Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Mr. Lim นักวิชาการเมือง
•
ติดตาม
29 ส.ค. เวลา 15:04 • ประวัติศาสตร์
Mr.LIM EP.4 ปัตตานี ดินแดนที่วุ่นวาย (ตอนที่ 2)
หลังจากที่ปัตตานีได้ถูกแยกออกเป็น 7 หัวเมืองแล้วนั้น ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ 1 ใน 7 หัวเมืองที่มีชื่อว่า “รามัน”
ถ้าดูแค่เฉพาะหัวเมืองตอนใน เมืองรามัน ถือเป็นเมืองที่มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองมากที่สุด เนื่องจากเป็นเมืองที่มีรายได้จากการทำเหมืองแร่ดีบุก และอยู่ทางตอนใต้ติดกับเมืองเปรัก จึงมีความสัมพันธ์กับเมืองเปรักที่เป็นเมืองเพื่อนบ้าน พวกเราอาจคิดว่ารามันเกิดขึ้นในช่วงที่ปัตตานีถูกแบ่งเป็น 7 หัวเมือง แต่ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น เราจึงต้องย้อนกลับไปยังก่อนหน้านี้
ความจริงแล้วเมืองรามันเป็นเมืองที่ปรากฎขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 แล้ว โดยมีการถูกบันทึกไว้ในเรื่องเล่าอย่างตำนานเจ้าเมืองกอตอ ที่กล่าวไว้ว่าเมืองกอตอถูกสถาปนาขึ้นโดยบุตรสาวของเจ้าเมืองรามัน จึงอยู่ภายใต้อำนาจของเมืองรามัน และเมืองรามันก็อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐปัตตานีอีกทีในฐานะเมืองตอนใน ในช่วงที่เมืองกอตอได้สถาปนาขึ้นก็มีการจัดงานฉลองพร้อมเชิญตัวแทนจากราชสำนักปาตานีมาร่วมงานอีกด้วย
เมืองกลันตันได้ถูกกล่าวถึงอีกครั้งในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในเรื่องฮิกายัตศรีกลันตัน ปรากฏในบุตรเจ้าเมืองรามันที่ชื่อ “ฆอฟัร” แต่กลับไม่ได้กล่าวชื่อเจ้าเมืองรามันไว้ว่าเป็นใคร อย่างไรก็ตาม ก็มีหลักฐานปรากฏว่าเจ้าเมืองรามันมีความสัมพันธ์เชิงเครือญาติกับเจ้าแห่งรัฐกลันตัน ต่อมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 มีคนที่อ้างว่าเป็นผู้ที่มีเชื้อสายกษัตริย์จากปาตานีนามว่าต่วนโต๊ะนิ โต๊ะและห์ ได้มีส่วนร่วมในการสร้างรัฐเล็กๆ แห่งหนึ่งที่บ้านโกตาบารู
ในช่วงเวลาเดียวกันก็เกิดสงครามที่เกิดความขัดแย้งระหว่างสยามและปัตตานีขึ้น ที่ศูนย์กลางกรือแซะ ซึ่งมีการสันนิษฐานกันว่าต่วนโต๊ะนีได้อพยพหนีสงครามดังกล่าว และก่อนหน้านี้มีผู้กลุ่มคน 2 กลุ่มได้อาศัยอยู่คือ กลุ่มแรงงานชาวจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานเพื่อหาแร่ดีบุกและทองคำ และกลุ่มที่หนีอำนาจจากชายฝั่งปัตตานีมาตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 17 แล้ว ซึ่งกลุ่มนี้ เกิดจากการที่ในสงครามดังกล่าวมีการนำชาวบ้านไปเป็นเกณฑ์ทหาร เนื่องจากในช่วงนั้นสยามได้ไปบุกโจมตีที่ปัตตานีอยู่บ่อยครั้ง
ต่วนโต๊ะนิได้ทำการรวบรวมกลุ่มคนทั้ง 2 กลุ่มเพื่อสถาปนาเมืองรามันแห่งใหม่ขึ้นมา พร้อมกันนั้นเขาได้ทำการแต่งตั้งตนเองเป็นผู้นำสูงสุด และได้ตั้งวังอยู่บริเวณโกตาบารู ซึ่งการตั้งเมืองดังกล่าว มันไม่มีความเกี่ยวโยงกับเมืองรามันเดิมที่อยู่ภายใต้การนำโดย ฆอฟัร เลย การที่ต่วนโต๊ะนิเป็นผู้อพยพจากปัตตานีเนื่องมาจากสงครามแล้วตั้งเมืองรามันแห่งใหม่ จนนำไปสู่การเกิดรัฐซ้อนรัฐขึ้น ไปจนถึงการก่อกบฏของต่วนโต๊ะนิเมื่อช่วงปลายศตวรรษที่ 18 จนถึงศตวรรษที่ 19
การก่อกบฏดังกล่าวเป็นการก่อกบฏของรามันใหม่ โดยมีจุดประสงค์ก็เพื่อต้องการเป็นอิสระจากเมืองรามันเดิมซึ่งอยู่ที่วังกอตอตือรัส รวมถึงเมืองปัตตานีด้วย แต่การแยกออกจากเมืองปัตตานีก็ล้มเหลวในปี พ.ศ. 2353 จึงได้แค่ล้มวังที่กอตอตือรัสเท่านั้น ว่ากันว่าการก่อกบฏนี้มีการเตรียมการในรูปแบบสงครามกองโจร จึงสามารถโจมตีที่วังกอตอตือรัสได้สำเร็จ แต่ยังแยกออกจากเมืองปัตตานีไม่ได้เลย
การก่อกบฏของต่วนโต๊ะ เกิดในช่วงเวลาเดียวกันกับที่สยามได้เข้าไปบุกโจมตีที่ศูนย์กลางกรือเซะ จนเกิดสงคราม โดยนำกองทัพจากสงขลา นครศรีธรรมราช และได้ยกทัพเรือจากกรุงเทพฯ มาโจมตี ทำให้ดาโต๊ะปังกาลันและเหล่าเสนาบดีหลบหนีไป
หลังจากนั้นสยามได้มีการแต่งตั้งนายขวัญซ้าย ปลัดจะนะ เป็นผู้ปกครองเมืองชั่วคราว แต่ชาวบ้านเกิดความไม่พอใจ ทำให้รัชกาลที่ 2 ได้ส่งพระยาอภัยสงขลา หรือเถี้ยนจ๋อง ไปจัดให้เมืองปัตตานีแยกเป็น 7 หัวเมืองในเวลาต่อมา พร้อมกันนั้นสยามยังได้แต่งตั้งต่วนโต๊ะนิเป็นเจ้าเมืองรามันอีกด้วย
ในช่วงหลังจากการแยก 7 หัวเมือง รัฐที่อยู่ตามแนวชายฝั่งจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน โดยเฉพาะการค้าขาย ที่กลายมาเป็นตลาดสินค้านานาชาติขนาดใหญ่ ส่วนหนึ่งก็มาจากการเมืองภายในที่มีความเสถียรภาพ การค้าขายกับรัฐ รวมถึงการบริหารความสัมพันธ์กับพ่อค้าต่างชาติที่เข้ามาค้าขาย สินค้าที่มีการค้าขายพร้อมกับการส่งจะเป็นดีบุก ทองคำ พริกไทย ฯลฯ โดยเฉพาะตรงบริเวณทางตอนใต้ของคาบสมุทรมลายูตะวันตกจะมีแหล่งแร่ดีบุกเป็นจำนวนมาก
แต่แล้วรามันกับเปรักก็เกิดความขัดแย้งกัน เนื่องมาจากการที่รามันต้องพึ่งพาการค้าขายแร่ดีบุกที่เรียกว่าเกอลียัน ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของรามัน และทางตอนเหนือของเปรัก ซึ่งรามันได้ครอบครองมาเกือบ 30 ปีแล้ว แต่ทางเมืองเปรักก็ต้องการพื้นที่ดังกล่าวคืนมาโดยมองว่ารามันได้ประโยชน์จากแร่ดีบุกมากจนเกินควร ทำให้เกิดกรณีพิพาทขึ้น และมีการทวงคืนที่ดินดังกล่าวของเปรัก
เรื่องนี้มีการพิพาทกันอย่างยืดเยื้อ โดยทางรามันเองก็อ้างว่าตนมีสิทธิเรื่องของที่พื้นที่ และมีอำนาจเหนือที่ดิน แต่เปรักก็ไม่ยอมโดยอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ของบรรพบุรุษซึ่งมีอังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เปรักมีอังกฤษคอยสนับสนุน ส่วนรามันก็มีสยามคอยหนุนหลังให้ แต่ที่สยามสนับสนุนรามัน เพราะทางสยามเกรงว่าจักรวรรดิอังกฤษจะเข้ารุกรานในดินแดนสยามนั่นเอง
ส่วนอังกฤษเองก็คอยหนุนหลังเปรักโดยจุดประสงค์ซ้อนเร้นก็คือต้องการครอบครองดินแดนคาบสมุทรมลายูเพื่อหาผลประโยชน์ทางการค้า เมื่ออังกฤษเริ่มเห็นว่ารามันมีความสำคัญทางการค้าจึงได้มีการเจรจาเรื่องสนธิสัญญาการค้าขายดีบุกระหว่างปีนังกับรามันแต่ไม่สำเร็จ แม้ว่าจะมีการทำสนธิสัญญาเบอร์นีย์ในปี พ.ศ.2367 แล้วก็ตาม
เมื่อเป็นเช่นนั้นทางอังกฤษเลยตัดสินใจยึดครองเปรักในปี พ.ศ. 2417 โดยได้เข้ามาช่วยจัดการปัญหาการเมืองภายในของเปรักและได้รวมกับเปรักผ่านสนธิสัญญาปังกอร์ และในปี พ.ศ.2425 อังกฤษก็ได้ให้ความช่วยเหลือเปรักจากการพิพาทกับรามัน โดยมีข้อแม้ว่า เปรักจะต้องทำหนังสือเรียกร้องเป็นหลักฐานก่อน และต้องส่งไปยังสำนักงานอาณานิคมช่องแคบ ดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร สำนักงานอาณานิคมในพระองค์ กระทรวงอาณานิคมที่ลอนดอน ตามลำดับ และต้องผ่านข้าหลวงอังกฤษที่กรุงเทพด่อนจะถึงราชสำนักสยามด้วย
นอกจากนี้อังกฤษยังได้มีการแสดงหลักฐานที่เรียกว่า สิทธิทางบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นสิทธิที่แสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่เปรัก พร้อมกับเขียนประวัติศาสตร์เกี่ยวกับรัฐมลายูต้นน้ำกับปลายน้ำ เพื่อช่วยเปรักจากการพิพาทให้ได้ และจากการใช้สิทธิทางบรรพบุรุษ อังกฤษก็ได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้เปรักได้พื้นที่พิพาทกลับคืนมา แต่ก็ไม่เป็นผล เนื่องจากเกิดปัญหาการเจรจาเรื่องพื้นที่พิพาทหลายครั้ง ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิเหนือที่ดินกัน
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2439 อังกฤษก็ได้บรรลุข้อตกลง ปฏิญญาระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส 1896 โดยต้องการให้สยามเป็นรัฐกันชน เนื่องจากหลังวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ฝรั่งเศสก็ครองพื้นที่ทางตอนเหนือของลาว ส่วนอังกฤษก็ครองทางตอนเหนือของพม่า เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ทางอังกฤษและฝรั่งเศสจึงได้ไปตกลงกันอย่างลับๆ โดยกำหนดพื้นเฉพาะเขตลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเท่านั้น
เมื่อสยามรู้เรื่องนี้เข้า จึงตัดสินใจไปทำอนุสัญญาลับระหว่างสยามกับอังกฤษ 1897 ในปีต่อมา โดยสยามได้กำหนดไว้ว่า หากอังกฤษจะมีอำนาจในภาคใต้ได้ก็ต้องส่งความช่วยเหลือทางทหารเวลาที่สยามขอความช่วยเหลือ ซึ่งแลกกับการที่ตนจะไม่ยกพื้นที่บางสะพาน ประจวบคีรีขันธ์ ไปจนถึงเมืองมลายูด้วย (ปัตตานี ตรังกานู ไทรบุรี กลันตัน และเปอลิส) เพราะตนไม่ต้องการให้พื้นที่ที่นอกเหนือจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาถูกล่าอาณานิคมนั่นเอง
อย่างไรก็ตามอังกฤษก็ได้ประโยชน์ ส่วนสยามเสียเปรียบจากการที่ถูกอังกฤษกดดันเรื่องพื้นที่พิพาท จนทำให้สยามต้องลงนามในสนธิสัญญาปักปันเขตแดนใหม่ระหว่างเปรัก-รามัน เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2442
ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2452 ทั้งสองประเทศก็ได้ลงนามสนธิสัญญาแองโกล-สยาม 1909 โดยกำหนดให้สยามโอนเมืองมลายูให้แก่อังกฤษ ยกเว้นปัตตานี สตูล และตากใบ จะยังเป็นของสยามอยู่ มีการยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและให้คนในบังคับอังกฤษมีกรรมสิทธิ์ที่ดินในสยามได้ มีการยกเลิกอนุสัญญาลับ 1897 และมีการกำหนดให้อังกฤษให้เงินกู้แก่สยามจำนวน 4.64 ล้านปอนด์ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 เพื่อสร้างทางรถไฟสายใต้
การทำสนธิสัญญาดังกล่าวทำให้พื้นที่พิพาทตกเป็นของเปรัก และดูเหมือนว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว เนื่องจากผ่านการรับรองด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ ถึงอย่างนั้น การเคลื่อนไหวของกลุ่มชาวปัตตานีก็ยังคงดำเนินอยู่ ซึ่งเราจะมาอธิบายกันในตอนต่อไป เร็วๆ นี้ครับ
บรรณานุกรม
วันอิฮซาน ตูแวสิเดะ. (2567). ปาตานีฉบับชาติ(ไม่)นิยม สงครามช่วงชิงอำนาจก่อนปักปันเส้นเขตแดน. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
ศิลปะวัฒนธรรม. (2567). มุมมองต่อสนธิสัญญา ค.ศ.1909 ระหว่าง สยาม-อังกฤษ และการแลกดินแดนมลายู. สืบค้นจาก
https://www.silpa-mag.com/history/article_29737
_____. (2567). ข้อตกลงฉบับประวัติศาสตร์ของอังกฤษและฝรั่งเศส ให้ “สยาม” เป็น “รัฐกันชน”. สืบค้นจาก
https://www.silpa-mag.com/history/article_79778
The101.World. (2564). 112 ปีของสนธิสัญญาแองโกล-สยาม: จากมุมของสี่รัฐมลายู กลันตัน ตรังกานู เคดะห์ และเปอร์ลิส. สืบค้นจาก
https://www.the101.world/anglo-siamese-treaty-of-1909/
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย