11 ก.พ. เวลา 13:36 • ครอบครัว & เด็ก

ผลกระทบทางจิตใจของเด็กที่ถูกกระทำร้ายร่างกาย

ผลกระทบทางจิตใจของเด็กที่ถูกกระทำร้ายร่างกาย
การถูกกระทำร้ายร่างกายในวัยเด็กส่งผลกระทบร้ายแรงต่อพัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม เด็กที่ตกเป็นเหยื่อมักเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิต ความบกพร่องในการเรียนรู้ และมีความเสี่ยงสูงในการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว รวมถึงปัญหาสุขภาพเรื้อรังในระยะยาว
ผลกระทบทางจิตใจและพฤติกรรม
เด็กที่ถูกกระทำร้ายร่างกายมักเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตต่างๆ เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า และ PTSD (Post-traumatic stress disorder) พวกเขามักรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยในชีวิต ขาดความไว้วางใจในผู้อื่น และโลกภายนอก นอกจากนี้ ยังมีความภาคภูมิใจในตนเองต่ำ รู้สึกไร้ค่า และไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง
พฤติกรรมเมื่อเติบโตขึ้น
เมื่อเติบโตขึ้น เด็กที่เคยถูกกระทำร้ายร่างกายมักแสดงพฤติกรรมต่างๆ ดังนี้
* ไม่กล้าถูกปฏิเสธ: เนื่องจากกลัวการเผชิญหน้า กลัวความขัดแย้ง และกลัวการถูกทำร้ายซ้ำ
* ยอมทำตามความต้องการคนอื่นอย่างว่าง่าย: เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปฏิเสธ หรือการทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ
* ไม่มีความต้องการของตัวเอง: เนื่องจากในวัยเด็กถูกกดขี่ ถูกบังคับ จนขาดความเชื่อมั่นในความต้องการของตนเอง
ผลกระทบระยะยาวจากการถูกกระทำร้ายร่างกายในวัยเด็กยังรวมถึง:
* ความยากลำบากในการสร้างสัมพันธภาพที่ดี: เกิดจากการขาดทักษะทางสังคม และความไว้วางใจในผู้อื่น เด็กที่ถูกทำร้ายอาจมีปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงและไว้วางใจได้ อาจมีพฤติกรรมห่างเหิน หรือพึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป
* เพิ่มความเสี่ยงในการใช้สารเสพติด: การถูกกระทำร้ายร่างกาย เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เด็กมีแนวโน้มที่จะใช้สารเสพติด เช่น แอลกอฮอล์ บุหรี่ หรือยาเสพติด เพื่อหลีกหนีความเจ็บปวดทางใจ
* อัตราการเกิดปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่สูงขึ้น: เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคอ้วน ซึ่งอาจเกิดจากความเครียดสะสม และการขาดการดูแลสุขภาพ
สาเหตุที่เด็กที่ถูกกระทำร้ายร่างกายไม่มีความต้องการของตัวเอง
* การถูกกดขี่ทางอารมณ์: เด็กที่ถูกกระทำร้ายร่างกายมักถูกกดขี่ทางอารมณ์ควบคู่กันไปด้วย เช่น ถูกดุด่า ถูกดูหมิ่น ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้เด็กขาดความเชื่อมั่นในตนเอง และไม่กล้าแสดงความต้องการของตนเองออกมา ตัวอย่างเช่น เด็กอาจถูกดุว่าโง่ ไร้ค่า หรือเป็นตัวปัญหา ทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า และไม่ควรมีความต้องการใดๆ
* การขาดการสนับสนุน: เด็กที่ถูกกระทำร้ายร่างกายมักไม่ได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ทำให้เด็กไม่กล้าแสดงออก และไม่กล้าที่จะมีความต้องการของตัวเอง เช่น พ่อแม่อาจไม่สนใจความรู้สึก หรือความต้องการของเด็ก ไม่ให้กำลังใจ หรือไม่ให้โอกาสเด็กได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง
* ความกลัว: เด็กที่ถูกกระทำร้ายร่างกายมักมีความกลัวว่าหากแสดงความต้องการของตัวเองออกมาจะทำให้ถูกทำร้าย จึงเลือกที่จะเก็บกดความต้องการของตนเองไว้ เช่น เด็กอาจเคยถูกทำโทษ เมื่อแสดงความต้องการที่ขัดกับผู้ปกครอง ทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะเก็บกดความต้องการของตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทำร้าย
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
* ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม: ทฤษฎีนี้เน้นว่าพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการเรียนรู้ผ่านการสังเกต การเลียนแบบ และการได้รับการเสริมแรง เด็กที่ถูกกระทำร้ายร่างกายเรียนรู้จากประสบการณ์ว่าการแสดงความต้องการของตนเองออกมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัย และอาจนำไปสู่การถูกทำร้าย ดังนั้น พวกเขาจึงเลือกที่จะเก็บกดความต้องการของตนเองไว้ ตัวอย่างเช่น เด็กที่เห็นพ่อแม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา อาจเรียนรู้ที่จะใช้ความรุนแรงเช่นกัน
* ทฤษฎีจิตวิเคราะห์: ทฤษฎีนี้เน้นถึงอิทธิพลของประสบการณ์ในวัยเด็กที่มีต่อพัฒนาการทางบุคลิกภาพ เด็กที่ถูกกระทำร้ายร่างกายอาจมีบาดแผลทางใจ ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ และทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้ามีความต้องการของตัวเอง และยอมทำตามความต้องการคนอื่นอย่างว่าง่าย เช่น เด็กที่ถูกทอดทิ้ง อาจพัฒนาบุคลิกภาพแบบพึ่งพา และต้องการการยอมรับจากผู้อื่นมาก จนไม่กล้าแสดงความคิดเห็น หรือความต้องการของตัวเอง
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
งานวิจัยหลายชิ้นสนับสนุนความเชื่อมโยงระหว่างการถูกกระทำร้ายร่างกายในวัยเด็กกับปัญหาสุขภาพจิตและพฤติกรรมในระยะยาว ตัวอย่างเช่น งานวิจัยของ Widom (1989) พบว่าเด็กที่ถูกกระทำร้ายร่างกายมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล และ PTSD ในวัยผู้ใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า การถูกกระทำร้ายร่างกายในวัยเด็ก สัมพันธ์กับ การใช้สารเสพติด ปัญหาการควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรมก้าวร้าว ในวัยผู้ใหญ่
การป้องกัน
สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าการถูกกระทำร้ายร่างกายมักเป็นวัฏจักร เด็กที่ตกเป็นเหยื่อมีความเสี่ยงสูงที่จะกลายเป็นผู้กระทำความรุนแรงในอนาคต การทำลายวงจรนี้จำเป็นต้องอาศัยความพยายามในการป้องกัน เช่น การให้ความรู้แก่พ่อแม่ เกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตร การจัดการความเครียด และการควบคุมอารมณ์ รวมถึงการสร้างระบบสนับสนุน สำหรับครอบครัวที่มีความเสี่ยง
วิธีการช่วยเหลือ
* การบำบัดทางจิตวิทยา: เพื่อช่วยให้เด็กสามารถจัดการกับบาดแผลทางใจ และพัฒนาความภาคภูมิใจในตนเอง การบำบัดอาจรวมถึง การให้คำปรึกษา การบำบัดแบบกลุ่ม หรือการบำบัดด้วยการเล่น
* การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้: เพื่อให้เด็กรู้สึกปลอดภัย และได้รับการสนับสนุน ผู้ใหญ่อาจเป็น พ่อแม่ ญาติ ครู หรือผู้ให้คำปรึกษา
* การส่งเสริมทักษะทางสังคม: เพื่อให้เด็กสามารถสื่อสารความต้องการของตนเองได้อย่างเหมาะสม และสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น เช่น การสอนทักษะการสื่อสาร การแก้ปัญหา และการจัดการความขัดแย้ง
บทสรุป
การถูกกระทำร้ายร่างกายในวัยเด็กส่งผลกระทบร้ายแรงต่อพัฒนาการทางจิตใจของเด็ก ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะไม่กล้าถูกปฏิเสธ ยอมทำตามความต้องการคนอื่นอย่างว่าง่าย และไม่มีความต้องการของตัวเอง ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมอธิบายว่าเด็กเรียนรู้จากประสบการณ์การถูกทำร้าย ทำให้ไม่กล้าแสดงความต้องการของตนเอง ส่วนทฤษฎีจิตวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า บาดแผลทางใจจากการถูกทำร้าย ส่งผลต่อพัฒนาการบุคลิกภาพ และทำให้เด็กไม่กล้าแสดงออก
การช่วยเหลือเด็กที่ถูกกระทำร้ายร่างกายจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งครอบครัว โรงเรียน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เด็กสามารถเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพจิตที่ดี และสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข ที่สำคัญ การป้องกันการกระทำร้ายร่างกายในเด็ก และการทำลายวงจรความรุนแรง เป็นสิ่งที่สังคมควรให้ความสำคัญ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย สำหรับเด็กทุกคน
โฆษณา