16 ก.พ. เวลา 15:03 • หนังสือ

ลูกขว้างปีศาจ

อีกเล่มที่อ่านจบก่อนเพื่อนร่วมชั้นครับ เป็นสืบสวนเกี่ยวกับวัยเรียนเช่นกัน เล่มนี้ให้ความรู้สึกปวดใจยิ่งกว่า อ่านไปก็นึกถึงมังงะเรื่อง H2 ของ อ.อาดาจิ ลอยขึ้นมาในหัว ช่วงเวลาที่พิมพ์ในญี่ปุ่นก็เป็นช่วงยุค 90 ใกล้เคียงกัน โดยนิยายเรื่องนี้พิมพ์ปี 2534 ส่วน H2 ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2535-2542
#ลูกขว้างปีศาจ
สนพ.ไดฟุกุ พิมพ์ปี 2566
ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน
วิลาสินี สาโรวาท แปล
272 หน้า 290 บาท
ช่วงที่ผ่านมาอ่านหนังสือของไดฟุกุติดต่อกันหลายเล่มมากโดยไม่ตั้งใจ และได้เป็นคนแรกที่ประเดิมยืมเล่มนี้จากห้องสมุดด้วย จึงได้เห็นการประทับตราสัญลักษณ์ชื่อห้องสมุดกันต่อหน้าตอนนั้นเลย ชอบภาพวาดและการให้สีของปกจัง ความจริงดูเรียบๆไม่มีอะไร แต่องค์ประกอบการจัดวาง ตำแหน่งและสัดส่วนโดยรวมทุกอย่างรวมกันแล้วทำให้ภาพที่ออกมามีพลังแห่งการดึงดูดสายตา โดยเฉพาะลูกเบสบอลที่เปื้อนเลือดก็สื่อความหมายแทนคำบรรยายได้ดีทีเดียวครับ
ไปเข้าสู่เนื้อหากันดีกว่า
คู่หูแคชเชอร์และพิชเชอร์ ชั้นม.ปลายปีสุดท้ายของโรงเรียนไคโยได้แก่ อากิระและทาเกชิ สามารถนำพารร.โนเนมผ่านเข้ารอบคัดเลือกเอาชนะทีมจากรร.ตัวเต็งมาจนถึงรอบสุดท้ายอันเป็นรอบตัดสินผลว่าทีมใดจะได้ตั๋วไปสู่โคชิเอ็ง ที่เป็นการแข่งขันชิงแชมป์เบสบอลระดับม.ปลายทั่วประเทศ ในการแข่งขันครั้งนั้น สถานการณ์ทำท่าจะไปได้ดีมาโดยตลอด ทว่าในช่วงเกมสุดท้ายนั้นเอง ความผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นขณะที่ทาเกชิขว้างบอลลูกสุดท้าย ที่เป็นการตัดสินชี้ชะตาของทุกคนในทีม ผลปรากฏว่ารร.ไคโยพ่ายไปในที่สุด
⚾️
จากเหตุการณ์นั้น เรื่องรันไปสู่อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน เกิดเหตุพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ พบระเบิดในห้องน้ำของแผนกที่ตนทำงานจึงแจ้งตำรวจ ผลการพิสูจน์ออกมาว่าเป็นระเบิดจริงแต่ไม่ตั้งใจให้กลไกทำงาน คล้ายจะจงใจข่มขู่หรือกลั่นแกล้ง ซึ่งทางตำรวจท้องที่ยังไม่อาจตามหาตัวคนก่อเหตุ ขณะที่ทางด้าน รร.ไคโยมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น คือมีคนพบศพนักเรียนคนหนึ่งจากชมรมเบสบอล น่าจะถูกคนร้ายฆ่าตายระหว่างช่วง3-4ทุ่ม ขณะออกไปนอกบ้านกับสุนัขคู่ใจ
แล้วทั้งคนและสัตว์ก็ประสบชะตากรรมเสียชีวิตอย่างอนาถในสภาพน่ากลัว ตรงทางสายเปลี่ยวแห่งหนึ่งไม่ห่างไกลจากโรงเรียน และหอพักของอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมเบสบอลนัก ตำรวจท้องที่รับผิดชอบจึงต้องเข้ามาสืบหาเบาะแสและสอบถามบรรดาผู้เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับผู้ตาย ได้แก่อาจารย์ที่เป็นผู้คุมทีม เพื่อนร่วมทีม และญาติของผู้ตาย รวมถึงเพื่อนที่น่าจะสนิทกันที่สุดอย่างทาเกชิ เพราะผู้ตายคือคู่หูที่เป็นแคชเชอร์ของเขา
⚾️
