาคเพศน้ำชั้น ต่ำชา
๑๙๗ ถึงโดยเป็นดั่งนั้น ก็ดี
พระสัทธรรมสวนา นุภาพล้ำ
ผลในปัจจุบันมี ไม่เปล่า ฟังนา
ควรคู่กับเนื้อน้ำ อนุมาน
๑๙๘ จำเดิมแต่ธได้ สดับฟัง
ธรรมสวนาการ กอปร์ด้วย
ภาษิตพระศาสน์ยัง ปีติ ตื่นแฮ
ไพเราะไป่รู้ม้วย มากมูล
๑๙๙ ตั้งแต่ได้สดับรู้ รสธรรม์
นิรประจากความอาดูร เดือดดิ้น
เฉกชาติภุชงค์พรรค์ เพศนาค นั้นเลย
ในเหตุทั้งห้าสิ้น ทุกประการ
​๒๐๐ อนึ่งคือไป่ต้องปะ ฏิสนธิ์
ดั่งเพศพรรคนาคาน ขาดม้วย
ฤๅห่อนลอกคราบกล กับนาค อื่นนา
เป็นสุขดั่งนี้ด้วย บุรพผล
๒๐๑ ฤๅลงสู่ห้องนิ ทรารมณ์
สละรวดเร็วกล นาคนั้น
หนึ่งคือไป่เสพย์สม สังวาส
ด้วยนาคแหน่งน้อยชั้น ต่ำสูง
๒๐๒ นัยหนึ่งตนไป่ต้อง จุติ
เฉกนาคเพราะบุญจูง จิตต์ให้
เสวยสวัสดิ์สุขสิริ โสภาค
จากเหตุทั้งห้าได้ สุขรมย์
๒๐๓ เอาเพศมนุษย์นั้น เป็นนิจ
เพราะสบโอกาสสม จิตต์ไท้
เป็นผาสุกภาพจิตต์ ปราศจาก
บาปมิตรบกลั้วใกล้ เกลียดกาม
๒๐๔ รวมสรุปในเรื่องเบื้อง บุรพกรรม
เอระกะปัตความ ว่าครั้ง
ครองเพศสมณธรรม สองหมื่น ปีนา
อาบัติบได้ตั้ง จิตต์ทำ
​๒๐๕ มาหมิ่นเสียด้วยว่า อาบัติ
เพียงเด็ดใบไม้กำ หนึ่งน้อย
ไป่คิดจะเป่าปัด ปลงปลดเสียนา
แคลนบาปชั่วนิ้วก้อย กระทำ
๒๐๖ ถือบุญถือบวชเบื้อง บำเพ็ญ
โดยมากสองหมื่นฉนำ ขวบเค้า
อาบัติคาบหนึ่งเป็น ประมาท เสียแฮ
เสียชีพจึ่งได้เต้า ตกเป็น
๒๐๗ ดิรัจฉานอยู่ช้าชั่ว พุทธัน ดรแฮ
จึ่งประสพพบเห็น พระเจ้า
ฟังธรรมแต่พอบัน เทาทุกข์
แต่ว่าไป่สิ้นเค้า ดิรัจฉาน
๒๐๘ บุญมากบาปน้อยแต่ นิวรณ์
รึงรัดจิตต์สันดาน ดื่มไว้
เจ็บจวบจะเมื้อมรณ์ ประวัติ
บุญบาปสิ่งนั้นให้ ปฏิสนธิ์
๒๐๙ รังสฤษดิ์จบสิ้นเรื่อง เอระกะ ปัตแฮ
ในทิปนีมงคล สูตรพร้อง
หวังเป็นพุทธศาสนะ ประโยชน์
เฉกช่อเพ็ชรร้อยคล้อง คู่กรรณ
๒๑๐ ปวงท่านบัณฑิตผู้ ชำนาญ
ชำนิกาพย์โคลงฉันท์ วิพากย์แม้น
เห็นผิดอย่าหยันวาน เติมต่อ ให้แฮ
อย่าขอดอย่าข้อนแข้น ขิกหัว
๒๑๑ ระเบียบโคลงดั้นวิ วิธมา ลีแฮ
พระหฤไทยบัว แต่งไว้
หวังเป็นซึ่งคุณา นุประโยชน์
แก่ท่านผู้ที่ได้ อ่านฟัง
พระหฤไทยได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นพระราชเดชภักดี ใน พ.ศ. ๒๔๔๖
โฆษณา