Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
BeautyInvestor
•
ติดตาม
5 ก.พ. เวลา 12:26 • หุ้น & เศรษฐกิจ
🌐 เปิดโลก Palantir: เทคโนโลยีที่พลิกโฉมวงการข้อมูลในยุค AI 🤖
👉🏻 จุดเริ่มต้นของ Palantir
Palantir Technologies ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 ด้วยภารกิจที่จะช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถทำความเข้าใจข้อมูลที่มีความซับซ้อนและมหาศาลในบริบทของการป้องกันและความมั่นคง บริษัทนี้มีผู้ร่วมก่อตั้งสำคัญ ได้แก่ Peter Thiel (ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal และนักลงทุนเริ่มต้นใน Facebook), Nathan Gettings, Joe Lonsdale, Stephen Cohen และ Alex Karp ซึ่งได้ดำรงตำแหน่ง CEO ตั้งแต่ปี 2004
ในช่วงแรก Palantir เผชิญกับความยากลำบากในการดึงดูดเงินทุนจากนักลงทุน เนื่องจากหลายฝ่ายมีความสงสัยในแนวทางที่ไม่ธรรมดาของบริษัท อย่างไรก็ตามจุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อกองทุน In-Q-Tel ของ CIA ได้ลงทุนเงินจำนวน 2 ล้านดอลลาร์ และ Thiel เองก็ได้ลงทุนอีก 30 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มวิเคราะห์ของ Palantir
โดยเป้าหมายเริ่มแรกคือการปรับใช้อัลกอริทึมตรวจจับการทุจริตของ PayPal มาประยุกต์ใช้กับการแก้ปัญหาการก่อการร้ายและข่าวกรอง โดย Thiel มุ่งเน้นไปที่ “ลดการก่อการร้ายในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาสิทธิของพลเมือง” ทำให้แนวทางที่ผสมผสานระหว่างคนและข้อมูลนี้ได้วางรากฐานให้กับ Palantir ในฐานะ “บริษัทที่มุ่งเน้นภารกิจ” ที่ให้บริการแก่หน่วยงานข่าวกรองและกองทัพของสหรัฐฯ ในช่วงเริ่มต้น
📊 ความก้าวหน้าและวิวัฒนาการที่สำคัญ
ในช่วงปีแรกๆ Palantir มุ่งเน้นไปที่ลูกค้าจากภาครัฐบาลและทหารเป็นหลัก ขณะที่จุดเปลี่ยนสำคัญได้เกิดขึ้นในปี 2010 เมื่อรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ Joe Biden ได้ให้เครดิตกับซอฟต์แวร์ของ Palantir ที่ช่วยค้นหาการทุจริตในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ
การในการรับรองในที่สาธารณะครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของ Palantir ในการคัดกรองข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึก นอกจากนี้ในปี 2013 แพลตฟอร์มของ Palantir ได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างในวงการข่าวกรองของสหรัฐฯ โดยมีเอกสารที่หลุดออกมาแสดงให้เห็นว่ามีอย่างน้อย 12 หน่วยงานรัฐบาล (เช่น CIA, NSA, FBI, CDC, กองทัพ และอื่นๆ) ใช้แพลตฟอร์มของ Palantir ในการเชื่อมโยงฐานข้อมูลและปรับปรุงการแบ่งปันข้อมูลระหว่างกัน
ตลอดช่วงทศวรรษ 2010 บริษัทได้ขยายขีดความสามารถและฐานลูกค้า ซึ่งผลักดันให้มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยรายได้ของบริษัทเคยมีมูลค่าถึง 250 ล้านดอลลาร์ในปี 2011 และได้รับการประเมินมูลค่าสูงถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงปลายปี 2015 ในฐานะหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุดในซิลิคอนแวลเลย์
วิวัฒนาการของ Palantir ยังรวมถึงการขยายจากการให้บริการเฉพาะในภาคการป้องกันประเทศไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับภาคการค้า โดยบริษัทได้เริ่มพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับธุรกิจโดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูล
หลังจากเกิดการระบาดของโรค COVID-19 ในปี 2020 Palantir ได้รับความสนใจจากการมีบทบาทในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลด้านสาธารณสุข โดยซอฟต์แวร์ของบริษัทถูกใช้โดยรัฐบาลสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรเพื่อติดตามการแพร่ระบาดและจัดการการแจกจ่ายวัคซีน (เช่น แพลตฟอร์ม “Tiberius” ของ Palantir ที่ช่วยจัดสรรวัคซีนในสหรัฐฯ)
ในปี 2020 Palantir ยังย้ายสำนักงานใหญ่จาก Palo Alto ไปยัง Denver และในที่สุดได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2020 ผ่านการจดทะเบียนโดยตรงในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก การเข้าจดทะเบียนครั้งนี้เป็นสัญญาณว่า Palantir กำลังเปลี่ยนแปลงจากสตาร์ทอัพที่ข้อมูลเข้าถึงได้ยากสู่บริษัทมหาชนที่มีความโปร่งใสมากขึ้น ในปีต่อๆ มา Palantir ยังคงบรรลุจุดหมายสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกเพิ่มเข้าไปในดัชนี S&P500 ในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
ปัจจุบัน Palantir ได้วางตัวเองในฐานะบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ให้บริการแก่ลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก
🎯 จุดแข็งและจุดอ่อน
💪🏻 จุดแข็ง
- ความสัมพันธ์กับภาครัฐและสัญญาที่มั่นคง: สิ่งที่ทำให้ Palantir แข็งแกร่งคือความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับหน่วยงานรัฐบาล โดยบริษัทได้แทรกซึมเข้าไปในกระบวนการดำเนินงานของหน่วยงานด้านข่าวกรองและกองทัพสหรัฐฯ ด้วยการได้รับสัญญาที่มีมูลค่าสูงและต่อเนื่องจากหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงกลาโหม, CIA, NSA เป็นต้น ซึ่งสัญญาเหล่านี้ช่วยสร้างฐานรายได้ที่มั่นคงและเป็นหลักฐานยืนยันถึงความสามารถทางเทคโนโลยีของ Palantir
- เทคโนโลยีการรวมข้อมูลที่ล้ำสมัย: Palantir มีชื่อเสียงในด้านการรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นโครงสร้างหรือไม่เป็นโครงสร้าง เช่น รายงานข่าวกรอง ภาพจากดาวเทียม และข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย โดยสามารถค้นหารูปแบบและความเชื่อมโยงที่ยากจะตรวจพบด้วยเครื่องมือทั่วไป นับเป็นวิธีการ “เสริมความสามารถของนักข่าวกรอง” ด้วยการผสมผสานระหว่างอัลกอริทึมและการวิเคราะห์โดยมนุษย์ช่วยให้ลูกค้าสามารถดึงข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์ออกมาใช้งานได้
- ต้นทุนการเปลี่ยนระบบที่สูงและการฝังลึกในระบบลูกค้า: เมื่อ Palantir นำซอฟต์แวร์ไปใช้ในองค์กร ลูกค้าจะต้องมีการปรับแต่งและผสานเข้ากับระบบภายในอย่างลึกซึ้ง ทำให้เกิดต้นทุนในการเปลี่ยนแปลงที่สูง และเป็นเหตุผลที่ลูกค้ามักจะคงอยู่กับ Palantir เป็นระยะยาวนาน เช่น Gotham ของ Palantir ได้ช่วยเชื่อมโยงฐานข้อมูลข่าวกรองที่แยกส่วนกันของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ซอฟต์แวร์กลายเป็นส่วนสำคัญของระบบงานที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย
- นวัตกรรมและความเป็นผู้นำในด้าน AI: Palantir ได้ปรับตัวเข้าสู่โลกของปัญญาประดิษฐ์อย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 บริษัทได้เปิดตัว Artificial Intelligence Platform (AIP) เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถประยุกต์ใช้โมเดลภาษาใหญ่ (Large Language Models) และเทคโนโลยี AI อื่นๆ กับข้อมูลภายในองค์กรได้ การเคลื่อนไหวนี้ช่วยทำให้ Palantir เป็นผู้นำในด้าน AI ซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร และช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในยุค AI
🔻 จุดอ่อน
- การพึ่งพาธุรกิจกับรัฐบาล: หนึ่งในข้อจำกัดของ Palantir คือการพึ่งพาสัญญาจากภาครัฐมากเกินไป แม้ว่าสัญญาเหล่านี้จะมีมูลค่าสูง แต่ก็ทำให้บริษัทผูกพันกับการใช้จ่ายของรัฐบาลและการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยในปี 2023 ประมาณ 55% ของรายได้ของ Palantir มาจากลูกค้าภาครัฐ ซึ่งการพึ่งพานี้ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงหากงบประมาณของรัฐบาลลดลงหรือมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย
- ความท้าทายในการปรับขนาดและต้นทุนที่สูง: ซอฟต์แวร์ของ Palantir ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องปรับแต่ง บริษัทมักต้องมีการปรับแต่งอย่างลึกซึ้งและมีวิศวกรของ Palantir เข้ามาช่วยติดตั้งและปรับใช้ ซึ่งทำให้โมเดลธุรกิจมีลักษณะคล้ายการให้คำปรึกษา ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการขยายตลาดไปสู่ลูกค้าขนาดเล็กที่อาจมองว่าระบบมีราคาแพงและซับซ้อน
- การแข่งขันในตลาดการวิเคราะห์เชิงพาณิชย์: ในภาคเอกชน Palantir เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ และแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ข้อมูลที่ทันสมัย เช่น Snowflake, Databricks, IBM, Microsoft และบริษัทอื่นๆ ที่นำเสนอการวิเคราะห์ข้อมูลและ AI ที่อาจมีการติดตั้งที่ง่ายขึ้นหรือมีความสามารถเฉพาะทางมากกว่า
- ภาพลักษณ์สาธารณะและประเด็นจริยธรรม: การที่ Palantir มีส่วนร่วมในโครงการที่เกี่ยวกับการเฝ้าระวังและข่าวกรอง เช่น สัญญากับหน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายหรือการให้บริการแก่ ICE (หน่วยงานดูแลตรวจคนเข้าเมือง) ทำให้เกิดความกังวลในด้านความเป็นส่วนตัวและจริยธรรม ความขัดแย้งในประเด็นเหล่านี้อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัทและทำให้บางองค์กรเอกชนลังเลที่จะร่วมงานด้วย
🛅 ผลิตภัณฑ์ของ Palantir
ธุรกิจของ Palantir มุ่งเน้นที่ซอฟต์แวร์เป็นหลัก ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถรวมข้อมูลและดึงข้อมูลเชิงลึกออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
📌 Palantir Gotham
Gotham คือ แพลตฟอร์มแรกของ Palantir ซึ่งออกแบบมาสำหรับนักวิเคราะห์จากภาครัฐบาล ด้านการป้องกัน และข่าวกรอง โดยสามารถรวมข้อมูลที่มีทั้งโครงสร้างและไม่เป็นโครงสร้าง ตั้งแต่รายงานข่าวกรองไปจนถึงภาพจากดาวเทียม และอนุญาตให้นักวิเคราะห์สามารถวิเคราะห์และแสดงความสัมพันธ์ในข้อมูลได้ Gotham ถูกนำไปใช้โดยหน่วยงานเช่น ชุมชนข่าวกรองสหรัฐฯ และกระทรวงกลาโหมเพื่อเป็น “ระบบปฏิบัติการ” สำหรับการต่อต้านการก่อการร้ายและข่าวกรอง
ตัวอย่างเช่น นักวิเคราะห์ได้ใช้ Gotham เพื่อระบุเครือข่ายของผู้ก่อการร้ายโดยการเชื่อมโยงธุรกรรมทางการเงิน การสื่อสาร และประวัติการเดินทาง แพลตฟอร์มนี้มีฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ความเชื่อมโยง แผนที่ และการแจ้งเตือน ซึ่งช่วยให้นักวิเคราะห์ “เชื่อมจุด” เพื่อป้องกันภัยคุกคาม
ทั้งนี้ Gotham มีผลกระทบอย่างมากต่อภาคการป้องกันโดยได้รับเครดิตว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยปฏิบัติการในเขตสงครามโดยให้มุมมองแบบเรียลไทม์ที่รวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เข้าด้วยกัน (นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า กองทัพยูเครน ยังใช้ Palantir Gotham เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ในสนามรบอีกด้วย)
📌 Palantir Foundry
Foundry คือ แพลตฟอร์มของ Palantir สำหรับลูกค้าภาคเอกชนและรัฐบาลที่ไม่ใช่ภาคการป้องกัน ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับความสามารถในการรวมข้อมูลในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การเงิน สุขภาพ พลังงาน และการผลิต แนวคิดหลักของ Foundry คือ “เปลี่ยนข้อมูลที่มีความสลับซับซ้อนและกระจัดกระจายให้มีประโยชน์” โดยการสร้างภาพรวมแบบรวมศูนย์ด้วยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ภายในองค์กร ทำความสะอาดและปรับให้เป็นมาตรฐาน จากนั้นอนุญาตให้ผู้ใช้งานวิเคราะห์และสร้างแอปพลิเคชันเฉพาะตัวขึ้นมา
Foundry ช่วยให้องค์กรสามารถแตกแยกข้อมูลที่แยกกันอยู่ในฐานข้อมูลหรือไฟล์สเปรดชีต รวมถึงข้อมูลจากเซ็นเซอร์แบบเรียลไทม์ โดยลูกค้าสามารถสร้างโมเดลและการจำลอง (เช่น การพยากรณ์การบำรุงรักษาเครื่องจักรในโรงงานหรือการปรับปรุงซัพพลายเชน) ผ่านเครื่องมือของ Foundry
ลูกค้าชั้นนำที่ใช้ Foundry มีตั้งแต่ Airbus, Merck KGaA, Morgan Stanley, Ferrari และ PG&E ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประยุกต์ใช้ในหลายภาคส่วน ตัวอย่างเช่น Airbus ใช้ Foundry เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตเครื่องบิน และในภาคสุขภาพ Foundry ถูกนำไปใช้ในการรวมข้อมูลโรงพยาบาลระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรเพื่อรับมือกับการระบาดของ COVID-19 ด้วยการให้แพลตฟอร์มเดียวที่ทั้งนักเทคนิคและผู้ใช้งานทั่วไปสามารถทำงานร่วมกันได้ ดังนั้น Foundry จึงเป็นส่วนสำคัญในความพยายามของ Palantir ในการขยายตลาดภาคเอกชน
📌 Palantir Apollo
Apollo มักถูกอธิบายว่าเป็น “โครงสร้างพื้นฐานที่มองไม่เห็น” ที่สนับสนุนแพลตฟอร์มอื่นๆ ของ Palantir โดยมันเป็นระบบสำหรับการส่งมอบและปรับปรุงซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง และช่วยให้ Palantir สามารถอัปเดตและจัดการ Gotham และ Foundry ในเครือข่ายของลูกค้าได้อย่างปลอดภัยแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยสูงหรืออยู่ในสถานที่ที่ห่างไกล
ลูกค้าภาครัฐหลายรายของ Palantir ใช้งานซอฟต์แวร์ในคลาวด์ที่มีการจำกัดระดับความลับหรือเซิร์ฟเวอร์ในสถานที่ที่ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดย Apollo จะช่วยให้สามารถส่งการอัปเดตและฟีเจอร์ใหม่ๆ ไปยังระบบเหล่านี้โดยไม่กระทบต่อความปลอดภัยหรือความต่อเนื่องในการทำงาน
โดยสรุป ถ้า Gotham และ Foundry คือแอปพลิเคชัน Apollo ก็คือเครื่องยนต์ด้านการพัฒนาและบริหารจัดการที่ทำให้แอปพลิเคชันเหล่านี้สามารถอัปเดตได้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำงานบนคลาวด์ ในศูนย์ข้อมูลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งบนแล็ปท็อปในเขตสงคราม
เทคโนโลยีนี้เกิดจากความจำเป็นที่ Palantir ต้องให้บริการซอฟต์แวร์แก่ลูกค้าที่มีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยสูง ซึ่ง Apollo ใช้สถาปัตยกรรมแบบไมโครเซอร์วิสในการผลักดันการอัปเดตและการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าผ่านสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้ Palantir สามารถให้บริการซอฟต์แวร์ในรูปแบบ “as-a-service” แม้กับลูกค้าที่มีความต้องการด้านความปลอดภัยสูง
📊 การเติบโตแบบก้าวกระโดด
การเดินทางทางการเงินของ Palantir สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากสตาร์ทอัพที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วแต่ขาดทุน ไปสู่บริษัทมหาชนที่เริ่มมีความสามารถทำกำไร รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มจาก 595 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 ไปถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 ซึ่งการเติบโตดังกล่าวนี้ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีประมาณ 30%
ขณะที่ในไตรมาสล่าสุด (Q4/2024) รายได้เติบโตถึง 36% จากปีก่อนหน้า ส่วนรายได้ทั้งปีเติบโต 29% จากปี 2023 ขณะที่กำไรต่อหุ้น (EPS) เติบโตถึง 75% จากปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดการประเมินมูลค่าของ Palantir แสดงให้เห็นถึงความคาดหวังต่อการเติบโตในระดับสูงมาก โดยอัตราส่วน P/E (ราคาต่อกำไร) อยู่ในระดับสูงกว่า 500 เท่า ซึ่งถือว่าสูงมากๆเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาด
นอกจากนี้ อัตราส่วน P/S (ราคาต่อยอดขาย) ของ Palantir ก็อยู่ในระดับสูงเช่นกันที่ 81.63 เท่า ซึ่งจุดนี้เองถือเป็นความเสี่ยงหากบริษัทไม่สามารถเติบโตตามที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันตัวเลขที่สูงเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูงและมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในยุคที่มีความนิยมในหุ้น AI
อนาคตของ Palantir จะสามารถก้าวขึ้นมาเป็น 1 ในผู้นำด้าน AI ได้หรือไม่ หรือจะเป็นแค่ดาวรุ่งพุ่งแรงแล้วหายไป เป็นสิ่งที่น่าติดตามกันต่อจริงๆค่ะ
หุ้น
การลงทุน
การเงิน
2 บันทึก
6
3
4
2
6
3
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย