[BeautyInvestor] 🔻 ตลาดหุ้นร่วงหนักสุดในปี 2025 หลังทรัมป์ยืนยันตามเดิมในวันนี้ เมื่อคืนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอย่างหนักจากแรงกดดันหลายปัจจัย ทั้งสัญญาณชะลอตัวของภาคการผลิต ตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอ และโดยเฉพาะการ

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

•

4 มี.ค. เวลา 00:10 • หุ้น & เศรษฐกิจ

🔻 ตลาดหุ้นร่วงหนักสุดในปี 2025 หลังทรัมป์ยืนยันตามเดิมในวันนี้

เมื่อคืนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอย่างหนักจากแรงกดดันหลายปัจจัย ทั้งสัญญาณชะลอตัวของภาคการผลิต ตัวเลขการจ้างงานที่อ่อนแอ และโดยเฉพาะการกลับมาใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้า ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศบังคับใช้กับแคนาดา เม็กซิโก และจีน โดยจะมีผลตั้งแต่วันอังคารนี้เป็นต้นไป ส่งผลให้ดัชนีสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดิ่งลงพร้อมกัน นับเป็นการเทขายหุ้นที่รุนแรงที่สุดในปี 2025

⚠️ แรงกดดันจากภาษีนำเข้า (Tariffs) และท่าทีล่าสุดของทรัมป์

👉🏻 มาตรการภาษีรอบใหม่: ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศชัดเจนว่าจะไม่เลื่อนหรือยกเว้นมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับแคนาดาและเม็กซิโก โดยจะเรียกเก็บภาษีในอัตรา 25% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ ยกเว้นสินค้าพลังงานจากแคนาดาที่ถูกกำหนดไว้ที่ 10%

👉🏻 ปรับเพิ่มภาษีจีน: ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีน จากเดิม 10% เป็น 20% โดยให้เหตุผลว่าจีนยังไม่มีมาตรการที่เพียงพอในการป้องกันการลักลอบนำยาเฟนทานิลผิดกฎหมายเข้าสหรัฐฯ

นักลงทุนต่างกังวลว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจกลายเป็นสงครามการค้ารอบใหม่ โดยจีนและแคนาดาเตรียมมาตรการตอบโต้เช่นกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และกดดันแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว

🔻 หุ้นสหรัฐฯ ถูกเทขายหนัก: S&P 500 ดิ่ง -1.8% ร่วงแรงสุดในปีนี้

👉🏻 ดัชนีสำคัญปิดร่วงพร้อมกัน

- S&P 500 -1.8%

- Nasdaq 100 -2.2%

- Dow Jones Industrial Average -1.5%

- Russell 2000 (หุ้นขนาดเล็ก) -2.8%

- ดัชนี “Magnificent Seven” -3.1%

👉🏻 ความผันผวนพุ่ง โดยดัชนี VIX ซึ่งสะท้อนความกังวลของนักลงทุน พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา สะท้อนความไม่มั่นใจในแนวโน้มตลาดระยะข้างหน้า

👉🏻 หุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ถูกเทขายรุนแรง โดยเฉพาะ Nvidia ที่ราคาดิ่ง -8.7% ส่งสัญญาณว่านักลงทุนเริ่มโยกเงินจากหุ้นกลุ่มเทคฯ ไปยังหุ้นต่างประเทศและหุ้นกลุ่ม Value มากขึ้น

‼️ สัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว

👉🏻 ภาคการผลิตเข้าใกล้ภาวะหยุดนิ่ง โดยดัชนีกิจกรรมภาคการผลิตสหรัฐฯ ล่าสุดสะท้อนการขยายตัวที่แทบหยุดนิ่ง ขณะที่ราคาวัตถุดิบพุ่งสูงสุดตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 ส่วนคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงานในภาคการผลิตชะลอตัวลง บ่งชี้แรงกดดันเงินเฟ้อจากต้นทุน (Cost-Push Inflation) ในอนาคต