เรื่องราวดูจะมีเงื่อนงำเบื้องหลังที่เกี่ยวพันไปถึงความสัมพันธ์ของใครหลายคนที่ตำรวจไม่ทราบ บรรยากาศในรร.ไม่ค่อยดี ในระหว่างที่เหตุการณ์ยังอึมครึม ก็เกิดคดีประหลาดขึ้นอีกทางด้านบริษัทซึ่งถูกลอบวางระเบิดคราวก่อนในอีกท้องที่รับผิดชอบ คือมีคนส่งจดหมายมาระบุว่าคือคนที่วางระเบิด และขู่ว่าให้ประธานบริษัทเตรียมเงินจำนวนหนึ่ง นำมาให้ที่จุดนัดพบตัวคนเดียว ทว่าสุดท้ายกลับไม่เอาเงินไป แถมหลอกล่อจนตำรวจที่ตามสังเกตการณ์พลาดท่าจนประธานหายตัวไป
แต่ภายหลังก็กลับมาเองอย่างปลอดภัย แต่แจ้งว่าไม่พบใครเพราะถูกโปะยาสลบ ฟื้นขึ้นมาในตึกร้างใกล้บ้านจึงเดินกลับมา
⚾️
แล้วก็เกิดเรื่องสะเทือนขวัญครั้งที่สองกับนักเรียนชมรมเบสบอลรร.ไคโย ตำรวจได้รับแจ้งจากยูกิ น้องชายของทาเกชิมือพิชเชอร์ว่าพบศพพี่ชายนอนตายอยู่ในป่าหลังศาลเจ้า สถานที่ฝึกซ้อมประจำโดยมีสภาพศพน่าอนาถยิ่งกว่ารายแรก และตำรวจพบมีรอยขีดเป็นอักษรอยู่ใกล้ศพ อ่านได้คำว่าลูกขว้างปีศาจ มีความหมายอย่างไรกันนะ ตำรวจยังคงมืดแปดด้านคลำหาทางไม่ถูก แต่ละคนที่ไปสอบถามไม่ค่อยจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์
โดยตำรวจที่ทำหน้าที่รับผิดชอบคดีนี้ เคยเป็นศิษย์เก่าของไคโย และเป็นเพื่อนสมัยเรียนกับครูผู้คุมทีมเบสบอลมาก่อน และยังแอบชอบผู้หญิงคนเดียวกัน ที่ต่อมาเธอป็นครูที่สอนในรร.ไคโยด้วยเช่นกัน เหมือนจะมีใครที่ปิดบังความจริงบางอย่างไว้ไม่แจ้งให้ตำรวจทราบ นายตำรวจผู้รับผิดชอบคดีจึงต้องมองย้อนไปในอดีต ถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ของบุคคลผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย ตลอดจนประวัติความเป็นมาของครอบครัวผู้เสียชีวิต แล้วคดีที่เกิดขึ้นในอีกพื้นที่นั้นเล่า
เขาเริ่มจับเค้าอะไรได้บางอย่างที่น่าจะเป็นจุดเชื่อมโยง จนนำไปสู่การค้นพบความจริงที่น่าตื่นตะลึง ซึ่งนำพาความเศร้าและปวดร้าวใจมาสู่ใครอีกหลายคน
มองจากปกทีแรกยังเข้าใจว่าเล่มนี้คงจะเป็นคดีที่ไม่หนักหนาอะไรนัก แนวกีฬาเบา ๆ เพราะนึกไปถึงแนวมังงะทางกีฬาที่ผมชอบอ่าน ไหนเลยจะคาดว่าบรรยากาศมีแต่ความอึมครึมกดทับประสาทขณะอ่าน อึน ๆ หน่วง ๆ จนกระทั่งจบเล่มแล้วยังทิ้งไว้ซึ่งความหม่นมัวที่บดบังท้องฟ้ากว้าง ทำให้ใจไม่ใสสว่างไม่ต่างจากฝุ่น pm2.5 ในกรุงเทพยามนี้เลย
ความรู้สึกหลังอ่านจบ ⚾️
ตัวละครเยอะ โดยเฉพาะทีมชมรมเบสบอล จำชื่อแทบไม่ได้ นอกจากพิชเชอร์กับแคชเชอร์ แล้วก็ครูที่เกี่ยวข้องอย่างครูชายที่ปรึกษาชมรมกับครูสาวที่เป็นแฟนกับครูชาย ส่วนคนอื่น ๆ แม้กระทั่งนายตำรวจที่ตามสืบคดี บอกตรง ๆ ว่าขณะกำลังพูดถึงนี้ก็ลืมชื่อหมดแล้วครับ 😂 ยิ่งเล่มนี้เขียนลงรายละเอียดเกี่ยวกับการแข่งขันเบสบอลตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้มีศัพท์เฉพาะหลายคำมากที่ไม่คุ้นหูนัก แม้นจะมีเชิงอรรถของผู้แปลช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น
อีกทั้งยังมีลิสต์อธิบายศัพท์เทคนิกไว้ในหน้าก่อนเริ่มเรื่อง แต่เชื่อว่าคนที่ไม่เคยสนใจศึกษาหรือดูเบสบอลมาเลย ยังไงก็เห็นภาพตามได้ยาก ยิ่งคนไทยที่ห่างไกลกับกีฬาประเภทนี้มากยิ่งเป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่ง
ดีที่ผมชอบอ่านมังงะผลงาน อ.อาดาจิ มาตั้งแต่เด็ก จึงค่อนข้างจะคุ้นเคยกับกีฬาเบสบอล อีกทั้งเคยเล่นเกมวิดีโอเกี่ยวกับกีฬานี้ จึงพอเข้าใจในเรื่องกฎระเบียบ วิธีการเล่น และรูปแบบการตีอยู่บ้าง ทำให้จินตนาการออกได้ไม่ยาก และดังได้เกริ่นไว้แต่แรกว่าเรื่องนี้มีความคล้ายกับเรื่อง H2 ที่มีคู่หูรู้ใจระหว่างแคชเชอร์กับพิชเชอร์
นอกจากนี้ตัวเอกในนิยายกับในมังงะ ยังมีความคล้ายกันในเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยสำคัญของตัวละครหลัก ทำให้ชื่นชอบเรื่องนี้เป็นพิเศษสักหน่อย เพราะรู้สึกสนุกตามไปกับการเล่าเรื่องของผู้เขียน โดยเฉพาะช่วงที่เป็นการแข่งขันคัดเลือกทีมที่จะได้เข้ารอบสุดท้ายโคชิเอ็ง
มุมมองของเล่มนี้เล่าผ่านบุคคลที่สาม โดยนำเรื่องด้วยการแข่งขันของทีมที่มีตัวละครสำคัญคนหนึ่งเป็นฝ่ายออกนำเกือบจะลอยลำเข้ารอบแล้วเชียว แต่ก็มีเหตุให้ผลเป็นตรงข้าม จากนั้นก็สลับไปเล่าเรื่องทางด้านของบริษัทแห่งหนึ่งที่เกิดคดีขึ้น ซึ่งดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกันกับเรื่องราวของคดีที่เกิดขึ้นกับนักเรียนมัธยมปลาย
แต่ท้ายที่สุดผู้เขียนก็ค่อย ๆ เผยความจริงให้เห็นว่ามีอะไรที่ซับซ้อนถูกเก็บซุกซ่อนอยู่ กว่าตำรวจที่สืบคดีจะร่วมมือขอข้อมูลและตามสืบจากคดีอีกท้องที่ด้วย ถึงเริ่มปะติดปะต่อชิ้นส่วนจิกซอว์เป็นภาพใหญ่ได้ก็เข้าสู่ช่วงท้ายแล้ว ตำรวจนักสืบในเล่มนี้ค่อนข้างมีไหวพริบพอตัว มีบทบาทมากในการนำทางคนอ่านไปสู่การค้นพบสิ่งสำคัญ คดีของนักเรียนค่อนข้างโหด อ่านแล้วพลิกหน้าต่อไปได้เรื่อย ด้วยใคร่รู้ว่าความจริงคืออะไร สำหรับผมเล่มนี้ชวนติดตามมากกว่าเล่ม เพื่อนร่วมชั้น
ถึงคนที่ไม่มีความรู้ด้านเบสบอลเท่าไรก็ยังสามารถได้รับความบันเทิงจากการอ่านเล่มนี้ได้ ผมเชื่อเช่นนั้นนะ เพราะเรื่องราวชีวิตเบื้องหลังของทั้งผู้ตายที่เป็นสหายและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดนั้นผูกโยงกันอยู่อย่างคาดไม่ถึง และเข้มข้นมาก จึงค่อนข้างเศร้าไปกับตัวละครหลายตัว ถ้าเพียงแต่คนร้ายจะมีทัศนคติในการมองโลกและความเป็นจริงอย่างเข้าใจมากกว่านี้ บทสรุปอาจจะไม่มีใครเลยที่ต้องตายก็ได้
ทั้งหมดนั้นล้วนมาจากอำนาจแห่งทิฐิและความถือตัวมีมานะมากเกินไปนั่นเอง จึงก่อเกิดเป็นแรงผลักดันอันนำไปสู่เหตุการณ์ไม่คาดคิด ซึ่งไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว เป็นอีกเรื่องที่ได้เห็นถึงการตัดสินใจพลาดลงไปครั้งหนึ่ง อาจนำมาซึ่งความหายนะสู่ชีวิตที่เหลือได้ อย่างไรก็ตาม ข้อคิดที่ได้หลังอ่านจบคือ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดผิดพลาดร้ายแรงลงไป
ขอให้อย่าทำร้ายตนเองมากไปกว่าเดิมด้วยการซ้ำเติมให้ผลลัพธ์ยิ่งเลวร้ายกว่าเก่า ต่อให้ชีวิตมันเน่าและบัดซบแค่ไหน ขอเพียงรู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ไม่โกรธไม่โทษว่าใครหรือสิ่งใด แล้วพยายามแก้ไขที่ตัวเรา แม้นชีวิตไม่ดีไปจากสภาพที่เป็นอยู่ อย่างน้อยสิ่งสุดท้ายที่เหลือซึ่งมีค่ากับเรามากเหนืออื่นใดคือ
เรายังมีลมหายใจ..นั่นทำให้ยังมีโอกาสเสมอ
โฆษณา