👉🏻 ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นสวนทางการฟื้นตัว โดยการบริโภคลดลงสะท้อนกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เริ่มถดถอย ขณะที่ตัวเลขว่างงานเพิ่มขึ้นโดยจำนวนผู้ขอสวัสดิการว่างงานปรับตัวเพิ่มขึ้นชัดเจนเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า และภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวหลังจากยอดขายบ้านและโครงการที่อยู่อาศัยลดลงเนื่องต้นทุนกู้ยืมสูงยังคงเป็นปัจจัยกดดัน

ทั้งหมดนี้ชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงกดดันสองด้านพร้อมกัน คืออัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่ลดลงชัดเจน และกำลังซื้อที่อ่อนแอลงต่อเนื่อง

👉🏻 แม้ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ฟื้นตัวแข็งแกร่งหลังโควิด-19 แต่บริษัทใหญ่เริ่มชะลอการจ้างงานหรือปลดพนักงานในบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเทคโนโลยีและภาคการผลิต ส่งผลให้นักลงทุนต้องจับตารายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) สัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิด

🇪🇺 ตลาดยุโรปสวนทางสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่ง

👉🏻 ดัชนีหุ้นยุโรปหลายแห่ง เช่น Euro Stoxx 50 และ DAX ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจัยหลักเกิดจากการโยกเงินลงทุน (Rotation) จากหุ้นกลุ่ม Growth (โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ) ไปสู่หุ้นกลุ่ม Value ของยุโรป โดยเฉพาะในกลุ่มการเงิน พลังงานดั้งเดิม และสินค้าอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ ตลาดยุโรปมีสัดส่วนหุ้นกลุ่มคุณค่า (Value Stocks) หรือหุ้นกลุ่มดั้งเดิมที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับตลาดสหรัฐฯ ซึ่งถูกครอบงำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยในภาวะที่ดอกเบี้ยยังมีความผันผวน และความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า หุ้น Value มักผันผวนน้อยกว่า จึงเป็นเป้าหมายหลักในการโยกย้ายเงินทุน ประกอบกับพื้นฐานเศรษฐกิจยุโรป โดยเฉพาะภาคการผลิตและการจ้างงาน มีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วกว่าสหรัฐฯ ในบางประเทศ เช่น เยอรมนีและฝรั่งเศส ทำให้เงินทุนไหลเข้าตลาดยุโรปเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ มาตรการภาษีนำเข้ารอบใหม่ของทรัมป์เน้นเป้าหมายไปที่แคนาดา เม็กซิโก และจีน ส่งผลกระทบต่อยุโรปน้อยกว่าภูมิภาคอื่น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องจับตาตัวเลข GDP ของยูโรโซน และการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของ ECB ในสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางตลาดในระยะสั้น

🏆 พันธบัตรสหรัฐฯ และทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

👉🏻 อัตราผลตอบแทน (Yield) พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลดลง 5 จุดพื้นฐาน มาอยู่ที่ระดับ 4.16% สะท้อนเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน

👉🏻 ทองคำยังเป็นหลุมหลบภัยสำคัญ โดยราคาทองคำสปอตปรับเพิ่มขึ้น +1.2% ปิดที่ระดับ 2,890.91 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากความกังวลต่อเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากสงครามการค้า

🛢️ ราคาน้ำมันดิ่ง หลัง OPEC+ ประกาศเพิ่มกำลังผลิต

OPEC+ (กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ นำโดยซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย) ประกาศแผนเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ โดยจะเริ่มเพิ่มกำลังผลิต 138,000 บาร์เรลต่อวัน และทยอยคืนกำลังผลิตต่อเนื่องจนถึงปี 2026 รวมทั้งสิ้นอาจสูงถึง 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อเทียบกับระดับปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้ตลาดคาดการณ์ว่า OPEC+ อาจชะลอหรือยืดระยะเวลาการลดกำลังผลิตเพื่อพยุงราคา แต่เมื่อ OPEC+ กลับประกาศเพิ่มการผลิตสวนทางกับที่คาด นักลงทุนจึงเทขายสัญญาน้ำมันล่วงหน้าออกมาอย่างหนักทันที ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงมากกว่า -2% ปิดที่ 68.30 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในปี 2025 ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลงถึง -2.8% ระหว่างวัน ก่อนปิดตลาดในแดนลบเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยกดดันให้ OPEC+ เพิ่มกำลังผลิตเพื่อลดภาระผู้บริโภคในสหรัฐฯ และซาอุดีอาระเบียมีท่าทีตอบสนองต่อแรงกดดันดังกล่าว แม้ชาติสมาชิกอื่นๆ ยังต้องการรักษาระดับราคาน้ำมันให้สูงต่อไป

ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ ประกอบกับปริมาณน้ำมันที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะอุปทานล้นตลาด (Oversupply) ในช่วงครึ่งหลังปี 2025 นอกจากนี้ การผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) ของสหรัฐฯ ที่อยู่นอกกลุ่ม OPEC+ อาจยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อราคาน้ำมันในระยะถัดไป อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม OPEC+ ระบุชัดว่า พร้อมจะปรับนโยบายการผลิตตามสภาพตลาดโลก หากจำเป็นในอนาคต

₿ ตลาดคริปโตฯ ผันผวนหนัก

ราคา Bitcoin ปรับตัวลดลง -9.5% มาอยู่ที่ระดับประมาณ 85,000 ดอลลาร์ ขณะที่ Ether ดิ่งแรงกว่า -16% แม้ก่อนหน้านี้ ราคาคริปโตฯ จะพุ่งขึ้นหลังทรัมป์สนับสนุนแนวคิด “คลังสินทรัพย์ดิจิทัล” แต่ความกังวลด้านเศรษฐกิจและภาษีนำเข้ากลับมากดดัน ส่งผลให้นักลงทุนปรับลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงในวันต่อมา

💵 ตลาดค่าเงิน: ดอลลาร์อ่อนค่า สกุลเงินหลักอื่นแข็งค่าขึ้น

💶 ยูโร แข็งค่าขึ้น +1% สู่ 1.2699 ดอลลาร์

💷 ปอนด์ แข็งค่าขึ้น +1% แตะระดับ 1.2699 ดอลลาร์

💴 เยนญี่ปุ่น แข็งค่าขึ้น +0.8% แตะระดับ 149.47 เยนต่อดอลลาร์

ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงนี้สะท้อนว่าตลาดกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและผลกระทบจากสงครามการค้าในอนาคต

📊 TSMC เพิ่มลงทุนครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ ทรัมป์หนุนเต็มที่ มุ่งผลิตชิป AI ขั้นสูง

👉🏻 TSMC ประกาศลงทุนเพิ่มในสหรัฐฯ อีก 1.38 แสนล้านดอลลาร์

ไต้หวันเซมิคอนดักเตอร์ (TSMC) ผู้ผลิตชิปขั้นสูงรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะชิป AI ประกาศเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ อีก 138,000 ล้านดอลลาร์ (จากเดิมที่วางแผนไว้ 27,000 ล้านดอลลาร์) ในพิธีแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว ร่วมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทรัมป์เน้นย้ำว่าการลงทุนครั้งนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ กลายเป็นแหล่งผลิตชิป AI ชั้นนำของโลก สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “Made in USA” และยังสร้างตำแหน่งงานด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

การประกาศลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ ทำให้ยอดลงทุนรวมของ TSMC ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 165,000 ล้านดอลลาร์ (รวมโครงการเดิมที่รัฐแอริโซนา) โดย Nvidia และ Apple จะได้ประโยชน์โดยตรงในฐานะลูกค้ารายสำคัญของ TSMC เนื่องจากชิป AI รุ่นใหม่จะผลิตในสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม แม้ TSMC จะประกาศลงทุนเพิ่มครั้งใหญ่ แต่ตลาดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ยังคงถูกแรงเทขายอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความกังวลต่อภาษีนำเข้า ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความผันผวนของตลาดโดยรวม

🎯 สรุป

ตลาดการเงินโลกในช่วงต้นปี 2025 กำลังเผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ส่งผลให้เกิดภาวะผันผวนสูงขึ้นอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีสัญญาณที่น่ากังวล แต่ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า "ถึงเวลาที่ต้องระวัง แต่ยังไม่ถึงขั้นตื่นตระหนก"

ปัจจุบันตลาดต้องรับแรงกดดันจากหลายทาง เช่น สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรง โดยเฉพาะมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ยังไม่ชัดเจน รวมไปถึงภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่แสดงสัญญาณการชะลอตัว นอกจากนี้ กลุ่มประเทศ OPEC+ มีการเพิ่มกำลังผลิตน้ำมัน และธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ดัชนีวัดความผันผวนหรือดัชนี VIX พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว สะท้อนให้เห็นว่าความผันผวนระยะสั้นในตลาดอาจยังดำเนินต่อไปอีกสักระยะ

ในสถานการณ์เช่นนี้ นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชั้นนำ อาทิ Goldman Sachs, JPMorgan, Citigroup และ Morgan Stanley ต่างแนะนำให้นักลงทุนเตรียมพร้อมรับมืออย่างรอบคอบ โดยการกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้นคุณภาพ (Quality Stocks) หรือหุ้นมูลค่า (Value Stocks) ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และควรหลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่มักจะได้รับผลกระทบรุนแรงจากการขึ้นภาษีนำเข้าและการปรับอัตราดอกเบี้ย

นอกจากนี้ นักลงทุนยังควรจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคลัญของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะตัวเลข Nonfarm Payrolls, อัตราเงินเฟ้อ, และผลการประชุมของธนาคารกลางหลักๆ ทั่วโลก เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางของตลาดในระยะสั้น หากตัวเลขเศรษฐกิจแสดงสัญญาณชะลอตัวที่ชัดเจนขึ้น หรือมีข่าวลบเพิ่มเติมเกี่ยวกับสงครามการค้า ตลาดอาจเผชิญกับแรงกดดันที่หนักขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนยังมองเห็นโอกาสการลงทุนในระยะยาว หากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเริ่มมีเสถียรภาพ และความชัดเจนในนโยบายด้านภาษีเกิดขึ้น กลุ่มธุรกิจที่อาจได้รับความสนใจกลับมาอย่างโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI), กลุ่ม Healthcare, และกลุ่มพลังงานสะอาด

ดังนั้น แม้ว่าปัจจุบันตลาดจะอยู่ในภาวะที่ต้องเฝ้าระวัง แต่การติดตามข้อมูลและการปรับพอร์ตอย่างยืดหยุ่นและมีวินัยจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการรับมือกับความผันผวนในช่วงนี้

✅ คหสต.

ใครซื้อไม่แรกไปแล้ว ก็ให้รอต่อไป เพราะ ตลาดยังแกว่งๆอยู่ที่เดิม (บวกวัน ลบวัน) โดยตอนนี้ S&P500 ยังติดลบประมาณ 5% จากจุดสูงสุดอยู่เหมือนๆเดิมค่ะ ให้รอให้ตลาดติดลบถึง 10% จากจุดสูงสุดก่อนค่อยลงทุนไม้ที่ 2

ไม่ใช่ Buy On Dip มันทุกครั้งนะคะ เพราะไม่ได้ประโยชน์จากราคาที่ต่ำลงค่ะ ควรเว้นบ้าง ☺️

ส่วนเรื่องภาษีก็โยนหัวก้อยแหละ วันสุดท้ายแล้ว ไม่รู้จะดีลกันได้ไหม วันนี้ตลาดเอเชียก็น่าจะแดงไม่ต่างกัน วิธีง่ายที่สุดคือ ไม่ต้องเปิดพอร์ตเข้าไปดูค่ะ แต่ต้องแวะมาอ่านข่าวที่เพจนิคกี้เหมือนเดิมนะ 🥰

โฆษณา

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน

🔻 ตลาดหุ้นร่วงหนักสุดในปี 2025 หลังทรัมป์ยืนยันตามเดิมในวันนี้

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน